ตอนที่แล้ววัดโบราณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปการกลับมา

เรื่องราวของเจ้าแม่


... จู่ๆ จางหยวนชิงก็ไม่อยากอยู่ในโบสถ์นี้อีกต่อไปแล้ว

เขารู้สึกเหมือนอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ร้องไห้ใครก็ไม่ได้ยิน ร้องไห้แค่ไหนใครก็ไม่ได้มาช่วยเหลือ

ที่นี่อันตรายสุดๆ แต่เขาก็ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากโลกภายนอกได้ เขาต้องพึ่งพาแต่ตัวเองเท่านั้น

หลังจากลังเลอยู่นาน เขาก็ตัดสินใจ ก้มตัวลงแล้วดึงโครงกระดูกที่ห่อด้วยชุดทำงานออกมา

แคว้ก~

ขณะกำลังจะดึงร่างโครงกระดูกนั้นออกมา ชุดทำงานที่คนนี้สวมใส่อยู่ก็ฉีกขาดออกอย่างง่ายดาย เสื้อผ้าผุพังไปนานแล้ว

เขาลากศพโครงกระดูกมาที่ใต้แสงเทียน อดทนต่อความรู้สึกไม่สบายใจ แล้วก็เริ่มตรวจสอบมันอย่างละเอียด

แม้ว่าคนจะตายแล้ว แต่ร่างกายจะบอกอะไรได้หลายอย่าง การหาสาเหตุการตายของอีกฝ่ายจะช่วยให้เขาหลีกเลี่ยงอันตรายได้อีกมากมายในอนาคต

"กระดูกหน้าอกและซี่โครงหักไปหลายซี่ ไหล่ขวามีรอยร้าวเล็กน้อย แต่ไม่รุนแรงเท่าไหร่..."

นี่หมายความว่า ผู้ตายได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อยังมีชีวิตอยู่ แต่สาเหตุการตายที่แน่ชัดไม่สามารถระบุได้เนื่องจากเวลาผ่านมานานเกินไป

จากนั้น จางหยวนชิงก็พบกระดาษสีเหลืองกรอบๆ อยู่ในกระเป๋าของคนงานคนนี้ไม่กี่แผ่น ซึ่งมีอายุหลายปีแล้ว

มีตัวอักษรจีนขนาดเล็กเขียนอยู่บนกระดาษ

จางหยวนชิงดีใจมาก เห็นได้ชัดว่ากระดาษแผ่นนี้เป็นสิ่งที่คนงานคนนี้ค้นพบในวัดขณะตอนมีชีวิตอยู่ ซึ่งจะช่วยให้เขาเข้าใจสถานการณ์ของวัดโบราณแห่งนี้ได้ดียิ่งขึ้น

อาศัยแสงเทียน เขาจ้องอ่านข้อความบนกระดาษอย่างตั้งใจ

"เมื่อคืนมีศิษย์น้องหายไปเพิ่มอีกคนนึงแล้วครับศิษย์พี่ นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่ศิษย์ร่วมสำนักเราหายตัวไปอย่างลึกลับ ศิษย์น้องบอกว่าวัดซันเต้าซานมีผีสิง หรืออาจมีปีศาจที่มีพลังยุทธสูงส่งมาที่นี่ทุกคืนเพื่อจับคนกิน แต่บรรดาศิษย์ในวัดทุกคนก็ล้วนมีวิชาติดตัวอยู่บ้าง ที่สำคัญ อาจารย์ของเราก็เป็นเซียนผู้มีชื่อเสียงในรัศมีหลายร้อยลี้ เดาไม่ออกเหมือนกันว่าจะมีปีศาจตนใดถึงขั้นกล้ามาหาอาหารกินถึงในนี้เชียวเหรอ”

"ส่วนเรื่องผีสิงนั้น เครื่องรางปราบผีและเครื่องรางเรียกวิญญาณของข้าก็มีเพียงพอแล้ว ไม่ต้องรบกวนอาจารย์เลยสักนิด แต่แค่รู้สึกไม่ดีเฉยๆ ที่นี่เหมือนจะมีอะไรไม่ค่อยชอบมาพากลจริงๆ ยังไงข้าก็ต้องรีบไปปรึกษากับพี่ใหญ่ให้ไวที่สุด..."

"วันนี้ก็มีคนหายไปอีกคนแล้ว ถ้านับจำนวนนี่ก็ถือว่าเป็นคนที่ห้า อาจารย์ให้เราปิดเรื่องนี้จากผู้มาสักการะ ไม่งั้นจะส่งผลกระทบต่อเรื่องภายในวัด ท่านคงรู้เรื่องอะไรอยู่ ยังไงข้ากับพี่ใหญ่นัดกันว่าจะออกลาดตระเวนตอนกลางคืนดูก่อน เผื่อป้องกันเหตุอะไรได้บ้าง"

"ตอนนี้ก็ผ่านไปสามวันแล้ว มีคนหายไปเพิ่มอีกสามคน แต่ข้ากับพี่ใหญ่ก็ยังหาเบาะแสอะไรไม่ได้อยู่ดี ตอนกลางคืนก็เงียบสงบ ไม่เห็นมีเหตุการณ์อะไรผิดปกติเลย เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นใจข้ายิ่งรู้สึกไม่ดีแปลกๆ"

"วันนี้พี่ใหญ่แปลกๆ เขาเหมือนจะค้นพบอะไรบางอย่างแล้วก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงมาก พอข้าถามเขา เขาก็ไม่ยอมบอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะลองถามเขาดูอีกทีละกัน"

"คนที่หายไปวันนี้คือ... พี่ใหญ่ ข้าหาเขาทั่วทั้งซันเต้าซานแล้วนะ แต่ก็ยังไม่เจอร่องรอยเลยสักนิด ข้า...ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว...ยังไงก็ต้องไปถามอาจารย์ให้รู้เรื่องให้ได้ ศิษย์พี่น้องในวัดก็สนับสนุนข้าด้วยเหมือนกัน เพราะพวกเขาก็กังวลใช้ชีวิตแต่ละวันไม่เคยอยู่เป็นสุขสักนิด..."

ลายมือในบันทึกนี้ค่อนข้างเลอะเทอะ แสดงให้เห็นว่าเจ้าของบันทึกอยู่ในสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ไม่ใช่น้อย จางหยวนชิงอ่านต่อไป

"หลังจากที่ข้าซักถามอย่างหนัก อาจารย์ก็ยอมบอกความจริงกับข้าในที่สุด ข้าเดาไว้แล้วไม่มีผิดจริงๆ ด้วย ท่านรู้สาเหตุที่ศิษย์น้องหายตัวไปอย่างลึกลับจริงๆ แต่ท่านบอกว่ากลางวันคนเยอะปากก็เยอะ พอพระอาทิตย์ตกดินแล้ว ท่านจะมาหาข้าที่ห้องแล้วบอกความลับอันยิ่งใหญ่กับข้า ความลับนี้เกี่ยวข้องกับความเจริญรุ่งเรืองและความเสื่อมถอยมาหลายพันปีของโลกทีเดียว"

"หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว จากนั้นข้าก็รออยู่ในห้องนอน รอจนพระอาทิตย์ตกดิน จำได้ดีเลยว่าตั้งแต่ที่มีคนหายตัวไปตอนกลางคืน ข้าก็ไม่เคยรู้สึกอยากให้ค่ำคืนมาถึงไวๆ อย่างนี้มาก่อน..."

บันทึกบนกระดาษสิ้นสุดลงที่ตรงนี้

หมดแล้วเหรอ ตอนจบแบบนี้มันน่าหงุดหงิดใจจริงๆ...

เขาเรียบเรียงข้อมูลในบันทึก ในช่วงปีหนึ่ง ศิษย์ของวัดเจ้าแม่ภูเขาแห่งนี้หายตัวไปอย่างลึกลับทีละคนๆ บรรดาศิษย์แทบทุกคนคนต่างก็อับจนไร้หนทางกันทั้งสิ้น ความกลัวแพร่กระจายขยายไปทั่วทั้งวัด แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่มีใครทราบสาเหตุหรือแก้ไขปัญหานี้ได้ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าอาวาสของวัด หรือคนที่พวกเขาเรียกว่าอาจารย์จะรู้สาเหตุต้นตอของปัญหาทั้งหมด แต่แค่ปกปิดไว้ไม่ยอมแพร่งพรายให้ใครรู้

สาเหตุนี้เกี่ยวข้องกับความลับอันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับความเจริญรุ่งเรืองและความเสื่อมถอยมาหลายพันปีของยุค

