ตอนที่แล้วการมาถึงของความลึกลับ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเรื่องราวของเจ้าแม่

วัดโบราณ


จางหยวนชิงมองไปรอบๆ อย่างตื่นตระหนก เมื่อจู่ๆ ก็ถูกพาไปยังสถานที่แปลกประหลาด ใครๆ ก็ตกใจเมื่อต้องมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้

"อุโมงค์? หรือที่นี่จะเป็นอุโมงค์เสอหลิงในเรื่องเล่าพวกนั้นจริงๆ "

ในฐานะคนที่เติบโตในเมืองซงไห่ เขาย่อมรู้จักเรื่องเล่าลึกลับทั้งสิบเรื่อง รวมถึงอุโมงค์เสอหลิงด้วยแน่นอน ตอนเด็กๆ เวลาดื้อไม่ยอมนอน คุณยายก็จะเล่าเรื่องน่ากลัวพวกนี้ให้เขาฟังเพื่อขู่อยู่เป็นประจำ

แต่ไม่ต้องพูดถึงว่าใครฟังก็รู้ว่าเป็นเพียงนิทานเรื่องเล่าไร้สาระ เมื่อพูดถึงอุโมงค์เสอหลิง ตอนที่จางหยวนชิงกลับบ้านเกิดไปเซ่นไหว้พ่อเมื่อไม่กี่วันก่อน ก็ยังเพิ่งเดินทางผ่านอุโมงค์นี้มาเลย

อุโมงค์เสอหลิงสมัยก่อนที่แท้จริงรูปร่างเป็นแบบนี้หรือเปล่า เก่าขนาดนี้เลยเหรอ

"อ้อ ใช่แล้ว ที่นี่คือแดนวิญญาณนี่นา อาจไม่ใช่ในอุโมงค์เสอหลิงของจริงหรอก"

สภาพแวดล้อมที่คับแคบทำให้จางหยวนชิงรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย เขาเดินหน้าอย่างระมัดระวัง มีเพียงเสียงฝีเท้าของตัวเองที่ดังก้องอยู่เงียบๆ

ขณะเดินไป เขาก็คิดถึงสถานการณ์ของตัวเอง คิดถึงข้อมูลที่เสียงในหัวบอกมา

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในเวลานี้เขาได้พบกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเข้าแล้ว และยังถูกพาไปยังเรื่องเล่าลึกลับ ที่จะต้องทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายมา

"อืม...ภารกิจสองอย่าง คืออยู่รอดให้ได้สามชั่วโมง กับสำรวจแดนวิญญาณงั้นเหรอ"

ต้องอยู่รอดให้ได้สามชั่วโมง หมายความว่าที่นี่จะต้องมีอันตรายเยอะแยะแน่นอน

สำรวจแดนวิญญาณ... น่าจะหมายถึงสำรวจอุโมงค์นี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คืออุโมงค์นี้จะต้องมีอันตรายมากมายรออยู่

เขาเกร็งเส้นประสาทอย่างเงียบๆ ในขณะเดียวกัน คำถามก็ผุดขึ้นมาในหัวไม่หยุด

และถ้าทำภารกิจนี้สำเร็จจะมีรางวัลอะไรให้หรือเปล่า?

เฮ้ย! แต่มันเป็นภารกิจนะเว้ย ก็ต้องมีรางวัลสิ...

"ตามแผงคุณสมบัติตัวละครเมื่อกี้ คลาสอาชีพของฉันคือ เทพราตรี แต่เลเวลมันเป็น 0 ไม่ใช่เลเวล 1  แล้วไอ้คลาสอาชีพเทพราตรี นี่มันคืออะไร? ทำอะไรได้วะเนี่ย"

"อี้ปิงคงพูดถูก ดูท่าไอ้การ์ดสีดำใบนี้จะเปลี่ยนชีวิตฉันได้จริงๆ แต่ไอ้ที่บอกว่าแม้แต่ตัวเองยังควบคุมไม่ได้ นั่นมันหมายถึงเพราะอันตรายมากหรือเปล่า"

จางหยวนชิงวิเคราะห์ข้อมูลที่ทราบอย่างเงียบๆ

ในขณะนั้นเอง หลอดไฟซีนอนโบราณข้างตัวเขาก็ดูเหมือนไฟฟ้าไม่เสถียร กะพริบสองสามครั้ง แสงสว่างและความมืดก็สลับกันไป จางหยวนชิงมองเห็นรางๆ ว่ามีเงาร่างหนึ่งสวมหมวกคนงานเหมืองยืนอยู่ใต้แสงไฟ

เหี้ยไรเนี่ย!!!

......เขาตกใจจนตัวสะดุ้งขึ้น ความคิดในหัวขาดตอนทันที เขาหันหลังกลับแล้วพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างตกใจเหมือนกวางน้อย

หันกลับไปมอง หลอดไฟซีนอนยังคงสว่างอยู่ ไม่กะพริบอีกแล้ว

เงาร่างสวมหมวกคนงานเหมืองเมื่อกี้ก็หายไปแล้วเหมือนกัน ดูเหมือนจะเป็นภาพหลอนของเขาเองสินะ

ตกใจหมด...

หลังจากตกใจครั้งนี้ จางหยวนชิงก็ไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่อแล้ว เขารีบเดินอย่างรวดเร็วไปทางปากอุโมงค์โดยไม่รีรอ

เสียงฝีเท้าดังก้องในอุโมงค์ที่เงียบสงบ จางหยวนชิงไม่กล้าหยุดแม้แต่ก้าวเดียว เขาเดินเร็วแบบนี้มาห้าหกนาที กระทั่งหลอดไฟซีนอนทรงโค้งด้านบนก็กะพริบอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีเงาร่างสวมหมวกคนงานเหมืองปรากฏขึ้นอีกแล้ว

"มันไม่ได้ตามมาใช่ไหม"

ใจเขาโล่งขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าหยุด เดินก้มหน้าอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นรายละเอียดที่ทำให้หัวใจหยุดเต้นที่พื้น

หลอดไฟซีนอนสีส้มส่องผ่านตัวเขาจนทำให้เงาของเขายืดยาวมาก และมีเงาสิบกว่าเงาตามหลังเงาของเขาอยู่

ตึกตัก ตึกตัก

เสียงหัวใจเต้นระรัวเร็ว

มันตามผมมาตลอดเลยงั้นเหรอ?!?

ความเย็นยะเยือกแล่นจากเท้าขึ้นไปถึงหัว ทำให้ขนลุกไปทั้งตัว ใบหน้าของจางหยวนชิงซีดเผือด เขา "ตุบๆๆ" วิ่งหนีอย่างบ้าคลั่ง

ในที่สุด ปากอุโมงค์ข้างหน้าก็ปรากฏขึ้น ที่ปากอุโมงค์ด้านนอกเป็นแสงจันทร์อันเย็นยะเยือกราวกับน้ำค้างแข็ง จางหยวนชิงวิ่งออกจากอุโมงค์ในลมหายใจเดียว คุกเข่าลงแล้วจับเข่าตัวเองก่อนจะก้มลงหายใจอย่างสุดปอด

หลังจากหายใจจนทั่วท้องแล้ว เขาก็สำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ ดวงจันทร์กลมโตแขวนอยู่บนท้องฟ้าอย่างโดดเดี่ยวในความเงียบสงัด แสงของมันทำให้ดวงดาวมัวหมอง ป่าอันอุดมสมบูรณ์อาบแสงจันทร์ ทอดเงาหนาทึบเป็นบริเวณกว้าง

เขาอยู่ท่ามกลางป่าเขาที่รกร้างอันว่างเปล่า

หลอดไฟซีนอนในอุโมงค์กะพริบอีกสองสามครั้งแล้วดับลงทั้งหมด ปากอุโมงค์ขนาดใหญ่ดำมืดเงียบสงัดราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังเลือกเหยื่อ

"รีบออกไปจากที่นี่เถอะ..."

หนังศีรษะของจางหยวนชิงชาด้านไปหมด เขาตัดสินใจเดินขึ้นเขาไปตามทางบนภูเขาที่ขรุขระ

หลังจากเดินไปสิบกว่าก้าว เขาก็หันกลับไปอีกครั้ง ก่อนจะเห็นเงาร่างสวมหมวกคนงานเหมือง ชุดเก่าๆ ก้มหัวอยู่ที่ปากอุโมงค์

พวกเขายืนอยู่ในเงามืดที่แสงจันทร์ส่องไม่ถึง ไม่พูดอะไรเลย ราวกับกำลังส่งเขาไป

จางหยวนชิงตกใจถอยหลังไปสองสามก้าว แล้วหันหลังวิ่งขึ้นเขาไปอย่างไม่คิดชีวิต

สองข้างทางภูเขาเต็มไปด้วยใบไม้หนาทึบ แสงจันทร์ส่องลงมาเป็นจุดๆ เล็กๆ พอให้จางหยวนชิงมองเห็นทาง เพียงแต่ภูเขานั้นเงียบสงัดน่ากลัวเหลือเกิน ไม่มีเสียงแมลงหรือเสียงนกร้องในป่าสักนิด ทำให้เสียงฝีเท้าของจางหยวนชิงดังก้องเป็นพิเศษ

"มันเงียบเกินไปเปล่าวะเนี่ย ฤดูนี้เป็นไปไม่ได้เลยนะที่บนภูเขาจะไม่มีแม้แต่เสียงแมลงสักตัว"

เขาสำรวจโดยรอบ ดวงจันทร์กลมโต ต้นไม้สั่นไหว รู้สึกตลอดเวลาว่ามีบางอย่างจ้องมองเขาอยู่ในความมืดพวกนั้น

ไม่รู้ว่าเดินไปนานแค่ไหน จนกระทั่งร่างกายมีเหงื่อซึมออกมา จางหยวนชิงก็เดินออกจากป่าทึบ ในที่สุดเขตสายตาก็เปิดกว้างขึ้น แสงจันทร์เหมือนน้ำ บริเวณรอบๆ เงียบสงัดไปหมด จุดสิ้นสุดของทางภูเขาที่ขรุขระคือวัดโบราณที่ถูกทอดทิ้งวัดหนึ่ง

ยืนนิ่งๆ อยู่ในความมืด...

เขาไม่รู้เลยว่าวัดโบราณนี้ถูกทอดทิ้งมานานแค่ไหนแล้ว สีประตูหน้าวัดก็ลอกดำคล้ำ ประกอบกับมีรูพรุนเต็มไปหมด โคมไฟที่ชายคาตกลงมาบนพื้น เหลือเพียงโครงไม้ไผ่ผุๆ ที่ใกล้จะพังลงมา

ส่วนป้ายชื่อวัดยังติดครบสมบูรณอยู่ แต่เต็มไปด้วยใยแมงมุม แขวนอยู่ที่ชายคาอย่างเอียงๆ เพียงแต่แสงสว่างน้อยเกินไป ถึงทำให้เขามองไม่เห็นว่าเขียนอะไรอยู่บนป้าย

บันไดหน้าวัดแตกร้าว มีวัชพืชขึ้นตามบันไดเต็มไปหมด

ที่นี่เป็นภูเขาที่รกร้างว่างเปล่า ไม่มีหมู่บ้านหรือร้านค้าใดๆ แล้วมันจะมีวัดหลุดมาได้ยังไง

เดี๋ยวนะ... วัดเหรอ!

จางหยวนชิงเพิ่งนึกได้ เสียงข้างหูเหมือนกับคำที่ชายเสียสติคนนั้นบอก

"อย่าเข้าวัด อย่าเข้าวัด..."

"ตามคำแนะนำของเสียงประหลาดนั่น ไม่ควรเข้าวัดก็จริง แต่ในเมื่อฉันเพิ่งโดนไล่ออกจากอุโมงค์มา ภารกิจมันก็เหลือแค่วัดเก่าๆ นี้ให้สำรวจแค่นั้น"

หลังจากลังเลอยู่หน้าวัดนาน จางหยวนชิงก็ก้าวเท้าอย่างระมัดระวัง เดินไปทางวัดโบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่ในความมืด ก้าวข้ามธรณีประตูที่ชำรุด

สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคือลานหน้าวัดอันกว้างขวาง ภายในลานมีหญ้าป่าสูงถึงเอว กระถางธูปผุพังสูงครึ่งคนล้มคว่ำอยู่ในพงหญ้า ไม่รู้ว่าโดนลมพายุมาแล้วกี่ปี

ใต้ฝ่าเท้าเป็นทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินสีเขียว มีหญ้าป่าขึ้นเป็นกระจุกตามร่องแผ่นหิน

สายตาเขาเลื่อนผ่านหญ้าที่ขึ้นรกครึ้มไปทางปลายทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินสีเขียว ที่นั่นมีโบสถ์ที่ทรุดโทรม ฐานสูงมาก บันไดมีถึงหกขั้น มีแสงสีเหลืองสลัวส่องออกมาจากประตูไม้ขัดของโบสถ์

"ตรงนั้นมีแสงไฟเหรอ"

รอบๆ เงียบสงัด รกร้างและทรุดโทรม แสงจันทร์สีขาวสาดส่องลงมา ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ แสงสลัวๆ นั้นไม่ได้ทำให้จางหยวนชิงรู้สึกอบอุ่นขึ้นเลย

ยิ่งรู้สึกน่ากลัวเข้าไปใหญ่

จางหยวนชิงเดินฝ่าพงหญ้าป่าที่เหี่ยวเฉาไปข้างหน้า เขาเฝ้าระวังและเดินไปทางโบสถ์ด้วยเสียงฝีเท้าที่ดังก้องเป็นพิเศษ ท่ามกลางความเงียบสงบของบริเวณรอบๆ

จู่ๆ หูของจางหยวนชิงก็กระดิก เสียงฝีเท้าอีกเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง มีบางอย่างเดินตามเขามา

เขารีบหันกลับไปทันที

กลางคืนมืดเหมือนน้ำ หญ้าป่าขึ้นรก ปรากฎว่าไม่มีอะไรอยู่ด้านหลัง

"หูฝาดหรือเปล่า"

จางหยวนชิงหยุดอยู่ครู่หนึ่งด้วยใจเต้นระทึก แล้วก้าวเดินต่อไปอีกครั้ง

"สะ... เสียงฝีเท้า"

เสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขาได้ยินอย่างชัดเจน มีบางอย่างเดินตามเขามาจริงๆ!

........คงไม่ใช่เรื่องลี้ลับอะไรหรอกนะ เพิ่งเข้าวัดมาก็เจอผีอีกแล้วเหรอ เขาไม่กล้าหันกลับไปมอง กลับเร่งฝีเท้ามากขึ้น

แต่กลับกลายเป็นว่าเสียงฝีเท้าจากด้านหลังก็เร็วขึ้นตามไปด้วย จางหยวนชิงทนไม่ไหวอีกต่อไป ขณะที่ขนลุกซู่ไปทั้งตัว เขาก็วิ่งสุดแรงเกิด พุ่งไปทางโบสถ์ด้านหน้าทันที

เสียงฝีเท้าจากด้านหลังยังคงตามติดมาไม่ห่าง ไล่ตามเขามาเรื่อยๆ

ระหว่างหนีการไล่ล่า จางหยวนชิงก็วิ่งออกจากพงหญ้าอย่างรวดเร็ว ลัดเส้นทางไปโบสถ์ให้ใกล้ที่สุด จนในที่สุดก็ถึงจุดหมาย เขารีบก้าวขึ้นบันไดหกขั้นในสองก้าว ในที่สุดก็ผลักประตูไม้ขัดของโบสถ์สำเร็จ เปิดออกพร้อมกับเสียงดัง "โครม"

เสียงฝีเท้าจากด้านหลังก็หายไปทันที

"ฮั่กๆ ฮั่กๆ..."

เขาหายใจหอบๆ ในที่สุดก็กล้าหันกลับไปมอง แสงจันทร์สาดส่องลงมาในลานวัด หญ้าป่า ทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหิน เงียบสงัดจนน่ากลัว แต่ไม่มีอะไรเลย

"โชคดีที่ไม่ไล่ตามมาอีก..."

หลังจากที่จางหยวนชิงหายใจได้ทั่วท้องแล้ว เขาก็ปิดประตูโบสถ์เบาๆ ราวกับกำลังกั้นความกลัวเอาไว้ข้างนอก

จากนั้น เขาก็สำรวจภาพภายในโบสถ์รอบๆ บนแท่นหินสูง มีรูปปั้นเจ้าแม่สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ สวมชุดหรูหรา ใบหน้ากลมโต คิ้วเรียวเล็ก แฝงไว้ด้วยความเมตตา

เจ้าแม่องค์นี้ถือไม้ปัดขนไก่ในมือข้างหนึ่ง อีกข้างทำท่ากำสิ่งของเอาไว้ เดิมทีดูเหมือนจะถืออะไรบางอย่างอยู่ แต่ตอนนี้ในมือกลับว่างเปล่า

ด้านซ้ายและขวามีเด็กหนุ่มถือดาบและสาวใช้ถือหนังสือ ด้านหน้าแท่นหิน มีโต๊ะเครื่องเซ่นที่เต็มไปด้วยฝุ่นละออง บนโต๊ะมีเชิงเทียนวางอยู่ มีเทียนยาวกว่า 20 เซนติเมตร หนาเท่าแขนทารกเล่มหนึ่งจุดอยู่เงียบๆ

แสงเทียนส่องสว่างไล่ความมืดออกไป ราวกับไล่ความกลัวในใจของจางหยวนชิงออกไปด้วย เขาเริ่มรู้สึกสงบลงมาก ขณะที่บนผนังด้านซ้าย มีแผ่นไม้สองแผ่นที่ซีดจางและแตกเป็นเสี่ยงๆ แขวนอยู่ มีตัวอักษรจีนเขียนเต็มไปหมด

จางหยวนชิงเดินไปที่ผนังอย่างช้าๆ อาศัยแสงเทียนในยามพลบค่ำมองดู ตัวอักษรจีนเหล่านี้เป็นตัวอักษรแบบโบราณ ระดับภาษาจีนของเขาค่อนข้างดี จากการเดาและอ่านคร่าวๆ เขาจึงคิดว่าตัวเองเริ่มเข้าใจเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมและบริบทของสถานที่แห่งนี้แล้ว

ภูเขาลูกนี้ชื่อซันเต้าซาน ส่วนเจ้าแม่ที่ประดิษฐานอยู่ในวัดนี้ก็ชื่อซันเต้าซานเช่นกัน

เจ้าแม่ภูเขาลูกนี้เป็นชาวซงฟู่สมัยต้นราชวงศ์หมิง บำเพ็ญเพียรที่ภูเขาซันเต้าซานในเมืองซงฟู่ นางเชี่ยวชาญในคาถาและการเล่นแร่แปรธาตุ สามารถขอฝน ขับไล่ภูตผี และปกป้องความสงบสุขของผู้คนในท้องถิ่นได้อย่างอยู่เย็นเป็นสุข ดังนั้นผู้คนจึงเคารพนับถือเหมือนเทพเจ้าองค์หนึ่ง

หลังจากที่เธอละสังขารแล้ว เจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นก็สร้างวัดนี้ขึ้นในภูเขาซันเต้าซาน โดยตั้งชื่อว่า ‘วัดซันเต้าซาน’ โดยมีผู้สืบทอดของเจ้าแม่เป็นผู้ดูแลธูปเทียนและทำหน้าที่เป็นเจ้าอาวาสประจำวัด

"วัดที่สร้างตั้งแต่ต้นราชวงศ์หมิง นี่มันห้าหกร้อยปีแล้วนะ!" จางหยวนชิงพึมพำ

ในขณะนั้น เขาก็เหลือบไปเห็นใต้โต๊ะเครื่องเซ่นโดยไม่ได้ตั้งใจพอดี จู่ๆ หัวใจเขาก็เต้นแรงไม่เป็นจังหวะ

