ตอนที่แล้วเรื่องราวของเจ้าแม่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปการกลับมา (ต่อ)

การกลับมา


ค่าความรู้สึกหวาดผวา ลดลงทันที

ความเย็นยะเยือกไหลขึ้นมาจากกระดูกก้นกบไปจนถึงกระหม่อม เหมือนแมวที่ขนลุกชัน จางหยวนชิงกระโดดตัวลอยสูงขึ้นพร้อมกับคำสบถที่หลุดออกมาโดยไม่รู้ตัว

“เหี้ยเอ้ย!!”

นี่เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่อดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงออกมาเมื่อเผชิญกับสิ่งที่กระตุ้นหรือตกใจอย่างรุนแรง

ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าทำไมไหล่ตัวเองถึงได้ปวดเมื่อยขนาดนั้น และเข้าใจแล้วว่าทำไมศพที่หน้าต่างถึงต้องพกกระจกเงาติดตัวไว้ตลอดเวลา

นั่นก็เพื่อสังเกตว่ามีวิญญาณร้ายมาเกาะไหล่ตัวเองหรือไม่!

แล้วนี่มันมาเกาะไหล่กูตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย ตั้งแต่ก่อนที่จะเดินเข้ามาในบ้านสี่เหลี่ยม หรือเพิ่งจะมาขี่เอาตอนที่เขาเข้ามาในห้องนี้แล้ว

และต่อจากนี้ ใครพอจะสามารถมอบความกล้าให้เขาบุกเดี่ยวออกไปสำรวจข้างนอกได้ ช่วยเอามันมาให้เขาทีเถอะ

สมองเหมือนจะระเบิด ความคิดต่างๆ นานาผุดขึ้นมาในเสี้ยววินาที ความหวาดกลัวพุ่งเข้ามาเหมือนคลื่นสูงยักษ์

ถึงจะรู้ว่าวัดนี้มีสิ่งแปลกประหลาดน่ากลัวอยู่แล้วก็จริง แต่พอเผชิญหน้ากับภูตผีเข้าจริงๆ สิ่งที่เตรียมใจไว้ก่อนหน้านี้กลับยังรู้สึกน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก

ถูกต้อง กูมียันต์อยู่นี่นา... จางหยวนชิงสั่นเทาหยิบกระดาษยันต์สีเหลืองออกจากกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตด้านซ้าย ลองของตายเอาดาบหน้า แปะไปที่ไหล่ตัวเอง

ปัง!

กระดาษยันต์ปราบผีแปะอยู่ที่ไหล่ เขายกกระจกเงาขึ้นส่องอย่างระมัดระวัง ชายหนุ่มหน้าซีดปากดำ มีดวงตาสีขาวไร้ชีวิตชีวายังคงเกาะอยู่ที่ไหล่ของเขา

ไม่ได้ผล มันไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายประเภทผีงั้นเหรอ...ยันต์นี้ถึงใช้งานไม่ได้ ความโชคดีสุดท้ายจึงหมดไป จางหยวนชิงรู้สึกว่าไหล่ยิ่งปวดเมื่อยมากขึ้น มือเท้าเย็นเฉียบ

นี่ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นความจริงที่กระอักกระอ่วน

ในตอนนี้ จางหยวนชิงนึกถึงศพที่ใต้โต๊ะในโบสถ์วันซันเต้าซาน และคนงานที่ตายอย่างน่าสยดสยองที่หน้าต่าง ถัดไป เขาอาจจะต้องตายที่นี่เหมือนกับทั้งสองคนนั้น

ความหนาวเย็นยะเยือกแผ่ซ่านเข้ามาในใจ

“ตุบๆ!”

จู่ๆ ในช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้เอง เสียงฝีเท้าเบาๆ ก็ดังขึ้นจากทางเดินด้านนอก เป็นเสียงฝีเท้าที่เบามาก แต่ในยามค่ำคืนที่เงียบสงบกลับได้ยินอย่างชัดเจน

... จางหยวนชิงรู้สึกตัวสั่น รีบหมอบลงไปนั่งข้างๆ ศพที่หน้าต่าง เสียงฝีเท้าคู่นี้คุ้นๆ เหมือนกับเสียงที่เขาได้ยินตอนเข้ามาในวัด

“ตุบๆๆ...”

เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เดินตรงมาทางนี้ จางหยวนชิงแทบกลั้นหายใจไว้สุดฤทธิ์ ร่างกายเกร็งจนสุดตัว รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงระรัว

เมื่อเสียงฝีเท้าเดินผ่านหน้าต่าง จางหยวนชิงก็ยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองพื้นห้อง แสงจันทร์ส่องเข้ามา ทำให้เกิดเงาเป็นตารางบนพื้น หน้าต่างไม่สูงมาก สูงแค่เอว คนปกติทั่วไปเดินผ่านหน้าต่าง แสงจันทร์จะต้องส่องเงาลงบนพื้น แต่เขากลับไม่เห็นอะไรเลย

นั่นหมายความว่าสิ่งที่เดินผ่านหน้าต่างไปไม่มีร่างกาย?

โชคดีที่เสียงฝีเท้าเดินผ่านหน้าต่างไปแล้ว ไม่ได้หยุด ไม่ได้เข้ามาในห้อง แต่ค่อยๆ เดินไกลห่างออกไป

ฮู้ว... จางหยวนชิงถอนหายใจโล่งอกอย่างเงียบๆ ตั้งใจฟังเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ เดินออกไป ได้ยินเสียงเหยียบย่ำหญ้าแห้ง “ฉ่าๆๆๆ” แล้วก็หยุดลง ไม่กี่วินาทีต่อมาก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง

คราวนี้เสียงฝีเท้าไม่ใช่แค่การเดินธรรมดา แต่มีจังหวะและลีลาที่นุ่มนวล

มันทำอะไรอยู่ในลานวัด?

จางหยวนชิงพยุงร่างอันเย็นเฉียบของตัวเอง ลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก มองออกไปทางหน้าต่างที่ฉีกขาดผ่านกระดาษหน้าต่างที่ขาดวิ่น

แสงจันทร์ส่องลงมาในหญ้ารก มีรองเท้าเต้นรำสีแดงสไตล์ตะวันตกใหม่เอี่ยมคู่หนึ่ง กำลังเต้นอยู่ในความมืด

ค่ำคืนใต้แสงจันทร์ในวัดร้าง มีรองเท้าเต้นรำสีแดงคู่นึงเต้นรำอยู่เพียงลำพัง

ภาพนี้ดูทั้งประหลาดและน่าขนลุก แต่ก็แฝงไปด้วยความ... โดดเดี่ยว?

ทำไมถึงมีรองเท้าเต้นรำสไตล์ตะวันตกอยู่ในวัดบนภูเขาสมัยราชวงศ์หมิงได้นะ...

วัดร้างแห่งนี้ยิ่งแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ... เขาค่อยๆ หมอบลงไปเงียบๆ รอคอยอย่างอดทน

เวลาผ่านไปทีละนาที วิญญาณร้ายที่เกาะอยู่บนไหล่ยังคงดูดหยางของเขาอยู่เรื่อยๆ ความรู้สึกที่ร่างกายแข็งทื่อยิ่งรุนแรงขึ้น ความเจ็บปวดที่ไหล่กลายเป็นความทุกข์ทรมานที่กัดกินเลือดเนื้อเขา

เขารู้สึกว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ตัวเองจะต้องตายเพราะหยางหมด หรือไม่ก็ตายเพราะกระดูกไหล่แตกแน่นอน

ในความเจ็บปวดทรมาน ขณะเดียวกันจู่ๆ เสียงฝีเท้าที่เต้นเป็นจังหวะในลานวัดก็หายไป

จางหยวนชิงยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา รออีกสักครู่แล้วค่อยๆ เงยขึ้นมาอย่างระมัดระวัง มองออกไปทางหน้าต่างเพื่อสำรวจลานวัด

แสงจันทร์ส่องสว่างเต็มลานวัด หญ้ารกนิ่งสงบ รองเท้าเต้นรำอันแปลกประหลาดคู่นั้นหายไปแล้ว

เขาถอนหายใจโล่งอกจนหมดปอด กำลังจะยืนขึ้น เข่าก็ทรุดลง นั่งลงกับพื้นทันที

หลังจากที่ความตึงเครียดผ่อนคลายลง อะดรีนาลีนก็ลดลง เขาจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าสภาพของตัวเองแย่กว่าที่คิด ไหล่เจ็บแสบราวกับไฟไหม้ รู้สึกเหมือนกระดูกจะแตก ข้อเข่าแข็งทื่อเหมือนเลือดแข็งตัวไม่ไหลเวียนไปหมด

เขาหยิบกระจกขึ้นมาอย่างสั่นเทา ในกระจกสีเทาหมอง จางหยวนชิงเห็นว่าตัวเองหน้าซีดเซียว ท่าทางอิดโรย ดวงตาหมองคล้ำ นี่ไม่ใช่คนปกติธรรมดาอย่างแน่นอน แต่เป็นคนป่วยที่ใกล้จะตาย

บนไหล่ วิญญาณร้ายปากดำมองเขาอยู่เงียบๆ อย่างน่าขนลุก

ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปต้องตายแน่นอน แต่เขาจะทำอะไรได้? ในเมื่อเขาไม่สามารถแม้แต่จะจับหรือสัมผัสวิญญาณร้ายบนไหล่ได้เลย

ความเจ็บปวดที่ไหล่รุนแรงมากจนทำให้เขาต้องพิงกำแพงเพื่อพยุงร่างกาย

พอหันไปมองศพของคนงานคนนั้น ท่าทางของคนทั้งสองก็เหมือนกันเป๊ะ

“อ๋อ ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง...” จางหยวนชิงหัวเราะอย่างขมขื่น

เขาเหมือนจะเห็นจุดจบของตัวเอง ได้ยินเสียงถอนหายใจของยมทูตอยู่ใกล้หู แต่ว่าจางหยวนชิงก็ยังไม่ยอมแพ้ที่จะมีชีวิตรอด สมองของเขายังคงทำงานอยู่ เหมือน CPU ที่ทำงานหนักเกินพิกัด เพื่อหาหนทางเอาตัวรอดในสถานการณ์คับขันแบบนี้

ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง จู่ๆ ภาพศพที่อยู่ใต้โต๊ะในโบสถ์ก็แวบเข้ามาในกระแสข้อมูลที่ซับซ้อนและสับสนในหัวสมองเขา

“กระดูกไหล่ของศพทั้งสองแตกไม่เท่ากัน บาดแผลที่ไหล่ของศพในโบสถ์ที่วัดซันเต้าซานไม่ได้ร้ายแรงเท่าศพที่นี่นี่นา หรือว่าวิญญาณร้ายที่เกาะไหล่ปล่อยเขาไปเหรอ ไม่ วิญญาณร้ายเป็นไปไม่ได้ที่จะเมตตาคนหรอก...”.

“งั้นทำไมเขาต้องหนีไปอยู่ใต้โต๊ะ...”

“รองเท้าเต้นรำสีแดงนั่นก็เหมือนกัน มันตามเขามาตั้งแต่ตอนที่เข้ามาในวัดแล้ว แต่พอฉันเข้าไปในโบสถ์ อยู่ดีๆ มันก็หายไปซะเฉยๆ”

เมื่อนึกถึงตรงนี้ ดวงตาที่หมองคล้ำของจางหยวนชิงก็สว่างขึ้นด้วยความหวัง

กลับไปที่โบสถ์ ใช่ ต้องรีบกลับไปที่โบสถ์เดี๋ยวนี้!

เขาจึงลุกขึ้นทันที เดินออกจากห้องด้วยท่าทางเซื่องซึม แต่ละก้าวเดินยากลำบากราวกับแบกภูเขาไว้ทั้งลูก

“ตุบ!”

เขาหกล้มลงในลานวัด ท่ามกลางหญ้ารก ไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อีก แต่ละก้าวสุดแสนทรมาน

ฟันของจางหยวนชิงกระทบกันจนสั่น “กึกๆ” รู้สึกราวกับว่าตัวเองอยู่ในฤดูหนาวอันโหดร้าย มันกัดกร่อนจิตใจจนลุกลามไปถึงเส้นเลือดที่ลำเลียงชีวิต

จางหยวนชิงค่อยๆ คลานไปทางโบสถ์อย่างทุลักทุเล ใช้แรงทั้งตัว เงยหน้าขึ้นให้ดวงตาของตัวเองมองเห็นโครงร่างของอาคารด้านหน้าไว้เสมอ

แบบนี้ความหวังในดวงตาถึงจะไม่มอดดับ

ขาเดินทางมาจากโบสถ์ยังใช้เวลาเพียงประมาณ 1 นาที แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเหมือนไกลสุดขอบฟ้า

ในที่สุด เมื่อเขาคลานเข้ามาถึงใต้ชายคาของโบสถ์สำเร็จ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอันเลือนลาง ไหล่เบาลง ความหนาวเย็น ความมึนงง ความแข็งทื่อ และผลกระทบเชิงลบอื่นๆ ก็ค่อยๆ หายไปในทันที

จางหยวนชิงกลิ้งตัวและคลานขึ้นเชิงบันได ก่อนจะเดินเซไปทางด้านหน้าของประตูโบสถ์วัดซันเต้าซาน ผลักมันออกแล้วโยนตัวเองเข้าไปในธรณีประตู

แสงเทียนสลัวๆ ขับไล่ความมืดมัว นำพาความอบอุ่นมาให้เหมือนสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ

เขานอนแผ่บนพื้น หายใจเข้าออกแรงๆ หอบหายใจอย่างหนักหน่วง นอนอยู่อย่างนั้นประมาณ 2-3 นาที จึงรู้สึกว่าตัวเองกลับมามีชีวิตอีกครั้งสักที

“นะ..น่ากลัวเกินไป น่ากลัวเกินไปแล้ว...ฉันเดาถูกต้องหมดเลย โบสถ์ที่นี่ดูท่าจะปลอดภัยจากพวกมันจริงๆ ด้วย”

จากบาดแผลที่ไหล่ของโครงกระดูกทั้งสองที่แตกต่างกัน เขาคิดว่าต้องมีบางสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้วิญญาณร้ายไล่ตามคนในโบสถ์ได้อย่างแน่นอน และคนงานที่นอนขดตัวอยู่ใต้โต๊ะก็สอดคล้องกับสภาพจิตใจของคนที่ซ่อนตัวอยู่ในยามที่หวาดกลัวสุดขีด

ในใจของคนงานคนนั้นขณะมีชีวิตอยู่ คงมองว่าโบสถ์น่าเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเขาแล้ว

และรองเท้าเต้นรำสีแดงที่เลิกไล่ตามเขาก็เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการคาดเดานี้

ในช่วงเวลาต่อมา จางหยวนชิงก็ยังคงอยู่ในโบสถ์แห่งวัดซันเต้าซานต่อไป จนกระทั่งความเจ็บปวดที่ไหล่ลดลง อุณหภูมิร่างกายก็กลับมาเป็นปกติ และแน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้เจออันตรายใดๆ อีกเลย

“ถ้าโบสถ์แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยจริง ความหวังที่จะรอดชีวิตของฉันก็คงเพิ่มขึ้นมาเยอะแล้ว ถึงวิญญาณร้ายพวกนี้จะดูดพลังหยางฉันไปเยอะเหมือนกัน แต่ยังไงก็ยังหนีกลับมาที่นี่ทันเวลา แต่ถ้าแม่งไปเจอทั้งวิญญาณร้ายและไอ้รองเท้าเต้นรำสีแดงนั่นไล่ตามอีก คงหนีกลับมาที่โบสถ์นี้ไม่ได้แน่”

“เฮ้อ แต่สิ่งที่น่ากลัวและน่าขนลุกที่สุดของวัดนี้ คงไม่ได้มีแค่วิญญาณร้ายแน่นอน...ทำไงดีวะเนี่ย”

เขาไม่ได้โล่งใจซะทีเดียวที่เอาชนะวิกฤตความเป็นความตายเมื่อสักครู่ได้ เพราะในใจก็รู้ดีว่าวัดโบราณแห่งนี้ยังมีสิ่งที่น่ากลัวหลบซ่อนอยู่แน่นอน

ต้องรู้ไว้ว่าก่อนหน้านี้ มีทีมงานก่อสร้างทั้งทีมตายที่นี่เลยนะ! คนไม่ใช่จำนวนน้อยๆ สักหน่อย

พักอยู่เป็นเวลานาน ความกลัวจึงค่อยๆ ลดลง เขาครุ่นคิดว่าจะสำรวจต่อไปดีหรือไม่

เสียงในหัวของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง

[ ภารกิจหลัก ภารกิจที่หนึ่ง : เอาชีวิตรอดเป็นเวลาสามชั่วโมง (สำเร็จแล้ว) ]

[ ภารกิจหลัก ภารกิจที่สอง : สำรวจแดนวิญญาณหมายเลข 0079 ความคืบหน้าการสำรวจปัจจุบัน : 20% ]

[ หยวนซื่อเทียนจุน ขอแสดงความยินดีที่คุณทำภารกิจหลักสำเร็จหนึ่งภารกิจ กำลังคำนวณรางวัลให้...]

[ ได้รับไอเทม/ของ : ยันต์ปราบผี (สามารถดูได้ในแถบไอเทม) ]

[ ได้รับค่าประสบการณ์ : 15% ]

[ แถบไอเทมปลดล็อกแล้ว ]

[ คุณจะได้รับเวลาพัก 36 ชั่วโมง วิญญาณหมายเลข 0079 จะเปิดอีกครั้งใน : 35:59:40 ]

ภาพในโบสถ์วัดซันเต้าซานบิดเบี้ยว เหมือนผิวน้ำที่ถูกลมพัดจนเป็นริ้ว

เมื่อภาพชัดเจนขึ้นอีกครั้ง จางหยวนชิงก็เห็นหลอดไฟประหยัดพลังงานที่สว่างจ้า เห็นเตียงขนาดใหญ่ที่กว้างขวาง เห็นโต๊ะทำงาน เห็นเครื่องเล่นเกม ps5 เห็นหน้าต่างที่เปิดอยู่ ลมพัดเข้ามา ผ้าม่านก็พลิ้วไหวเล็กน้อย

เขากลับมาที่โลกมิติมนุษย์แล้วสินะ...

“กลับมาแล้วเหรอ!”

เขาหันซ้ายหันขวาด้วยความตกใจ เพื่อยืนยันว่าตัวเองกลับมาที่ห้องจริงๆ แล้วเขาก็ทรุดลงนั่งบนเตียงนุ่มๆ อย่างอ่อนล้าทันที

สูดหายใจเข้าลึกๆ อากาศช่างหอมหวานเหลือเกิน

การมีชีวิตอยู่นี่ช่างดีเหลือเกิน โลกมิติมนุษย์ช่างดีจริงๆ

หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที จางหยวนชิงก็ลุกขึ้นนั่ง รูดซิปแจ็คเก็ตลง แล้วก็พบว่ายันต์ปราบผีหายไปจริงๆ

ความคิด ‘ช่องเก็บไอเทม’ ก็ผุดขึ้นมาในหัวของจางหยวนชิงโดยธรรมชาติ ในเสี้ยววินาทีต่อมา ตารางสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

มันมีทั้งหมด 5 ช่อง ช่องแรกมีกระดาษยันต์สีเหลืองวางอยู่

เป็นประสบการณ์ที่แปลกมาก เมื่อแถบไอเทมปลดล็อกแล้ว ฟังก์ชันนี้ก็เหมือนกลายเป็นสัญชาตญาณของเขาโดยไม่ต้องเรียนรู้ เขารู้เองโดยธรรมชาติว่าจะเปิดแถบไอเทมอย่างไร

“นอกจากไอ้ยันต์ปราบผีนี่แล้ว เราก็ยังได้รับค่าประสบการณ์ 15% อีกนี่เนอะ เอ้า...แต่ทำไมเลเวลมันยังเป็น 0 อยู่เลยแฮะ งั้นก็หมายความว่าฉันก็ยังไม่ได้เป็นนักล่าวิญญาณอยู่ดีเหรอ เป็นแค่คนธรรมดาเหมือนเดิม?”