"เหตุผลที่วัดซันเต้าซานถูกทิ้งร้างขนาดนี้ก็ยังไม่รู้เหตุผลอยู่ดี หรือบางทีถ้าค้นหาต้นตอของเรื่องนี้ได้ ภารกิจหลักที่สองจะสำเร็จพร้อมกันด้วยเลยทีเดียวไหมนะ" จางหยวนชิงคาดเดา

เขาวางกระดาษที่กรอบลงบนชุดทำงานของศพโครงกระดูก แล้วผลักร่างนั้นกลับไปใต้โต๊ะที่เดิม เพื่อไม่ให้ตัวเองเหลือบไปบังเอิญเห็นอีก แล้วจึงคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป

"ข้อมูลในโบสถ์ก็มีอยู่แค่นี้ ถ้าจะสำรวจวัดโบราณอย่างน้อยก็ต้องออกไปข้างนอก แต่เฮ้ย! มันก็หมายถึงฉันต้องเอาชีวิตออกไปเสี่ยงน่ะสิ"

"แต่ในเรื่องเล่าลึกลับของอุโมงค์เสอหลิง มันมีคนงานคนหนึ่งที่รอดชีวิตมาได้นี่ ถ้าตามหาร่องรอยของหมอนั่นเจอ มันก็อาจจะช่วยให้หาทางออกจากที่นี่เจอก็ได้นะ หรือไม่ก็ต้องเจอวิธีเอาตัวรอดบ้างแหละ"

เป็นไงเป็นกันวะ!

หลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้ว จางหยวนชิงก็เดินไปที่ประตูโบสถ์แล้วเปิดประตูไม้ขัดที่สภาพโทรมๆ ทั้งสองบานออก

"เอี๊ยด~"

แกนประตูไม้ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดจนเสียวฟัน

เขาพิงกรอบประตูแล้วโผล่หัวออกไปทีละนิดเพื่อมองซ้ายมองขวา ข้างนอกเงียบสงัด นอกจากจะดูรกร้างและน่ากลัวแล้ว ก็ไม่เห็นอันตรายใดๆ

หลังจากสังเกตดูสักพัก เขาก็เหยียบข้ามธรณีประตูแล้วเดินไปตามทางเดินกรวดหินด้านซ้ายของโบสถ์ มุ่งหน้าไปยังลานหลังวัดทันที

แสงจันทร์สาดส่อง หญ้าป่าขึ้นรกทึบ จางหยวนชิงเดินไปได้หนึ่งหรือสองนาทีก็มีอาคารปรากฏขึ้นข้างหน้า

ตรงหน้า เป็นบ้านชั้นเดียวที่มีหลายๆ หลังเชื่อมต่อกันเป็นทอดๆ ก่อเป็นลานสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่มีกำแพงสีดำและสีขาว หลังคาเป็นรูปตัวอักษรจีน ใต้ชายคาเป็นหน้าต่างและประตูไม้ขัดเหมือนโบสถ์ของวัดซันเต้าซาน

ประตูไม้ขัดแต่ละบานเป็นสีเทาๆ บางบานก็เปิดอ้าทิ้งไว้ บางบานก็ผุพัง และบางบานก็ปิดไว้อยู่ กระดาษที่ใช้ปิดกันแสงตรงหน้าต่างก็ขาดวิ่นไปตามกาลเวลา

แสงจันทร์ส่องสว่างราวกับน้ำค้างแข็งที่เกาะพื้น เขาใช้แสงจันทร์สำรวจโครงร่างของลานหลังวัดเจ้าแม่บนภูเขา

นอกจากลานสี่เหลี่ยมที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ยังมีประตูโค้งอยู่ทางด้านตะวันออกอีกด้วย คล้ายกับประตูหลังบ้านของคฤหาสน์ในละครโทรทัศน์ ซึ่งจะใช้ประตูโค้งนี้เชื่อมต่อลานต่างๆ

ในลานถัดไปมีต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขา มีใบหนาทึบ กิ่งก้านบิดเบี้ยว

"อ๊ะ..."

ในลานที่เต็มไปด้วยหญ้าป่า จู่ๆ เขาก็พบโครงกระดูกหลายโครงที่สวมชุดทำงานเหมือนศพก่อนหน้านี้

เขาเดินเข้าไปอย่างระมัดระวังแล้วตรวจสอบอย่างละเอียด โครงกระดูกแต่ละโครงได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ชุดทำงานด้านล่างที่ห่อหุ้มกระดูกแตกหักเป็นท่อนๆ แต่ไหล่ของโครงกระดูกที่นี่ไม่เหมือนกับไหล่ของโครงกระดูกในโบสถ์ ไหล่ของโครงกระดูกที่นี่ไม่มีรอยร้าวใดๆ

"คนพวกนี้ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนตายเหมือนกันแฮะ แถมยังตายอย่างน่าสยดสยองมากด้วย..."

ลมพัดมา ใบไม้ดัง "วืด... วืด..." ในสายลม จางหยวนชิงได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาคล้ายกับเสียงร้องไห้ปนมากับเสียง "วืด... วืด...." ของลม

"ช่วยด้วย ช่วยด้วย..."

ในคืนที่รกร้างและเงียบสงัดนี้ เหงื่อเย็นซึมออกมาที่หลังของจางหยวนชิง

เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมตัวแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง สักพักสายลมก็หยุดพัด เสียงร้องไห้คร่ำครวญก็หายไปตามลม

ลานแห่งนี้ดูเหมือนจะอันตราย แต่สิ่งที่อยู่ข้างในก็ไม่ได้ออกมาแต่อย่างใด... เขาถอนหายใจเงียบๆ แล้วเหยียบหญ้าป่าในลานเดินต่อไป ในใจตั้งใจว่าจะสำรวจลานสี่เหลี่ยมนี้ให้ละเอียด

ณ บริเวณนี้ดูเหมือนจะเป็นที่พักของบรรดาศิษย์ในวัดซันเต้าซาน มีเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นละอองวางอยู่ไปทั่ว อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นเน่าอ่อนๆ

จางหยวนชิงสำรวจห้องต่างๆ ทีละห้อง แต่ก็ไม่พบอะไรพิเศษไปมากกว่านี้ จนกระทั่งผลักประตูไม้ขัดที่อยู่ด้านซ้ายมือออก

"เอี๊ยด~"

ประตูห้องที่ถูกปิดมานานก็ถูกผลักเปิดอีกครั้ง ฝุ่นผงร่วงหล่นลงมา จางหยวนชิงสะบัดฝุ่นที่ไหล่แล้วมองไปที่ทุกมุมของห้องอย่างระมัดระวัง

ในห้องที่ถูกทิ้งร้างมาหลายปีนี้ มีศพนอนพิงกำแพงอยู่ที่ริมหน้าต่างในสภาพเอียงๆ อยู่ศพหนึ่ง จากเสื้อผ้าและหมวกคนงานเหมืองที่ตกอยู่ใกล้ๆ เขาจึงอนุมานได้ว่าเป็นคนงานอีกศพหนึ่งที่ตายในวัดนี้

ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปในห้อง จางหยวนชิงก็สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ รู้สึกราวกับว่าอุณหภูมิรอบกายลดลงไปมาก

"หนาวจัง..."

เขาค่อยๆ เข้าไปหาศพแล้วเปิดเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นออก ตรวจสอบสภาพกระดูกของศพตามปกติ คราวนี้เขาไม่เห็นกระดูกที่หักซักท่อน มีเพียงโครงกระดูกที่ยังอยู่ครบสมบูรณ์

แต่เมื่อเขาเหลือบมองไปที่ไหล่ของศพ ดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นทันที ไหล่ของศพนี้มีรอยร้าวที่น่าตกใจจริงๆ

เหมือนกับรอยร้าวที่ไหล่ของศพในโบสถ์ แต่รอยร้าวของศพตรงหน้าดูรุนแรงกว่าเยอะมาก

"มีแค่ศพในห้องนี้กับศพในโบสถ์เท่านั้นที่ไหล่หัก นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า" เขาพึมพำด้วยความไม่สบายใจ จากนั้น จางหยวนชิงก็พบว่ากระเป๋ากางเกงของศพนั้นป่องๆ เหมือนมีอะไรซ่อนอยู่ข้างในบางอย่าง

เขาเอื้อมมือเข้าไปล้วงแล้วก็หยิบหนังสือเก่าๆ สีเหลือง กระจกทองแดงสีเทา และกระดาษยันต์สีเหลืองออกมาจากกระเป๋ากางเกงของโครงกระดูกร่างนี้

กระดาษยันต์สีเหลืองมีลวดลายที่บิดเบี้ยววาดด้วยสีชาด คล้ายกับอักษรจีนตัวเต็มคำว่า "ศพ"

ขณะที่กำลังตรวจสอบกระดาษยันต์สีเหลืองอยู่นั้น ข้อความสีน้ำเงินก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าจางหยวนชิง

[ ชื่อไอเทม : เครื่องรางปราบผี ]

[ ประเภท : ของใช้แล้วทิ้ง ]

[ คุณสมบัติ : ปราบผี ]

[ คำอธิบาย : เครื่องรางที่สร้างโดย เทพราตรี ผู้ทรงพลัง เป็นของต้องห้ามสำหรับสิ่งมีชีวิตที่เป็นซากศพและวิญญาณชั่วร้ายทั้งหลาย เมื่อติดไว้ที่หน้าผากของสิ่งมีชีวิตที่เป็นซากศพหรือวิญญาณชั่วร้าย ก็จะสามารถปิดผนึกพวกมันได้ ]

[ หมายเหตุ : ใช้ได้เพียงครั้งเดียว ]

ข้อความสีน้ำเงินนั้นคล้ายกับหน้าจอคุณสมบัติตัวละครของเขา เห็นได้ชัดว่านี่คือคำแนะนำที่มาจาก ‘แดนวิญญาณ’

"อืม...น่าจะเป็นไอเท็มสำคัญ" จางหยวนชิงพับเก็บแล้วใส่ลงในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต แล้วรูดซิปขึ้น

แต่ผ่านไปเพียงครู่เดียว หลังจากคิดดูแล้ว เขาก็รูดซิปลงอีกครั้ง เพราะเขาบังเอิญไปนึกถึงมุกตลกในนิยายกำลังภายในเรื่องหนึ่ง นักดาบผู้เก่งกาจคนหนึ่งชอบพันผ้าไว้ที่ปลายดาบแล้วสะพายไว้ที่หลัง วันหนึ่ง มีผู้ท้าทายมาท้าประลองขณะที่นักดาบกำลังกินข้าว

จากนั้นนักดาบคนนั้นก็ตาย...

ส่วนสาเหตุการตายก็คือผ้าพันดาบที่เขาแกะออกไม่ทัน...

จากนั้น จางหยวนชิงก็ลองหยิบหนังสือเล่มเก่าๆ และกระจกเงาขึ้นมา แต่ก็ไม่มีข้อความใดปรากฏขึ้นอีก

เขาวางกระจกไว้ข้างๆ ตัว แล้วเปิดสมุดบันทึกที่หน้ากระดาษเหลืองกรอบและเปราะบางอย่างระมัดระวัง

มีข้อความข้างในว่า

"ข้าเข้าวัดซันเต้าซานมาสองปีครึ่งแล้ว เริ่มเรียนรู้ที่จะพออ่านเขียนได้บ้าง วันนี้พี่ใหญ่บอกข้าว่าเมื่ออาจารย์กลับมาจากการปลดปล่อยวิญญาณแล้ว ข้าก็จะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่สำนักอย่างเป็นทางการเสียที และสามารถเริ่มฝึกฝนวิชากลืนดวงจันทร์และหล่อเลี้ยงวิญญาณได้เลยทันที นี่คือวิถีเริ่มต้นชองการก้าวสู่การเป็น เทพราตรี ที่ทรงพลัง"

"ไอ้เยี่ยนหวางก่อกบฏขึ้นมา ควันไฟแห่งสงครามจึงปะทุขึ้น อาจารย์ในฐานะผู้แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม เทพราตรี ของเมืองซงฟู่ จึงต้องเร่งลงเขาเพื่อปราบกบฏและปลดปล่อยผู้คน มิฉะนั้น หากสงครามยังไม่สิ้นสุด ภัยพิบัติก็จะเกิดขึ้นไม่จบไม่สิ้น และผู้คนจะยิ่งทุกข์ทรมานมากขึ้น..."

จางหยวนชิงรู้สึกว่าไหล่ของเขาเริ่มปวด จึงเอามือเอื้อมไปบีบขยี้เล็กน้อย พอลองวิเคราะห์ดูดีๆ นี่น่าจะเป็นบันทึกประจำวันของชายคนนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือไดอารี่ประจำตัวของเขา

เนื้อหาของไดอารี่หน้าถัดๆ ไปก็ล้วนเป็นประสบการณ์ของ 'ผู้เขียน' ในช่วงการฝึกฝนและใช้ชีวิตในวัดทั้งสิ้น โดยพิจารณาจากลายมือแล้ว ไดอารี่เล่มนี้และกระดาษที่พบในร่างของศพในโบสถ์มีที่มาจากแหล่งเดียวกัน

หากพิจารณาจากคำว่า ‘กบฏเยี่ยนหวาง’ ไทม์วีแชทนี้ก็คงจะเป็นช่วงประวัติศาสตร์ของสงครามเจิ้งหนาน

แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าวัดนี้จะมีอยู่จริงในประวัติศาสตร์หรือไม่ เพราะเนื้อหาในไดอารี่ก็มีแต่คำที่ไม่คุ้นเคยทั้งนั้น อีกทั้งพอฟังก็รู้สึกแปลกๆ ทะแม่งชอบกล ยกตัวอย่างเช่น ‘การฝึกฝน’ ‘เทพราตรี’ หรือแม้แต่คำว่า ‘วิชากลืนดวงจันทร์และหล่อเลี้ยงวิญญาณ’ ทั้งหมดนี้มันหมายความว่ายังไงกันแน่

จางหยวนชิงขยับไหล่ที่ปวดเมื่อย แล้วมองไปรอบๆ ห้องอย่างระมัดระวัง เงี่ยหูฟังเสียงข้างนอกเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ จากนั้นจึงอ่านไดอารี่ต่อ

ในไม่ช้า เขาก็พลิกหาหน้าที่มีเนื้อหาต่อจากที่ฉีกขาดในโบสถ์ หน้าแรกๆ ถูกฉีกออก เนื้อหาต่อมาก็เขียนไว้ว่า

"พระอาทิตย์ตกดิน ในที่สุดก็มืดแล้ว ข้าได้ยินเสียงเคาะประตู จากนั้นก็ตัดสินใจเปิดประตูด้วยความตื่นเต้น แต่คนที่ยืนอยู่หน้าประตูไม่ใช่ท่านอาจารย์ แต่กลับเป็นพี่ใหญ่ที่หายตัวไปเมื่อคืน"

"พี่ใหญ่ที่หายตัวไปทั้งวันทั้งคืนกลับมาแล้ว แต่ข้าไม่ได้รู้สึกยินดีเลยนะ เพราะว่า... เขาตายไปแล้ว สิ่งที่กลับมาคือศพ อกของเขาเปื้อนเลือดและหัวใจของเขาก็ถูกควักออกอย่างน่าสยดสยอง"

"พี่ใหญ่จ้องมาที่ข้า เขาพูดว่า อย่าไว้ใจท่านอาจารย์... "

ข้อความเหล่านี้เขียนอย่างคดเคี้ยวและบิดเบี้ยว จินตนาการได้เลยว่าขณะที่เจ้าของบันทึกกำลังเขียนเนื้อหาเหล่านี้ จิตใจของเขาเป็นอย่างไร

เมื่อจางหยวนชิงพลิกไปยังหน้าถัดไป เขาก็พบว่าไม่มีเนื้อหาต่อแล้ว เจ้าของไดอารี่ไม่ได้เขียนบันทึกประจำวันไว้อีก

"หืม... อย่าไว้ใจท่านอาจารย์หมายความว่ายังไงวะเนี่ย"

จุดหักมุมนี้ทำให้จางหยวนชิงรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว

เจ้าอาวาสฆ่าพี่ใหญ่หรือไม่ เขาเป็นคนทำให้ลูกศิษย์หายตัวไปทีละคนงั้นเหรอ จางหยวนชิงขยี้ไหล่ของเขาแล้วใส่สมุดบันทึกกลับเข้าไปในกระเป๋าของศพ จากนั้นหยิบกระจกขึ้นมาแล้วกำลังจะออกไป แต่เมื่อหางตาของเขาเหลือบไปเห็นกระจกโดยไม่ได้ตั้งใจ ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อทันที

แสงจันทร์สาดส่องลงบนกระจกสะท้อนให้เห็นรูปร่างหน้าตาของเขา และบนหลังของเขาก็มีคนขี่อยู่

ใบหน้าของคนผู้นั้นซีดเซียว ริมฝีปากสีม่วงเข้ม มีดวงตาสีขาว และศีรษะของเขาก็พิงอยู่ที่ไหล่ของจางหยวนชิง ดวงตาสีขาวนั้นจ้องมาที่เขาอย่างว่างเปล่า

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด