บทที่ 7 จงลงชื่อในสัญญา (I)
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
บทที่ 7 จงลงชื่อในสัญญา (I)
เหมิงฉีประคองไหล่ฉู่เทียนเฟิงอย่างเบา ๆ นางบีบสมุนไพรที่เพิ่งนำออกมา คั้นเอาน้ำออก สีฟ้าอ่อนของยาสมุนไพรหยดลงบนบาดแผลของฉู่เทียนเฟิง ทันใดนั้นความเจ็บปวดแสนสาหัสก็ดูเหมือนจะจางหายไป
จิตใจของฉู่เทียนเฟิงค่อย ๆ กระจ่างขึ้น เขาเปิดเปลือกตาขึ้น มองหญิงสาวที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ใบหน้าของนางเล็ก บริสุทธิ์ผุดผ่องไร้เครื่องประทินโฉมใด ๆ นางกำลังตรวจดูบาดแผลบนไหล่ของเขาอย่างตั้งใจ จดจ่อราวกับว่านี่เป็นสิ่งเดียวที่นางสนใจ
ริมฝีปากของเขาขยับเล็กน้อย ฉู่เทียนเฟิงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ความเย็นยะเยียบก็ค่อยๆ แผ่กระจายไปบนไหล่ของเขา ความเจ็บปวดราวกับถูกเข็มนับหมื่นทิ่มแทงทุก ๆ ชั่วโมง บัดนี้ดูเหมือนจะไม่ทรมานนัก เขาหลับตาลงอีกครั้ง ไม่แม้แต่จะเอ่ยวาจา
เหมิงฉีร่ายคาถาแพทย์ด้วยมือขวาของนาง
นางตรวจสอบรอบ ๆ บาดแผลของฉู่เทียนเฟิงทีละน้อย ตอนนี้นางเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรในขั้นกลั่นพลังลมปราณ และการฝึกบำเพ็ญเพียรวิชาแพทย์ของนางก็เพิ่งทะลวงผ่านขั้นสองเท่านั้น
ทำให้นางจึงไม่สามารถใช้คาถาที่แข็งแกร่งกว่านี้ได้ แต่นางก็มีความเชี่ยวชาญในคาถาแพทย์ขั้นหนึ่งอย่างยิ่ง ในช่วงหกเดือนหลังจากที่นางกลับชาติมาเกิด นางได้ฝึกฝนตัวเองจนชำนาญและไม่อาจหาผู้ใดเทียบได้เลย เหนือกว่าศิษย์ทุกคนของหุบเขาชิงเฟิง
วิชาอาคมบำเพ็ญเพียรก็แบ่งแยกตามลำดับขั้น นอกจากจะมีขั้นของมันเองแล้ว วิชาแต่ละบทก็ยังมีพลังถึงเก้าภพภูมิ ซึ่งต้องพัฒนาด้วยการใช้งานอย่างต่อเนื่อง เล่าลือกันว่าหลังภพภูมิที่เก้ายังมีภพภูมิที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า แต่มีน้อยคนนักที่จะไปถึงขั้นนั้นได้
ก่อนที่เหมิงฉีจะสิ้นชีพในชาติที่แล้ว นางเป็นหมอฝึกตนขั้นห้าแล้ว ถึงแม้จะอยู่ในสามภพโลกนี้ ความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ของนางก็ถือว่าเป็นหมอขั้นสูงที่ได้รับการยกย่องไปทั่ว แม้จะไปยังสำนักที่มีชื่อเสียงอย่างวังสวรรค์เฟินเทียน นางก็จะได้รับความเคารพ
เหมิงฉีมีพรสวรรค์ด้านการแพทย์อย่างแท้จริง แต่ความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุดของนางคือความชำนาญในการใช้วิชาขั้นต่ำที่คนส่วนใหญ่ไม่สนใจจะใช้ เช่น วิชาชิงเฟิงที่นางกำลังใช้กับฉู่เทียนเฟิงในตอนนี้ นี่เป็นวิชารักษาขั้นต้นที่หมอฝึกหัดเกือบทุกคนสามารถทำได้ แม้แต่ผู้ฝึกตนที่ยังอยู่ในขั้นควบคุมพลังลมปราณก็สามารถเรียนรู้วิชานี้ได้อย่างแน่นอน แต่หากมองไปทั่วทั้งโลก อาจจะไม่มีผู้ฝึกตนขั้นควบคุมพลังลมปราณคนไหนที่มีความชำนาญในขั้นเดียวกับเหมิงฉี
การเรียนรู้วิชาอาคมนั้นไม่มีทางลัด ต้องอาศัยการฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน เป็นกระบวนการที่น่าเบื่อหน่ายยิ่ง ในเมืองตีนเขาชิงเฟิง มีผู้ที่ไม่ได้ฝึกตนอยู่มากมาย ตลอดครึ่งปีมานี้ ผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บหรือล้มป่วยเกือบทั้งหมดในเมืองล้วนได้รับการรักษาจากเหมิงฉี นางยังออกไปรักษาสัตว์เล็กที่ได้รับบาดเจ็บบนเขาชิงเฟิงด้วย หากเมื่อไม่มีคนไข้ให้รักษา เหมิงฉีก็จะจงใจกินยาพิษเข้าไปเพื่อฝึกฝนวิชานี้ซ้ำ ๆ
ดังนั้นแม้ว่าตอนนี้นางจะอยู่ในขั้นควบคุมพลังลมปราณและการฝึกฝนวิชาแพทย์ยังอยู่ในขั้นสอง แต่ความชำนาญในการใช้วิชาชิงเฟิงของนางก็อยู่ในขั้นสี่แล้ว เพียงพอที่จะช่วยขับพิษในร่างของฉู่เทียนเฟิงได้ ทว่านางยังคงต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
ก่อนที่ธูปจะหมดดอก เหมิงฉีก็นั่งลงอย่างเหนื่อยล้า
มันยังคงยากเกินไป...
เหมิงฉีหลับตาลง หยิบโอสถอีกเม็ดจากแหวนมิติแล้วใส่เข้าปาก จากนั้นนางก็ร่ายวิชาด้วยสองมือและนั่งไขว่ห้าง กลิ่นอายเย็นเล็กน้อยของโอสถค่อย ๆ กระจายจากลิ้นและไหลไปทั่วร่างของนาง ปราณวิญญาณที่เดิมทีอ่อนล้าก็ค่อย ๆ ฟื้นตัว
ฉู่เทียนเฟิงลืมตาขึ้นอีกครั้งและมองเหมิงฉีด้วยสีหน้าซับซ้อน แม้ว่าการฝึกฝนของเขาจะถูกระงับขั้นไว้ แต่เขาก็ได้หลอมแก่นทองคำมาเนิ่นนานแล้ว เขายังมาจากสำนักที่มีชื่อเสียงอย่างวังสวรรค์เฟินเทียน ดังนั้นความรู้ของเขาจึงไม่น้อย
เหมิงฉีช่างอ่อนแอเหลือเกิน!
ผู้ฝึกตนขั้นควบคุมพลังลมปราณกลับพยายามขับพิษจากอสูรร้ายขั้นห้า เขาตระหนักดีว่ามันยากเพียงใด
ดวงตาของฉู่เทียนเฟิงเป็นประกาย เขาเห็นเม็ดเหงื่อหลายเม็ดค่อย ๆ ไหลลงมาบนแก้มของเหมิงฉีโดยไม่กระพริบตา สิ่งที่นางใช้ในการล้างพิษในร่างกายของเขาเป็นเพียงวิชารักษาขั้นต้น แต่ในช่วงเวลาเพียงธูปดอกเดียว นางก็ทนไม่ไหวแล้ว
ผู้ฝึกตนล้วนอาศัยปราณวิญญาณในการใช้วิชาอาคม และผู้ฝึกตนขั้นกลั่นพลังลมปราณมีปราณน้อยที่สุดในร่างกาย แม้แต่ผู้ฝึกตนที่จุดสูงสุดของขั้นกลั่นพลังลมปราณก็สามารถใช้วิชาขั้นต้นได้มากที่สุดสิบครั้ง จากนั้นปราณของพวกเขาจะหมดลง
ทว่า ปราณวิญญาณของเหมิงฉีกลับหมดลงหลังจากใช้ไปเพียงเจ็ดหรือแปดครั้ง ซึ่งหมายความว่าการฝึกฝนของนางน่าจะอยู่ในขั้นเจ็ดหรือแปดของขั้นกลั่นพลังลมปราณ
ฉู่เทียนเฟิงคิดอย่างเงียบ ๆ ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่ผิวขาวของสตรีโดยไม่รู้ตัว ความเย็นจากบ่อเหมันต์แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ และหมอกก็ปกคลุมไปทั่วทั้งยอดเขา ท่ามกลางหมอกหนานี้ เหมิงฉี หญิงสาวผู้รักเงินคนนี้กลับดูไม่ได้น่ารำคาญเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับดูเหมือน...นางฟ้ากระมัง?
มีเหงื่อบาง ๆ บนใบหน้าของนาง แม้ตอนนี้ หยดเหงื่อก็ไหลลงมาที่แก้มของนาง จากนั้นก็หยดลงตามกรามเล็ก ๆ ของนาง ...
ฉู่เทียนเฟิงยกมือขึ้นเกือบจะโดยไม่รู้ตัว พยายามจะจับหยดเหงื่อใสนี้
เขาลืมไปเลยว่าเขายังคงแช่อยู่ในบ่อเหมันต์ ทันทีที่เขาขยับมือ น้ำก็กระเซ็นด้วยเสียง เหมิงฉีที่ก่อนหน้านี้หลับตาอยู่ก็ลืมตาขึ้นทันที
มีแสงสว่างเปล่งประกายในดวงตาของนาง
"พิษของท่านกำเริบอีกแล้วหรือ?" นางขมวดคิ้วเล็กน้อย คิ้วของนางขมวดขึ้นอย่างน่าเอ็นดู
"แม้ว่าบ่อเหมันต์นี้จะสามารถระงับกลิ่นอายพิษได้ ทำให้ง่ายต่อการล้างพิษ แต่พิษจากอสูรร้ายขั้นสูงก็มีร่องรอยของจิตวิญญาณอยู่" แม้ว่าเหมิงฉีจะพูดถึงเรื่องร้ายแรง แต่น้ำเสียงของนางก็ยังคงนุ่มนวลมาก
"ดังนั้นในระหว่างกระบวนการรักษานี้ พิษอาจโจมตีบ่อยขึ้น" นางเอื้อมมือไปที่กำไลมิติ หยิบโอสถสีน้ำเงินออกมาแล้วยื่นให้ฉู่เทียนเฟิง
"ปราณวิญญาณของข้าจะไม่ฟื้นตัวสักพัก ท่านคงจะรู้สึกสบายขึ้นถ้ากินสิ่งนี้ลงไป"
ฉู่เทียนเฟิงรับโอสถอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งก่อนที่เขาจะส่งมันเข้าปาก เขาก็ได้กลิ่นหอมของโอสถที่ทำให้รู้สึกสบายขึ้นมาก ตอนนี้พิษยังคงสงบนิ่งอยู่ แม้ว่ามันจะโจมตีอีกครั้ง เขาก็สามารถทนได้
แน่นอนว่าฉู่เทียนเฟิงไม่พูดเรื่องเมื่อครู่ เขาไม่คิดบอกเหมิงฉีอยู่แล้วว่าเขาเกือบทำอะไรลงไป
ฉู่เทียนเฟิงมองหญิงสาวแล้วหลับตาลงอีกครั้ง เม็ดเหงื่อหายไปนานแล้ว เมื่อครู่มันราวกับต้องมนต์ เขาจะทำอะไรแบบนั้นโดยไม่รู้ตัวได้อย่างไร
เห็นได้ชัดว่าแม้ว่าทักษะทางการแพทย์ของนางจะไม่เลว แต่นางเป็นสตรีที่รักเงินเหมือนชีวิตของนางเอง เมื่อเทียบกับนางแล้ว เขาชอบสตรีที่จิตใจดีและอ่อนโยนอย่างลู่ชิงหรันมากกว่า นางช่างกล้าหาญ
แม้ว่านางจะรู้ว่านางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอสูรร้าย แม้ว่านางจะรู้ว่าเขาแข็งแกร่งกว่านางมาก แต่เมื่อเผชิญกับอันตราย นางก็รีบออกไปขวางอสูรร้ายด้วยร่างกายของนางเอง
หากไม่นับวีรกรรมของลู่ชิงหรัน นางก็ยังคงน่ารักกว่าเหมิงฉีอยู่มาก การพูดคุยกับนางนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจทีเดียว อีกทั้งนางยังมีความรู้กว้างขวางอีกด้วย ลู่ชิงหรันไม่ได้เหมือนศิษย์ทั่วไปจากสำนักเล็ก ๆ อย่างหุบเขาชิงเฟิงเลย นับตั้งแต่ที่พวกเขาได้พบกัน ทั้งสองก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี ระหว่างการเดินทาง พวกเขาไม่เคยต้องกังวลเรื่องการหาหัวข้อสนทนาเลยสักนิด
หลังจากคิดถึงลู่ชิงหรัน สีหน้าของฉู่เทียนเฟิงก็อ่อนลงอีกครั้ง
นางตื่นแล้วหรือยังนะ? นางคงจะตกใจมาก
ทันทีที่นึกถึงใบหน้าซีดเซียวของนาง ฉู่เทียนเฟิงก็อดรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้