“แค่อยู่รอดให้ได้ 3 ชั่วโมงก็เกือบตายอยู่รอมร่อแล้ว แล้วนี่จะทำภารกิจที่สองยังไงไหวก่อน นี่มันความยากระดับ S สมชื่อจริงๆ...ยากชิบ”

จางหยวนชิงยิ่งคิดก็ยิ่งสิ้นหวัง รู้สึกเหมือนโดนอี้ปิงหลอกให้มาทำอะไรที่นี่ก็ไม่รู้

การ์ดสีดำใบนี้สามารถเปลี่ยนชีวิตได้ก็จริง แต่มันก็ดูอันตรายมากเหมือนกัน

เขารู้จักตัวเองดี ว่าเป็นเพียงนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ไม่เคยฆ่าแม้แต่ไก่สักตัว ดังนั้นในภารกิจที่สองที่กำลังจะมาถึงนี้ เขาแทบจะมองไม่เห็นทางรอดของตัวเองเลย

แต่แล้วจู่ๆ ประสบการณ์เมื่อคืนก็ทำให้เขาฉุกคิดถึงการหายตัวไปอย่างลึกลับของอี้ปิงขึ้นมากระทันหัน ถ้าเขาไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ เขาก็จะหายตัวไปอย่างลึกลับเหมือนอี้ปิงไหมนะ

ในฐานะเยาวชนที่ดีของสังคม ในตอนนี้ถึงเวลาที่เขาควรต้องพึ่งพาประเทศและรัฐบาลแล้วไหม

ดังนั้นเขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กำลังจะกดหมายเลขของลูกพี่ลูกน้องบ้านตรงกันข้าม แต่ก็หยุดชะงักลง

เพราะว่าจางหยวนชิงนึกขึ้นได้ว่า เขาน่าจะมีทางเลือกที่ดีกว่าสิ

เขาจึงลุกจากเตียงทันที ไปหานามบัตรที่ผู้ชายหัวล้านทิ้งไว้ในลิ้นชักใต้โต๊ะ บนนามบัตรมีชื่อและวิธีการติดต่ออยู่ครบถ้วน แน่นอนว่าอี้ปิงต้องเคยสัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณแน่นอน ดังนั้นการหายตัวไปของเขาอาจเกิดจากการเข้าไปในแดนวิญญาณแห่งใดแห่งหนึ่งหรือไม่?

เบาะแสนี้ เจ้าหน้าที่สืบสวนของกรมตำรวจอาจจะพอช่วยเหลือเขาได้

ส่วนเหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่เขาเลือกติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหัวล้านๆ ก็คือ อีกฝ่ายบอกว่าเขาอาจจะหายตัวไปด้วยถ้าไม่แจ้งเบาะแสอะไรเลย ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นการบอกนัยๆ กับเขาว่า ถ้าคุณไม่ยอมบอกเบาะแสอะไรเลยก็อาจจะหลุดเข้าไปในแดนวิญญาณได้เหมือนพี่ชายของคุณนะ

บางทีตำรวจอาจรู้เรื่องนี้อยู่แล้วก็ได้ เรื่องความลึกลับของแดนวิญญาณ

ยิ่งเมื่อรวมกับที่ลูกพี่ลูกน้องของเขาที่ขนาดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ยังไม่ได้รับการแจ้งข้อมูลใดๆ จางหยวนชิงจึงมีเหตุผลที่จะคาดเดาว่าทั้งสามคนเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษที่จัดการกับคดีนี้โดยเฉพาะ

เมื่อคิดได้ดังนั้น จางหยวนชิงก็โทรออกตามหมายเลขในนามบัตรทันที

เสียง “ตู้ดๆ” ดังขึ้นไม่กี่วินาที ปลายสายก็รับสาย เสียงผู้ชายวัยกลางคนทุ้มต่ำถามว่า

“ใคร?”

0 0 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด