บทที่ 25 ผู้อาวุโสแห่งวังสวรรค์เฟินเทียน (I)
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
บทที่ 25 ผู้อาวุโสแห่งวังสวรรค์เฟินเทียน (I)
เหมิงฉีมองไปที่ศิษย์ทั้งสอง จากนั้นหันไปคารวะท่านผู้อาวุโสเหยียน “ท่านผู้อาวุโส ศิษย์ผู้นี้ขอตัวก่อน ข้าจะมาพบท่านในวันพรุ่งนี้”
“เดี๋ยวก่อน” ท่านผู้อาวุโสเหยียนเหลือบมองศิษย์ทั้งสอง “เจ้าสำนักบอกเจ้าหรือไม่ว่าทำไมถึงเรียกหาเหมิงฉี?”
เขาไม่ได้สงสัยในตัวเจ้าสำนัก แต่ผู้อาวุโสแห่งวังสวรรค์เฟินเทียนที่ศิษย์เหล่านี้พูดถึงทำให้เขาระแวงเล็กน้อย เหมิงฉีเป็นศิษย์ที่เขาให้ความสำคัญ เด็กสาวคนนี้มีนิสัยสงบและรักในทักษะการแพทย์อย่างแท้จริง ท่านผู้อาวุโสเหยียนหวังเพียงว่านางจะสามารถไปถึงขั้นที่สูงขึ้นของเส้นทางแพทย์ได้
หนึ่งในศิษย์ตอบอย่างเคารพ “วันนี้มีผู้คนจากวังสวรรค์เฟินเทียนมาเยี่ยมสำนักของเราขอรับ”
แม้ว่าศิษย์ในหุบเขาชิงเฟิงจะไม่ต้องการเป็นศิษย์ส่วนตัวของท่านผู้อาวุโสเหยียน ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงในการไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในและอำนาจของสำนัก แต่ผู้อาวุโสท่านนี้ก็ยังถือเป็นหนึ่งในสามผู้บ่มเพาะระดับพลังแก่นทองคำในสำนักของพวกเขา นอกจากนี้ วิชาการบ่มเพาะทางการแพทย์ของเขายังสูงที่สุดในสำนักอีกด้วย
“คุณชายแห่งวังสวรรค์เฟินเทียนได้รับบาดเจ็บ และได้รับพิษขณะช่วยเหลือศิษย์น้องลู่ชิงหรัน ต่อมาเขาได้รับการรักษาในหุบเขาชิงเฟิงขอรับ”
ท่านผู้อาวุโสเหยียนพยักหน้าเล็กน้อย เขาก็รู้เรื่องนี้แล้วเช่นกัน
“ทว่า พิษที่ทำร้ายคุณชายของพวกเขามาจากสัตว์อสูรขั้นห้า คนจากวังสวรรค์เฟินเทียนนำโดยผู้อาวุโสในขั้นสูงสุดของขั้นก่อกำเนิดต้องการสอบถามรายละเอียด ดังนั้นเจ้าสำนักจึงขอให้ศิษย์น้องเหมิงฉีไปพบพวกเขาที่ห้องโถงใหญ่”
ศิษย์อีกคนมองไปที่ท่านผู้อาวุโสเหยียนที่ไร้อารมณ์ จากนั้นจึงพูดเสริมไปว่า “ผู้อาวุโสแห่งวังสวรรค์เฟินเทียนมีพลังมากจริงๆ เขาเพิ่งจะมาถึงวันนี้และไม่เคยพบกับศิษย์น้องหญิงเหมิงฉีก่อนหน้านี้เลย แต่เขากลับรู้ว่านางอยู่ในห้องสมุด”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง เขาจึงกล่าวว่า “ดูเหมือนศิษย์น้องหญิงจะมาเยี่ยมท่านผู้อาวุโสเหยียนอีกแล้วสินะ”
ท่านผู้อาวุโสเหยียนหลับตาลงอย่างช้าๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาลุกขึ้นยืนและมองศิษย์ในสำนักทั้งสองอย่างลึกซึ้ง ผู้อาวุโสอย่างเขามักจะไม่อยู่ในบริเวณสำนักนานนัก เมื่อเขาอยู่ที่นี่ เขาจะอยู่แค่ในหอตำรา ดังนั้นศิษย์ภายนอกจึงไม่ค่อยได้พูดคุยติดต่อกับเขา ทำให้เมื่อดวงตาที่เย็นชาของเขากวาดไปที่พวกเขา ศิษย์ทั้งสองก็ก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิมและไม่กล้าสบตาเขา
“ไปเถิด” ท่านผู้อาวุโสเหยียนพูดกับเหมิงฉี “ข้าจะไปกับเจ้าเอง”
“ท่านผู้อาวุโส ศิษย์ผู้นี้สามารถรับมือเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเอง”
ท่านผู้อาวุโสเหยียนไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกนัก แต่เขาไม่ใช่คนโง่ เขารู้ได้ทันทีว่ามันมีบางอย่างผิดปกติจากคำอธิบายของศิษย์เหล่านี้ แม้แต่เหมิงฉีก็ยังมองออก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ท่านผู้อาวุโสเหยียนเดินทางไปยังสถานที่นับไม่ถ้วนและพบปะผู้คนทุกประเภท เขาผู้มีประสบการณ์มากมายในการจัดการกับปัญหาต่าง ๆ นานัปการจะไม่สามารถรับรู้ได้อย่างไร?
“ไปเถอะ” ท่านผู้อาวุโสเหยียนเดินนำไปก่อน “ผู้อาวุโสแห่งวังสวรรค์เฟินเทียนมาเยี่ยมด้วยตนเอง ในฐานะผู้อาวุโสของหุบเขาชิงเฟิง ข้าย่อมต้องแสดงตัว”
น้ำเสียงของเขาเมื่อพูดกับเหมิงฉีนั้นอ่อนโยนกว่ามาก
อันที่จริง ท่านผู้อาวุโสเหยียนดูเหมือนจะไม่ได้แก่ขนาดนั้น ผมของเขายังคงดำขลับและใบหน้าของเขาก็ไม่มีริ้วรอย เมื่อเขายืนตัวตรง แม้จะอยู่ในอาภรณ์คลุมสีฟ้าธรรมดา ก็ยากที่จะซ่อนบรรยากาศเหมือนนักปราชญ์ของเขาได้
“เจ้าค่ะ” เหมิงฉีรู้สึกขอบคุณ นางตายไปครั้งหนึ่งแล้วจึงรู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาของผู้อื่นมากขึ้น
นางเดินตามท่านผู้อาวุโสเหยียน ผู้อาวุโสท่านนี้ผู้ซึ่งให้คำมั่นสัญญาอันยิ่งใหญ่ที่จะรักษาผู้ป่วยทั้งหมดในโลก ขาของเขาเดินกะเผลกเล็กน้อย เหมิงฉีรีบเดินไปข้างหน้าเพื่อประคองแขนของเขา
นี่เป็นบาดแผลที่ท่านผู้อาวุโสเหยียนได้รับจากการเดินทางครั้งก่อน เขาไปช่วยผู้คนในเมืองเล็ก ๆ ที่ได้รับบาดเจ็บจากสัตว์อสูรมีพิษ ตอนนั้นเวลาเหลือน้อย ท่านผู้อาวุโสเหยียนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถ่ายพิษจากผู้ป่วยเข้ามาในร่างกายของตนเอง แล้วดันมันลงไปใต้เข่าจนขัดขวางการเคลื่อนไหวของเขาขณะรักษาผู้ป่วยคนอื่น ๆ
สัตว์อสูรตัวนั้นมีพลังมาก และเปลวไอพิษก็อยู่ในร่างของท่านผู้อาวุโสเหยียนนานเกินไป ต่อมาแม้ว่าเขาจะสามารถขับมันออกได้ แต่ก็ยังคงมีพิษหลงเหลืออยู่บ้าง เหมิงฉีได้อ่านบันทึกมากมาย ก็พบว่าเรื่องนี้เร่งรีบไม่ได้เลย เขาคงได้แต่ต้องรออย่างช้า ๆ ให้พิษสลายไป ท่านผู้อาวุโสเหยียนตอนนี้อยู่ในขอบเขตที่หกของขั้นแก่นทองคำ เมื่อเขาฝ่าไปยังขอบเขตถัดไป พิษที่ตกค้างจะสลายไปเองตามธรรมชาติ
ศิษย์ทั้งสองเดินตามมาจากข้างหลังไกล ๆ ฝีเท้าของท่านผู้อาวุโสเหยียนไม่เร็ว แต่พวกเขาไม่กล้าเร่งเร้า
“ว่าแต่พิษอะไรงั้นหรือ?” ท่านผู้อาวุโสเหยียนถามระหว่างทาง
“พิษจากสัตว์อสูรขั้นห้า แต่ก็อาจมาจากสัตว์อสูรขั้นห้า คุณชายแห่งวังสวรรค์เฟินเทียนเป็นผู้บ่มเพาะแก่นทองคำ ดังนั้นศิษย์ผู้นี้จึงสามารถใช้คาถาชิงเฟิงขอบเขตที่สี่เพื่อล้างพิษให้เขาได้” เหมิงฉีไม่มีอะไรต้องปิดบังผู้อาวุโสที่ดูแลนางเป็นอย่างดี
ศิษย์ทั้งสองที่เดินตามหลังมาถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ พวกเขามองหน้ากันด้วยความสงสัยในทันที
คาถาชิงเฟิง?!
ขอบเขตที่สี่?!
พวกเขาฟังผิดไปหรือเปล่า?!
พวกเขาเข้าสำนักก่อนเหมิงฉีสามหรือสี่ปี แต่คาถาชิงเฟิงของพวกเขายังอยู่ในขั้นสอง ทุกคนรู้ดีว่ายิ่งขอบเขตสูงเท่าไร ก็ยิ่งยากที่จะทะลวงผ่าน ยิ่งไปกว่านั้น คาถาชิงเฟิงยังเป็นเพียงคาถาขั้นหนึ่งระดับต่ำ ทำไมนางถึงยกระดับความสามารถของมันไปถึงขอบเขตสี่กัน?
“ดี” ท่านผู้อาวุโสเหยียนพยักหน้า ไม่รู้เลยว่าเขาชมเหมิงฉีที่รักษาฉู่เทียนเฟิง หรือวิธีการใช้คาถาชิงเฟิงของนาง
“เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่?” ท่านผู้อาวุโสเหยียนถามอีกครั้ง ในขณะเดียวกันเขาก็ยกมือขึ้น กวาดแสงไปทั่วร่างของเหมิงฉี
“ดีมาก” เขาพยักหน้า ความอบอุ่นภายในดวงตาของเขาคล้ายปรากฏขึ้นมา
“เป็นเรื่องดีที่ผู้ฝึกฝนวิชาแพทย์จะรักษาผู้อื่น แต่เจ้าไม่ควรลืมที่จะปกป้องตัวเอง”
“เจ้าค่ะ” เหมิงฉียิ้มออกมาเล็กน้อย ท่านผู้อาวุโสเหยียนที่เทศนาสั่งสอนนางยังคงต้องทนทุกข์ทรมานจากพิษที่เขาได้รับเพราะความมุ่งมั่นที่จะรักษาผู้อื่นโดยไม่สนใจความปลอดภัยของตัวเอง แต่เหมิงฉีไม่ได้พูดอะไร มีเส้นทางการบ่มเพาะสามพันเส้นทาง และในบรรดาเส้นทางเหล่านั้น การบ่มเพาะวิชาแพทย์ไม่เคยได้รับความนิยมมากนัก แต่อาจเป็นเพราะการมีอยู่ของคนอย่างท่านผู้อาวุโสเหยียน เหมิงฉีจึงไม่เคยเสียใจเลยที่เลือกเส้นทางนี้
อันที่จริงนางรู้ดี ท่านผู้อาวุโสเหยียนเป็นผู้บ่มเพาะแก่นทองคำ แม้ว่าเขาจะเดินกะเผลก แต่เขาก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากนาง หลังจากสร้างแก่นทองคำ ผู้บ่มเพาะสามารถควบคุมสิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยให้พวกเขาบินได้ พิษตกค้างนี้คงไม่อาจขัดขวางการเคลื่อนไหวของเขาได้หรอก ส่วนสาเหตุที่เขาถามสถานการณ์ของนาง ก็อาจเพราะเขาเป็นห่วงนางกระมัง