บทที่ 155 การตอบแทน
หลัวเฉิงมิได้ใส่ใจกับการแสดงท่าทีของทั้งสอง หลังขานนามของตนออกไปแล้ว เขาก็มองยังศพของหมาป่าหมอกทมิฬที่กองอยู่บนพื้นแล้วกล่าวว่า
“แต้มของหมาป่าหมอกทมิฬเหล่านี้…”
เขายังไม่ทันจะได้กล่าวจบ หวงซางก็ฟื้นสติแล้วแย้มยิ้มกล่าวว่า “แน่นอน มันเป็นของเจ้า”
หลัวเฉิงพยักหน้า แล้วหยิบป้ายหยกประจำตัวของตนออกมา ก้าวไปข้างหน้าเพื่อรวบรวมแต้มจากสัตว์อสูร
ระหว่างนั้น หวงซางขยับร่างเข้าใกล้โจวจินซวนแล้วกระซิบกระซาบ “เขาใช่หลัวเฉิงคนนั้นหรือไม่”
โจวจินซวนพยักหน้าเล็กน้อย “เป็นเขามิผิดแน่”
ดวงตาสดใสของหวงซางสุกสกาวขึ้นทันที นางจับจ้องยังแผ่นหลังหลัวเฉิง นางกัดริมฝีปากแดงรางเลือดเล็กน้อยจากนั้นเผยอเอ่ยอีกครั้งว่า “หากเจ้านำหัวของเขาออกไปได้ เจ้าจะสามารถกลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอกได้ทันที…”
“นี่...เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!”
ดวงตาของโจวจินซวนเดี๋ยวลุกวาวเดี๋ยวหม่นหมองสับสนไปหมด ทันใดก็มองไปทางหวงซางแล้วส่ายศีรษะ
เฮอะ!
หวงซางฮึดฮัดจมูกอย่างไม่พอใจแล้วกล่าวเสียงเย็นชา “ข่าวนี้ทุกคนล้วนทราบดี! ต่อให้เราไม่ลงมือ คนอื่นก็ต้องทำอยู่ดี! เลวร้ายที่สุด เราก็แค่เผากระดาษเงินกระดาษทองให้เขาทุกปีเท่านั้นเอง!”
ขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น หวงซางก็เหลือบมองโจวซิงซวนด้วยแววตาสุกใสของนาง
“โจวจินซวน เจ้าจะยอมรับชะตากรรมเป็นศิษย์บำรุงสำนักเยี่ยงนี้ตลอดไปงั้นหรือ ไหนเจ้าสัญญากับข้าว่าจะสร้างความยิ่งใหญ่นับแต่นี้ นี่อย่างไรเล่าโอกาสอยู่เพียงแค่เอื้อมเจ้าแล้ว!”
โจวจินซวนขมวดคิ้วใคร่ครวญความคิด
ระหว่างนั้นเอง หลัวเฉิงก็ได้รวบรวมแต้มของหมาป่าหมอกทมิฬหลายตัวเสร็จแล้ว จากนั้นหันมาหาทั้งสอง
“ในเมื่อตอนนี้พวกเจ้าทั้งคู่สบายดีแล้ว เช่นนั้นเราก็ลากันตรงนี้เถิด”
เป้าหมายของเขาคือการคว้าเอาหนึ่งในสิบอันดับแรกของการทดสอบชิงอวิ๋น อีกทั้งตั้งแต่อยู่ที่นี่เขาก็เสียเวลาไปมากเอาการแล้ว
“หลัวเฉิง โปรดรอสักครู่!”
ใบหน้างดงามของหวงซางปรากฏรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้ม นางเดินเข้าใกล้หลัวเฉิงแล้วกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวล
“เกาะชิงอวิ๋นแห่งนี้เต็มไปด้วยอันตรายมากมาย ว่ากันว่ามีสัตว์อสูรระดับสูงสองดาว เราควรตั้งกลุ่มออกล่าแล้วดูแลซึ่งกันและกันมิดีกว่าหรือ ส่วนแต้มของสัตว์อสูรที่ถูกล่ามาได้นั้น ก็แบ่งให้เท่าๆ กันเจ้าเห็นเป็นอย่างไร?”
หลัวเฉิงส่ายศีรษะ “ขอบคุณน้ำใจแม่นาง แต่ข้านั้นชินชากับการอยู่อย่างลำพังมากกว่า”
แต่แท้จริงนั้น เขาคิดว่าจะสามารถกลืนวิญญาณสัตว์อสูรได้อย่างไรหากยังมีคนอยู่ใกล้
ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว พวกเขาทั้งสองยังเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสี่ธรรมดาทั่วไป เขาจึงลำบากใจในการจะเข้าร่วมทีม
“พวกเจ้าโปรดรักษาตัวด้วย ต้องลาแล้ว!”
หลังกล่าววาจาเช่นนั้น หลัวเฉิงก็หันหลังจากไปทันที
“อ๊ะ!”
หวงซางไม่คิดว่าหลัวเฉิงจะปฏิเสธได้ลงคอ ดังนั้นนางจึงยื่นมือออกไปปรามเขาไว้ก่อน
หลัวเฉิงขมวดคิ้ว “มีอะไรงั้นหรือ?”
หวงซางกลอกตาหยาดเยิ้มกล่าวว่า “เจ้าช่วยชีวิตเราไว้ แล้วเรายังไม่ได้ตอบแทนเจ้าเลย เอาเป็นว่าเราจะมอบแต้มสัตว์อสูรที่ล่ามาก่อนหน้าให้เจ้าดีหรือไม่ ถือเป็นการตอบแทนที่เจ้าช่วยชีวิตพวกเราไว้”
“โอ้?”
หลัวเฉิงไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะมีน้ำใจมากขนาดนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ “ตกลง!”
หวงซางหยิบป้ายหยกประจำตัวของหลัวเฉิงเอาไว้ในมือ แล้วกดปลายนิ้วลงบนป้ายหยกเพื่อบีบเลือดออกมา จากนั้นหยดมันลงบนป้ายหยกประจำตัวหลัวเฉิงหนึ่งหยด
ทันใดนั้น หมายเลขสามสิบห้าก็ปรากฏบนป้ายหยกประจำตัว!
แต้มการล่าสัตว์อสูรทั้งหมดสามสิบห้าแต้มที่ได้รับจากหวงซาง ถูกโยกย้ายไปยังป้ายหยกของหลัวเฉิง
ระหว่างที่ทำเช่นนี้อยู่ หวงซางทอดตามองยังโจวจินซวน ที่ยืนอยู่ด้านหลังของหลัวเฉิง เป็นครั้งคราว ด้วยสายตาบ่งบอกสัญญาณการลงมือเพื่อกระตุ้น
โจวจินซวนขมวดคิ้วเข้าเป็นปม ขณะที่มือขวายังคงกระชับด้ามดาบแน่นแล้วคลายออก กระชับและคลายอยู่หลายครั้ง แต่กระนั้นก็ยังไม่ทันได้ลงมือ
ความหงุดหงิดรำคาญใจฉายแววในดวงตาของหวงซาง ไม่ช้านางก็ยื่นป้ายหยกให้โจวจินซวน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“รับไปสิ! อยากเห็นนักว่าเจ้าจะมีกี่แต้ม!”
โจวจินซวนรับป้ายหยกไป แต่ในใจเกิดความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดก็ชักดาบออกมาด้วยเสียงดังกราว แล้วกดปลายนิ้วลงบนคมดาบ
ไม่ทันไรก็หยดเลือดลงไปบนป้ายหยก หมายเลขสี่สิบหกก็ปรากฏขึ้นทันที!
สี่สิบหกแต้มรวมกับสามสิบห้าแต้มของหวงซาง มันเพิ่มขึ้นเกือบร้อยแต้มทีเดียว
สิ่งนี้ทำให้หลัวเฉิงมีประกายความสุขน้อยๆ ฉายในแววตา ครั้งนี้เขาได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือชีวิตผู้คน แต่ท้ายที่สุดการกระทำความดีของเขาก็นับว่าไม่สูญเปล่า
แต่ระหว่างนั้น จู่ๆ ก็เกิดการเคลื่อนไหวอย่างฉับพลัน