บทที่ 3 – ข้าขอเรียกร้องค่าตอบแทนเป็นเงินตรา (III)
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
บทที่ 3 – ข้าขอเรียกร้องค่าตอบแทนเป็นเงินตรา (III)
เมื่อครั้งที่เหมิงฉีสิ้นชีพในชาติก่อน นางได้บรรลุถึงขั้นแก่นทองคำสำเร็จแล้ว และฝีมือการแพทย์ของนางก็อยู่ในขั้นสูงสุดของขั้นห้า ด้วยประสบการณ์จากชาติก่อน การช่วยชีวิตฉู่เทียนเฟิงในตอนนี้จึงเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งขึ้นสำหรับนาง
ถึงกระนั้น นางก็ยังลังเล
สามภพไม่เคยเป็นสถานที่ที่ปลอดภัย รายล้อมด้วยอสูรร้ายนานาชนิด ต่างก็หมายปองนางด้วยตัณหาราคะ แม้แต่ในหมู่ผู้ฝึกตนก็ยังมีการแก่งแย่งชิงดีกันไม่รู้จบสิ้น
หลังจากที่ได้กลับมาเกิดใหม่ เหมิงฉีก็สามารถออกจากหุบเขาชิงเฟิงได้ ทว่าด้วยขั้นพลังฝึกตนที่ยังอยู่ในขั้นควบคุมพลังลมปราณ นางจึงไม่อาจปกป้องตนเองได้ในสามภพนี้ ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะอยู่ต่อและฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง เพราะมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่นางจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นจนอยู่รอดในโลกใบนี้ได้
เหมิงฉีครุ่นคิดอย่างรอบคอบถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น กล่าวได้ว่า หากฉู่เทียนเฟิงยังไม่หายจากพิษและฟื้นฟูพลังฝ่ามือ เขาก็คงไม่อาจเคลื่อนไหวได้ทันที ไม่อาจเรียกผู้ช่วยเหลือที่แข็งแกร่งจากวังสวรรค์เฟินเทียนมาได้
เช่นนั้นก็เป็นที่แน่นอนว่าหุบเขาชิงเฟิงทั้งหุบเขาคงจะถูกทำลายสิ้น และจุดจบของเหล่าศิษย์ในสำนักก็คงหนีไม่พ้นถูกจับเป็นทาสของอสูร หรือไม่ก็สิ้นชีพโดยร่างเหลือเพียงเศษเนื้อ
ในครานั้นเมื่อเหมิงฉีช่วยชีวิตฉู่เทียนเฟิง แท้จริงแล้วก็เท่ากับช่วยชีวิตตนเองด้วย
แต่ทว่า...
เหมิงฉีหวนนึกถึงคำพูดที่ได้ยินในวาระสุดท้ายของจิตสำนึก ก่อนที่นางจะสิ้นชีพในชาติที่แล้วว่า: “ศิษย์พี่หญิงลู่ชิงหรันของเจ้ามีโชคดีและเป็นที่รักของสวรรค์ ผู้ใดที่อาจช่วงชิงโชคของนางผู้นั้นจะต้องถูกลงทัณฑ์ น่าเวทนายิ่งนัก น่าเวทนายิ่งนัก”
เหมิงฉีมิอาจล่วงรู้ได้ว่าผู้ใดเป็นผู้เอ่ยวาจานั้นกับนาง หลังจากได้กลับมาเกิดใหม่ นางก็ครุ่นคิดถึงคำพูดเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อนางพินิจพิจารณาเหตุการณ์ในอดีตอย่างถี่ถ้วน ทุกครั้งที่นางประสบเคราะห์ร้าย แม้กระทั่งตอนที่นางสิ้นชีพในท้ายที่สุด ก็ดูเหมือนว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับลู่ชิงหรันอยู่เสมอ กล่าวให้เจาะลึกยิ่งขึ้น ทุกครั้งที่นางอดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือบุรุษที่ถูกกำหนดไว้ว่าจะรักลู่ชิงหรันในอนาคต นางก็จะพบกับเคราะห์ร้าย
นี่ก็เป็นเพราะโชคของลู่ชิงหรันด้วยหรือไม่? เพราะการที่เหมิงฉีช่วยชีวิตคนเหล่านั้น อาจทำให้พวกเขารู้สึกสำนึกบุญคุณต่อนางแทนที่จะเป็นลู่ชิงหรันงั้นหรือ?
“นี่…” เหมิงฉีกำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์
ทันใดนั้นก็พลันได้ยินหลานจูฉวนกระซิบกับนางว่า “อะไรกันเนี่ย? นางแค่ยืนอยู่เบื้องหน้าคุณชายแห่งวังสวรรค์เฟินเทียน จากนั้นก็ตกใจจนเป็นลมไป นางมิได้กระทำการใดเสียหน่อย แต่กลับได้รับความรู้สึกขอบคุณจากคุณชายน้อย สายใยแห่งกรรมหรืออะไรกัน...ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อนัก”
เหมิงฉีตกตะลึง นางเงยหน้าขึ้นมองฉู่เทียนเฟิงผู้กำลังทนทุกข์ทรมานจากพิษร้ายที่กำเริบขึ้นทุกชั่วยาม เขากำลังอธิบายให้หัวหน้าสำนักฟัง
คำอธิบายของฉู่เทียนเฟิงนั้นดูเชื่อมั่นยิ่ง เขาบอกว่าลู่ชิงหรันยืนหยัดอยู่เบื้องหน้าเขาอย่างกล้าหาญ ทว่าเขาก็ได้รับบาดเจ็บและถูกพิษร้ายเล่นงาน แต่ในท้ายที่สุด เขาก็สามารถพาลู่ชิงหรันหนีรอดจากเงื้อมมืออสูรร้ายที่มีพลังฝีมือเหนือกว่าเขาถึงสองขั้น ครั้นอธิบายจบสิ้น ฉู่เทียนเฟิงก็ทอดสายตาไปยังใบหน้างดงามซีดเซียวของหญิงสาวที่ยังคงไม่ได้สติ ดวงตาที่เคยเย็นชาบัดนี้กลับอ่อนโยนลง
นางเข้าใจแล้ว!
เหมิงฉีพลันตระหนักได้ในทันใด เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรล้วนให้ความสำคัญยิ่งต่อกฎแห่งกรรมอันเป็นเหตุเป็นผลแห่งสรรพสิ่ง เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนมีปีศาจร้ายในจิตใจที่แฝงกายตั้งแต่ยามเริ่มขั้นกลั่นลมปราณ มันอาจนำพาหายนะมาเยือนในยามไปถึงขั้นมหายาน
ถ้าอย่างนั้น...
ครั้นเหมิงฉีช่วยชีวิตบุรุษผู้มีวาสนาเกี่ยวพันกับลู่ชิงหรัน โดยมิได้หวังสิ่งตอบแทนใด นางจึงได้รับโชคชะตาของลู่ชิงหรันไปโดยปริยาย ด้วยเหตุนี้ นางจึงประสบเคราะห์ร้าย ด้วยเหตุนั้นนางจึง...
เหมิงฉีพลันตัดสินใจแน่วแน่ เช่นนั้นฉู่เทียนเฟิงต้องรอดชีวิต ดินแดนเล็ก ๆ ที่ตั้งของหุบเขาชิงเฟิงนั้นอยู่ทางตะวันออกสุดของสามภพ ติดกับแดนอสูรและแดนมาร อสูรร้ายขั้นห้าที่ทำร้ายฉู่เทียนเฟิงมิได้ปรากฏกายขึ้นโดยบังเอิญ หากปราศจากฉู่เทียนเฟิง หุบเขาชิงเฟิงทั้งหุบเขาก็คงถึงกาลอวสาน เหมิงฉีไม่อาจหลบหนีไปได้เพียงลำพัง ทว่า...นางสามารถตัดสายใยแห่งกรรมระหว่างตนกับฉู่เทียนเฟิงได้!
ใบหน้าของบุรุษยังคงซีดเซียว ดุจดั่งถูกทัณฑ์ทรมานด้วยเข็มนับหมื่นเล่มทิ่มแทงทั่วสรรพางค์กาย อาภรณ์ของเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เขาคงไม่เคยพบเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน ภายหลังถูกพิษร้ายเล่นงาน พลังฝีมือของเขาจึงถูกกดทับ จนบัดนี้เทียบเท่าได้เพียงผู้บำเพ็ญเพียรขั้นกลั่นลมปราณ ด้วยสภาพเช่นนี้ เหล่าผู้ฝึกยุทธในหุบเขาชิงเฟิงครึ่งหนึ่งอาจสามารถเอาชนะเขาได้
ในฐานะคุณชายแห่งวังสวรรค์เฟินเทียน พรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรของเขาย่อมสูงส่งยิ่งนัก แม้แต่ตาทิพย์ของเขาก็เฉียบคมเหนือผู้ใด เขารู้ดีว่าการต่อสู้ที่อันตรายกำลังจะมาถึงในไม่ช้า จึงควรเร่งฟื้นฟูพลังโดยเร็วที่สุด แต่ทว่า...
ขณะทอดสายตามองไปทั่วหุบเขาชิงเฟิง หัวหน้าสำนักที่ทรงอำนาจที่สุดก็มิได้มีพลังฝีมือสูงไปกว่าขั้นแก่นทองคำ เกรงว่าที่แห่งนี้คงจะไม่มีผู้ใดมีฝีมือพอจะถอนพิษให้เขาได้ วังสวรรค์เฟินเทียนนั้นอยู่ห่างไกลจากที่นี่นัก แม้กระทั่งถุงเก็บสมบัติของเขาก็ถูกอสูรร้ายทำลายจนเสียหาย เขาจึงไม่อาจร้องขอความช่วยเหลือจากวังสรรค์เฟิงเทียนได้ ครานี้สรรพสิ่งบ่งชี้ถึงหายนะ
แน่นอนว่า ฉู่เทียนเฟิงมิอาจเอ่ยถึงความกังวลในใจแก่ผู้ใดในหุบเขาชิงเฟิงได้ แม้แต่หัวหน้าสำนัก เขาก็มิได้ใส่ใจ สายตาของเขาจับจ้องไปยังใบหน้างามของลู่ชิงหรัน เขารำลึกถึงภาพนางผู้กล้าหาญ ยืนหยัดอย่างไม่หวาดหวั่นระหว่างตนกับอสูรร้ายขั้นห้า แม้สีหน้าจะซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ยังกัดฟันฝืนทนอย่างไม่ยอมถอย
แววตาของฉู่เทียนเฟิงอ่อนโยนลง เขาจะปกป้องลู่ชิงหรัน ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตามที นางผู้กล้าหาญผู้นี้ งามล้ำเลิศประดุจเทพธิดา จิตใจบริสุทธิ์ผุดผ่อง และเปี่ยมล้นด้วยความเมตตายิ่งกว่าสตรีใดที่เขาเคยพานพบ...
"ข้าสามารถถอนพิษให้ท่านได้"
ณ ขณะนั้นเอง เสียงใสเย็นชาของหญิงสาวก็ดังขึ้นข้างกายเขา น้ำเสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความอ่อนหวานแผ่วเบา ฉู่เทียนเฟิงหันหน้าไป พลันเห็นเหมิงฉีในอาภรณ์สีฟ้าอ่อน ก้าวออกมาจากหมู่ชน
"เอ๊ะ?"
เขาขมวดคิ้วมองเหมิงฉี ซึ่งเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นกลั่นพลังลมปราณ
สตรีผู้นี้เป็นผู้ใดกัน?
นางรู้หรือไม่ว่าพิษร้ายและบาดแผลที่เขาได้รับนั้น ร้ายแรงเพียงใด สาหัสสักเพียงใด?
หรือว่า... นางจงใจเรียกร้องความสนใจจากเขา?
ฉู่เทียนเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ในฐานะคุณชายแห่งวังสวรรค์เฟินเทียน เรื่องเช่นนี้ย่อมมิใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด ไม่ว่าจะเป็นศิษย์จากวังสวรรค์เฟินเทียนหรือสาวกจากสำนักเล็ก ๆ ที่ขึ้นตรงกับวังสวรรค์เฟินเทียน ก็ล้วนมีสตรีรูปโฉมงดงามพยายามเรียกร้องความสนใจจากเขาด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยวาจาใด ๆ ก็ได้ยินเสียงของหญิงสาวดังขึ้นอีกครั้งว่า “ข้าสามารถรักษาท่านได้ แต่…”
เหมิงฉีเว้นวรรค นัยน์ตาคู่โตใสกระจ่างจ้องมองไปยังฉู่เทียนเฟิงตรง ๆ
นางเอ่ยต่ออย่างสุขุมว่า “ข้าขอค่าตอบแทนเป็นเงินตรา”