บทที่ 26 ผู้อาวุโสแห่งวังสวรรค์เฟินเทียน( II)
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
บทที่ 26 ผู้อาวุโสแห่งวังสวรรค์เฟินเทียน( II)
หุบเขาชิงเฟิงไม่ได้กว้างใหญ่ไพศาลนัก หลังจากที่ถามคำถามจนพอใจแล้ว ผู้อาวุโสเหยียนก็เร่งฝีเท้า พวกเขาเข้าไปในห้องโถงใหญ่ทางประตูข้างอย่างรวดเร็ว ศิษย์สองคนรีบก้าวไปข้างหน้าและเปิดประตูให้ผู้อาวุโสเหยียนด้วยความเคารพ
ภายในห้องโถงใหญ่ ดูเหมือนทุกคนกำลังสนทนากันอยู่ เมื่อประตูส่งเสียงดังเอี๊ยด ทุกคนก็หยุดพูดและหันไปมองทางเข้า
"ศิษย์น้องเหยียน" เจ้าสำนักลุกขึ้น
"เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ด้วย?" นางรีบแนะนำผู้อาวุโสเหยียบให้แขกของวังสวรรค์เฟินเทียนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ "นี่คือศิษย์น้องของข้า หนึ่งในผู้อาวุโสแห่งหุบเขาชิงเฟิง ในระหว่างเดินทางออกไปเมื่อปีที่แล้ว เขาได้รับพิษขณะช่วยชาวบ้าน พิษส่งผลต่อขาของเขาและทำให้ความคล่องตัวลดลง ดังนั้นตอนนี้เขากำลังพักฟื้นอยู่ในสำนัก"
หนึ่งในผู้คนจากวังสวรรค์เฟินเทียนลุกขึ้น
"ท่านคือสหายเต๋า เหยียนหมิงเฟิงใช่หรือไม่?" เขาเป็นผู้อาวุโสที่ไปถึงจุดสูงสุดของขั้นกำเนิดวิญญาณแล้ว กระนั้นน้ำเสียงของเขาเมื่อพูดกับผู้อาวุโสเหยียนกลับสุภาพมาก และไม่เหมือนคนที่พูดกับคนที่ระดับการบ่มเพาะต่ำกว่าตัวเองถึงหนึ่งขั้นเลย หลังจากไถ่ถามชื่อแล้ว ผู้อาวุโสแห่งวังสวรรค์เฟินเทียนก็โค้งคำนับผู้อาวุโสเหยียนอย่างสุภาพ "ข้าได้ยินเรื่องความเมตตาของผู้อาวุโสเหยียนในฐานะผู้ฝึกวิชาแพทย์มานาน วันนี้เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ในที่สุดก็ได้พบกับท่าน"
"สหายเต๋า สุภาพเกินไปแล้ว" เหยียนหมิงเฟิงคารวะกลับอย่างสุภาพ ใบหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลงและไม่แสดงความกระตือรือร้นใด ๆ เป็นพิเศษที่ได้เห็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่อย่างคนจากวังสวรรค์เฟินเทียน แถมท่าทีการปฏิบัติต่อผู้อาวุโสท่านนี้ของเขา กลับไม่ได้ดูอบอุ่นห่วงใยเท่ากับเหมิงฉีด้วยซ้ำ
เหมิงฉีประคองผู้อาวุโสเหยียนให้นั่งลงบนที่นั่งข้าง ๆ เจ้าสำนัก นางคารวะเจ้าสำนักก่อน จากนั้นก็หันไปมองคนจากวังสวรรค์เฟินเทียน
ในบรรดาแขก ยกเว้นผู้อาวุโสคนหนึ่งที่อยู่จุดสูงสุดของการก่อกำเนิดวิญญาณ ผู้บ่มเพาะอีกสองคนก็อยู่ในขั้นกำเนิดวิญญาณเช่นกัน เหมิงฉีถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดินในชีวิตก่อนหน้านี้ ดังนั้นนางจึงไม่รู้ว่าการรุกรานของอาณาจักรมารนั้นรุนแรงเพียงใด ทว่าในตอนนี้ การที่พวกเขามีผู้บ่มเพาะกำเนิดวิญญาณสามคนอยู่ที่นี่ หนึ่งในนั้นยังถึงขั้นก้าวเข้าสู่ขั้นตัดวิญญาณแล้ว ต่อให้รวมกองกำลังทั้งอาณาจักรตะวันออก ก็คงไม่อาจต่อกรกับพวกเขาได้หรอก
สามภพและอาณาจักรมารถูกแยกออกจากกันโดยขอบเขต เมื่อผู้บ่มเพาะมารพยายามฝ่าขอบเขตนั้น ยิ่งพลังของพวกเขาสูงเท่าใด แรงสะท้อนที่พวกเขาได้รับก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น แต่ที่นี่คือหุบเขาชิงเฟิง มีเพียงเมืองเล็ก ๆ แห่งเดียวในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งมันไม่คุ้มค่าเลยสำหรับอาณาจักรมารที่จะส่งกองทัพใหญ่มาที่นี่ ดังนั้นผู้บ่มเพาะกำเนิดวิญญาณสามคนคงจะเพียงพอที่จะปกป้องสถานที่แห่งนี้
ในที่สุดเหมิงฉีก็รู้สึกโล่งใจ จากนั้นนางจึงมองไปทั่ว ฉู่เทียนเฟิงไม่ได้อยู่ในห้องโถง แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่มันก็ยังทำให้เหมิงฉีโล่งใจ ก่อนหน้านี้นางกระวนกระวายใจที่จะช่วยเสือขาวตัวน้อยและหยุดติดต่อกับฉู่เทียนเฟิงไป ตอนนี้ เมื่อนางเห็นผู้คนจากวังสวรรค์เฟินเทียน และจำคำสาบานวิญญาณของชายหนุ่มได้ นางจึงได้แต่รู้สึกปวดหัว
ผู้อาวุโสแห่งวังสวรรค์เฟินเทียนละสายตาไป จากนั้นเขาก็ยิ้มให้เจ้าสำนัก "สำนักของท่านเต็มไปด้วยคนที่มีความสามารถจริง ๆ ท่านมีคนอย่างสหายเต๋าเหยียน ผู้ฝึกวิชาแพทย์ผู้มีชื่อเสียงในด้านความเมตตากรุณาและความสามารถ ไม่น่าแปลกใจที่ท่านจะสามารถฝึกฝนศิษย์ที่กล้าหาญและไม่เกรงกลัวผู้นี้ได้อีกคน"
เมื่อเขาพูด เขาก็ส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ลู่ชิงหรันที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เจ้าสำนัก
เมื่อผู้คนจากวังสวรรค์เฟินเทียนมาถึงหุบเขาชิงเฟิง ฉู่เทียนเฟิงและเหมิงฉียังไม่กลับจากภูเขา เป็นเจ้าสำนักแห่งหุบเขาชิงเฟิงที่ต้อนรับพวกเขาในห้องโถงใหญ่ นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้อาวุโสรู้แล้วว่าลู่ชิงหรันขวางสัตว์อสูรเพื่อหลานชายของเขา ซึ่งถึงแม้นางจะเป็นเพียงผู้บ่มเพาะเล็ก ๆ ในขั้นกลั่นลมปราณ แต่นางก็งดงาม ดังนั้นเมื่อผู้อาวุโสได้ยินว่าหลานชายของเขาเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยลู่ชิงหรัน เขาก็สามารถคาดเดาความสัมพันธ์ของพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว
ลู่ชิงหรันหน้าแดงและพูดทันที "ท่านผู้อาวุโส ท่านกล่าวเกินไปแล้ว ยังไงเสียท่านเทียนเฟิงก็เป็นผู้ช่วยชีวิตข้า ข้าต่างหากที่เป็นภาระเขา ทำให้เขาบาดเจ็บและถูกพิษ"
เหมิงฉีไม่สนใจการพูดคุยของพวกเขาเลย นางรู้แล้วว่าหลังจากนี้ หุบเขาชิงเฟิงจะถูกรวมเข้ากับวังสวรรค์เฟินเทียน นางยังจำได้ด้วยว่าลู่ชิงหรันจะกลายเป็นแขกผู้มีเกียรติของวังสวรรค์เฟินเทียน เพราะทุกคนรู้ว่าคุณชายของสำนักวังสวรรค์หลงรักนาง
แม้ว่าในชีวิตก่อนหน้านี้ ตัวเหมิงฉีจะถูกขังอยู่ในคุกใต้ดิน แต่ในชีวิตนี้ นางไม่จำเป็นต้องเสียเวลาสามเดือนนั้นอีกต่อไป เพียงเท่านี้ก็ทำให้นางมีความสุขมากแล้ว นางจึงยืนเงียบ ๆ ข้างผู้อาวุโสเหยียนพร้อมก้มหน้าลง เหมิงฉีหยิบไม้ไผ่ที่เพิ่งได้มาและเริ่มอ่านบันทึกข้างในอย่างระมัดระวัง
ผู้อาวุโสแห่งวังสวรรค์เฟินเทียนกล่าวคำสุภาพอีกสองสามคำ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย "เจ้าสำนัก ท่านบอกข้าว่ามีผู้อื่นขับพิษให้หลานชายของข้า ใช่สหายเต๋าเหยียนหรือไม่?"
ผู้อาวุโสเหลือบมองเหมิงฉีแล้วเห็นว่านางอยู่ในขั้นกลั่นลมปราณ หากหุบเขาชิงเฟิงมีผู้มีวิชาแพทย์สูงกว่าเจ้าสำนัก ความเป็นไปได้เดียวก็คือผู้อาวุโสเหยียนหมิงเฟิงผู้มีชื่อเสียงคนนี้
ก่อนที่เจ้าสำนักจะมีโอกาสอธิบาย ประตูทางเข้าห้องโถงก็เปิดออกอีกครั้ง ชายหนุ่มชุดดำเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
"ท่านลุง" ฉู่เทียนเฟิงคารวะผู้อาวุโส
"เทียนเฟิงหลานรัก" ผู้อาวุโสแห่งวังสวรรค์เฟินเทียนมองหลานชายของเขา "ในที่สุดเจ้าก็มาถึงแล้ว"
จากนั้น เขาก็กล่าวออกไปว่า "บิดาของเจ้าได้รับข้อความของเจ้าและขอให้ข้าพาคนมาช่วยเจ้า"
ฉู่เทียนเฟิงเป็นคุณชายของสำนักวังสวรรค์ อนาคตเขาจะกลายเป็นเจ้าสำนักแห่งวังสวรรค์เฟินเทียนและผู้บ่มเพาะอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงสะพัดไปไกล แม้ว่าในปัจจุบันผู้อาวุโสแห่งวังสวรรค์เฟิงเทียนจะมีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่าเขา แต่ตัวผู้อาวุโสกลับปฏิบัติต่อชายหนุ่มอย่างสุภาพ น้ำเสียงของเขาเหมือนกับพูดกับนายเหนือด้วยซ้ำ
ลู่ชิงหรันหน้าแดง นางเหลือบมองฉู่เทียนเฟิงอย่างเขินอาย แม้ว่านางจะรู้ว่าฉู่เทียนเฟิงเป็นคุณชายจากวังสวรรค์เฟินเทียนและรู้ว่าชายหนุ่มรูปงามคนนี้เป็นหนึ่งในผู้บ่มเพาะที่เก่งกาจอย่างยิ่งยวด แต่นางเพิ่งเคยได้เห็นผู้บ่มเพาะในขั้นกำเนิดวิญญาณกลับปฏิบัติต่อเขาราวกับเป็นนายเป็นครั้งแรก
ลู่ชิงหรันมองร่างที่กำลังเข้ามาใกล้ของฉู่เทียนเฟิง ชายหนุ่มรูปงามมากผู้นี้กำลังทำให้นางใจเต้นแรง
เหมิงฉีไม่แม้แต่จะเหลือบมองฉู่เทียนเฟิง ศีรษะของนางยังคงก้มลง นางอ่านไม้ไผ่ไปได้ครึ่งทางแล้ว หากเสือขาวตัวน้อยถูกพิษชนิดเดียวกับที่เขียนไว้ในบันทึกนี้จริง ๆ ไม่ต้องพูดถึงนางในตอนนี้เลย แม้แต่เหมิงฉีในชีวิตก่อนหน้านี้ ผู้ซึ่งได้หลอมรวมแก่นทองคำของนางก่อนตายก็คงมิอาจรักษาได้
แต่ต้องมีทาง นางจะต้องหามันให้เจอ! ดูเหมือนว่านางจะต้องไปที่หอตำราอีกครั้ง
ทันทีที่ชายหนุ่มชุดดำเข้ามาในห้องโถงใหญ่ สายตาของเขาจับจ้องไปที่เหมิงฉี เขาไม่แม้แต่จะมองลู่ชิงหรันและเดินไปหาผู้อาวุโสแห่งวังสวรรค์เฟินเทียนอย่างเงียบ ๆ
"หลานเทียนเฟิง" ผู้อาวุโสยิ้มให้เขา "ข้าได้พบกับเจ้าสำนักแห่งหุบเขาชิงเฟิงและแม่หนูหลู่ชิงหรันแล้ว"
"ข้าไม่รู้เลยว่าหุบเขาชิงเฟิงจะมีศิษย์ที่กล้าหาญและมีเมตตาเช่นนี้ มารดาของเจ้าจะต้องชอบนางมากแน่ ๆ "
ฉู่เทียนเฟิงขบกรามแน่นทันที เขาเหลือบมองลู่ชิงหรันอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า "ท่านลุง ศิษย์ผู้นี้ได้รับการช่วยเหลือจากสหายเต๋าคนนี้ต่างหาก"
เขากล่าวพร้อมชี้มือไปที่เหมิงฉี
เมื่อสายตาของผู้อาวุโสจับจ้องไปที่เหมิงฉี เขาก็ร้องอุทานทันที "ผู้บ่มเพราะขั้นกลั่นลมปราณ?"
แม้จะประหลาดใจ แต่ผู้อาวุโสรู้ดีว่าหลานชายของเขามีความภาคภูมิใจเพียงใด หากเด็กสาวไม่ใช่ผู้ช่วยชีวิตเขา ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะพูดเป็นอย่างอื่น
รูปร่างหน้าตาของเด็กสาวผู้นี้ก็ไม่เลว แต่นางกำลังทำอะไรอยู่? ผู้อาวุโสเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อ เขาเป็นผู้บ่มเพาะที่ทรงพลังในขั้นกำเนิดวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงมองเห็นการกระทำของเหมิงฉีได้ทันที
เด็กสาวกำลัง… อ่านไม้ไผ่?! ในห้องโถงนี้ ต่อหน้าเขาและเจ้าสำนักของนางงั้นหรือ?!
คำพูดของฉู่เทียนเฟิงเห็นได้ชัดว่าไม่ให้เกียรติลู่ชิงหรันเลย ศิษย์ทั้งหมดของหุบเขาชิงเฟิงในห้องโถงต่างจับจ้องไปที่ลู่ชิงหรัน ซึ่งยามนี้ใบหน้าของนางแดงก่ำด้วยความอับอาย พวกเขาไม่เข้าใจ เมื่อไม่กี่วันก่อนคุณชายผู้นี้กลับมาที่สำนักพร้อมกับลู่ชิงหรันในอ้อมแขน เหตุใดตอนนี้ทัศนคติของเขาที่มีต่อนางจึงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง?
จากนั้นทุกคนก็มองไปที่เหมิงฉีอีกครั้ง เจ้าสำนักหนุ่มแห่งวังสวรรค์เฟินเทียนยอมรับต่อสาธารณชนว่านางเป็นผู้ช่วยชีวิตเขา นั่นหมายความว่าศิษย์น้องเหมิงฉีจะกลายเป็นแขกผู้มีเกียรติของวังสวรรค์เฟินเทียนงั้นหรือ? ดวงตาที่อิจฉาริษยาหลายคู่จ้องมองเหมิงฉีอย่างร้อนแรง
ในที่สุดเหมิงฉีก็ละสายตาออกมาจากไม้ไผ่ ผู้อาวุโสแห่งวังสวรรค์เฟินเทียนไอเล็กน้อยแล้วมองไปที่นาง "ขอบคุณแม่หนูที่ช่วยหลานชายของข้า วังสวรรค์เฟินเทียนของเราซาบซึ้งในตัวเจ้าจริง ๆ ไม่ทราบว่าเราจะตอบแทนความกรุณาของเจ้าเช่นไรดี…"
"ไม่จำเป็นเลยเจ้าค่ะ" เหมิงฉีโบกมือและพูดตรงๆ "คุณชายจากสำนักของท่านสัญญากับข้าว่าจะจ่ายด้วยหินวิญญาณ"
"ห-หินวิญญาณ?" ผู้อาวุโสตะลึง นางช่วยคุณชายจากสำนักใหญ่ รู้ไหมว่าบุญคุณอันยิ่งใหญ่นี้จะนำมาซึ่งผลประโยชน์มากมายเพียงใด?
แต่เด็กสาวคนนี้กำลังพูดถึงอะไรกัน? นางรู้ไหมว่านางจะสูญเสียไปเท่าไหร่เพียงเพื่อหินวิญญาณเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้?!
โดยไม่รอช้า ผู้อาวุโสรวบรวมความคิดของเขาทันที เหมิงฉีก็หยิบไม้ไผ่สองอันออกมาจากระหว่างนิ้วของนาง "พื้นที่เก็บของคุณชายฉู่เทียนเฟิงดูเหมือนจะถูกทำลายเมื่อเขาต่อสู้กับสัตว์อสูร"
จากนั้นนางก็เหลือบมองลู่ชิงหรันก่อนจะพูดต่อ "หากสะดวกสำหรับท่านผู้อาวุโส ได้โปรดช่วยเขาชำระหนี้ด้วย ผู้น้อยคนนี้คงจะขอบคุณมากเจ้าค่ะ"