เงาดำนอนอยู่ในเงามืดใต้โต๊ะนั้น

เมื่อกี้ใจเตลิดเปิดเปิงเกินไป แถมแสงเทียนก็สลัว เขาจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นในตอนแรก

จางหยวนชิงฝืนใจเข้าไปใกล้ๆ และมองดูอย่างตั้งใจจริงๆ จังๆ แล้วก็พบว่าเป็นโครงกระดูกที่เหลือเพียงกะโหลกร่างหนึ่ง

จางหยวนชิงรู้สึกกลัวแต่ก็โล่งใจในเวลาเดียวกัน เนื่องจากเมื่อเทียบกับวัดเจ้าแม่ภูเขาลึกลับแห่งนี้ โครงกระดูกกลับไม่น่ากลัวเท่าไหร่เลย

เดินเข้าไปอีกสองสามก้าว อาศัยแสงเทียนที่สลัว เขาจึงมองเห็นเสื้อผ้าบนโครงกระดูกได้ชัดเจนขึ้น มันเป็นชุดทำงานที่เต็มไปด้วยฝุ่น

หืม...คนงาน?

"นี่คือคนงานที่อยู่ในทีมงานก่อสร้างสมัยสร้างอุโมงค์เสอหลิงหรือเปล่า งั้นก็หมายความว่าฉันเข้ามาในโลกของเรื่องเล่าลึกลับจริงๆ สินะ"

จางหยวนชิงเพิ่งจะคาดเดาไปได้ไม่นาน ก็คิดถึงความเป็นไปได้ที่น่ากลัวกว่านั้นขึ้นมาอีก บางทีทีมงานก่อสร้างเมื่อก่อนอาจจะหลงเข้ามาที่นี่เหมือนเขาก็ได้

จึงเกิดเป็นตำนานเล่าขานขึ้นมา ว่ามีผู้คนหายไปเรื่อยๆ เมื่อเข้าอุโมงค์นั้น

ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรก คือแดนวิญญาณที่ว่านี้สร้างฉากขึ้นมาจากเรื่องเล่าลึกลับทั้งหลายในซงไห่

แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง ก็หมายความว่าวัดโบราณแห่งนี้มีอยู่จริง ทีมงานก่อสร้างและตัวเขาในเวลานี้ต่างก็เป็นเพียงเหยื่อที่ถูกลักพาตัวมา

จากข้อมูลประวัติวัดเจ้าแม่บนภูเขาแห่งนี้ จางหยวนชิงเอนเอียงไปทางหลังมากกว่า

"ทีมงานก่อสร้างทั้งทีมตายหมดในวัด มีเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต ที่นี่มันอันตรายถึงชีวิตจริงๆ สินะ... และตอนนี้ฉันก็ยังดันเผลอเข้ามาในวัดนี้แบบพวกเขาอีก จะต้องมาเจออันตรายอะไรอีกบ้างก็ไม่รู้..."

น่ากลัวชะมัด

เขายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว แม้แต่รูปปั้นที่มีใบหน้าเมตตาใจดีก็ดูเหมือนจะแฝงไปด้วยความน่ากลัวและน่าขนลุกในแสงเทียน

ฮ้า~ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อารมณ์ตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง แล้วก็สำรวจรอบๆ โดยไม่รู้ตัว

จากนั้น เขาก็เพิ่งสังเกตเห็นรายละเอียดที่น่ากลัวเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง

วัดโบราณแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง ซึ่งเป็นเวลานานมากแล้ว เทียนจะยังคงติดไฟอยู่ได้ยังไง ใครเป็นคนเปลี่ยนเทียนในโบสถ์แห่งนี้กัน!

รูปปั้นดินเผาทั้งสามองค์เต็มไปด้วยฝุ่น แต่กลับมีชีวิตชีวา รายละเอียดแต่ละส่วนแกะสลักออกมาได้อย่างเหมือนจริง โดยเฉพาะดวงตา

พวกเขายืนอยู่บนแท่นหิน ใต้แสงเทียนในยามพลบค่ำ จ้องมองจางหยวนชิงจากที่สูง

5 1 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด