บทที่ 23 ผู้อาวุโสเหยียน (I)
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
บทที่ 23 ผู้อาวุโสเหยียน (I)
หลังจากเดินผ่านประตูหลัก เหมิงฉีก็กลับไปที่ห้องของนางโดยตรง นางอุ้มเสือขาวตัวน้อยไว้แน่นตลอดทางกลับ ไม่ต้องการพบกับคนอยากรู้อยากเห็นอีกอย่างลู่ชิงหรันอีก
ในฐานะผู้มีฐานะธรรมดาในสำนัก ห้องของนางจึงไม่ได้ใหญ่โตนัก มีเตียง โต๊ะ และเก้าอี้สองสามตัวที่ทำจากไม้ไผ่ เสือขาวตัวน้อยกวาดสายตาไปรอบๆ อย่างเกียจคร้าน เหมิงฉีวางมันลงบนเตียงเพียงที่เดียวในห้อง เตียงไม้ไผ่นี้ปูด้วยฟูกที่ไม่นุ่มหรือแข็ง โดยรวมแล้วห้องดูไม่เหมือนห้องนอนของหญิงสาวทั่วไป
เจ้าตัวน้อยเหยียดอุ้งเท้าแล้วนอนคว่ำอย่างเกียจคร้าน มันเห็นเหมิงฉีหยิบหม้อใบเล็กออกมาจากกำไลเก็บของของนาง หม้อใบเล็กที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์สลักด้วยลวดลายเรียบง่าย ดูหยาบและไม่ประณีต ไม่น่าจะเป็นสิ่งของที่มีค่า
เหมิงฉีโยนสมุนไพรวิญญาณจำนวนมากลงในหม้อใบเล็ก ในขั้นตอนสุดท้าย นางทุบสิ่งที่คล้ายแร่แล้วใส่เข้าไป จากนั้นนางก็วาดอักขระรอบๆ หม้อ
เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ใช้ไฟธรรมดาจากฟืนในการกลั่นโอสถ แพทย์ขั้นสูงมักจะต้องใช้ระดับเปลวไฟที่เหมาะสม เปลวไฟส่วนใหญ่ที่สามารถใช้ในการกลั่นได้นั้นล้วนเกิดจากพลังวิญญาณและต้องแข็งแกร่งมากด้วย ทว่า ด้วยระดับปัจจุบันของเหมิงฉี นางไม่สามารถใช้เปลวไฟเหล่านั้นได้
กระบวนท่าเพลิงอัคคีที่นางใช้อยู่นี้ก็ได้ร่ำเรียนมาจากอาจารย์ผู้นั้น ท่านผู้นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมสร้าง หากแต่ในสามภพนี้ วิชาหลอมสร้างกลับมิได้รับความนิยมเท่าวิชาแพทย์ หากผู้ใดฝึกฝนถึงขั้นอาจารย์ของนาง ก็สามารถแปรเปลี่ยนเศษวัสดุให้กลายเป็นศาสตราวุธ หรือจะร่ายอักขระลงบนก้อนหิน กิ่งไม้ ก็สามารถเสกให้กลายเป็นของวิเศษได้
น่าเสียดายที่เหมิงฉีได้อยู่กับอาจารย์เพียงช่วงเวลาสั้นๆ จึงได้เรียนรู้เพียงวิชาเบื้องต้นเท่านั้น กระนั้น อาจารย์ก็เมตตาต่อนางยิ่งนัก ครั้งแรกที่พบกัน เหมิงฉียังเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นต้น ท่านไม่เคยรังเกียจหรือหุนหันพลันแล่นกับนาง กลับสั่งสอนวิชาต่างๆ ให้มากมาย เช่น วิธีหลอมสร้างศาสตราวุธประจำตัว หรือแม้แต่การทดลองใช้วัตถุดิบสมุนไพรเป็นตัวนำพลังในการร่ายมนตร์ลงในเม็ดโอสถ ท่านก็เป็นผู้ร่วมวิจัยกับนาง ทั้งสองต่างมุ่งมั่นศึกษาด้วยความใฝ่รู้
อีกทั้ง กระบวนท่าควบคุมเพลิงที่เหมิงฉีกำลังใช้หลอมโอสถนี้นั้น เดิมทีมีพลังแข็งแกร่งยิ่งนัก ในบรรดากระบวนท่าเพลิงอัคคีทั้งหมดในสามภพ กระบวนท่านี้มีนามว่า "หลีหั่ว" จัดอยู่ในสิบอันดับแรกของเปลวเพลิงวิญญาณ หากผู้ใช้มีพลังฝีมือสูงส่ง เปลวเพลิงนี้สามารถแผดเผาได้เป็นร้อยลี้ เผาผลาญทุกสิ่งที่ขวางหน้า
เมื่ออาจารย์ของเหมิงฉีช่วยหาวิธีควบคุมเพลิงให้กับนาง ในที่สุดท่านก็เลือกกระบวนท่าหลีหั่วนี้ จากนั้นใช้เวลาทั้งเดือน ทุ่มเทความรู้ความสามารถทั้งหมดเพื่อปรับเปลี่ยนกระบวนท่า จนในที่สุด กระบวนท่าหลีหั่วที่เดิมทีต้องใช้โดยผู้ฝึกตนขั้นก่อกำเนิด ก็ถูกย่อส่วนให้สามารถใช้ได้แม้กระทั่งคนอย่างเหมิงฉี ซึ่งเพิ่งจะหลอมรวมแก่นทองคำได้สำเร็จ แน่นอนว่าเมื่อระดับการฝึกตนของนางสูงขึ้น กระบวนท่านี้ก็จะเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย
เปลวเพลิงริบหรี่ดึงสติของเหมิงฉีกลับคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริง ดวงตาของนางจับจ้องเปลวไฟที่ลุกโชน ในเวลาอันสั้น กลิ่นหอมของโอสถได้โชยออกมา นี่คือพลังของกระบวนท่าหลีหั่ว ที่ช่วยลดเวลาในการปรุงโอสถลงครึ่งหนึ่ง เหมิงฉียังคงอยู่ในขั้นกลั่นลมปราณ แต่เมื่อระดับการฝึกตนของนางสูงขึ้น ระดับของกระบวนท่าก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน เมื่อถึงขั้นหลุดพ้น เหมิงฉีอาจสามารถปรุงโอสถได้ภายในลมหายใจเดียว
"อาจารย์"
เหมิงฉีเขียนคำนี้อย่างเหม่อลอยลงบนโต๊ะ นางรู้เพียงว่าอาจารย์มาจากสำนักลับทางแดนประจิม ไม่ทราบชื่อจริงของท่าน และไม่มีผู้ใดในแดนบูรพารู้จักท่าน
ถ้าอย่างนั้นคงมีทางเลือกเดียว!
แววตาของเหมิงฉีมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว นางจะต้องไปยังแดนประจิม ไม่ว่าบุรุษอาภรณ์สีขาวผู้นั้นจะมีความสัมพันธ์กับอาจารย์ของนางอย่างไร นางก็ต้องไปยังแดนประจิมด้วยตนเอง
เปลวเพลิงในกระบวนท่ามอดดับลงอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงผงโอสถสีเขียวก้อนเล็กๆ ในหม้อโอสถ กลิ่นหอมของมันโชยเข้าจมูก เพียงได้กลิ่นก็ทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลาย
เหมิงฉีหยิบผงโอสถออกมา หมุนตัวเดินไปที่เตียง จากนั้นโน้มตัวลงและจับอุ้งเท้าหน้าของเสือขาวน้อยเบาๆ
"อาจจะเจ็บนิดหน่อยนะ" นางปลอบเสียงเบาพลางเป่าแผลที่อุ้งเท้าปุกปุย "เสี่ยวฉี (เจ้าตัวน้อย) อดทนหน่อยนะ"
เสือขาวน้อย "..."
เสี่ยวฉีบ้านเจ้าสิ?!
เหมิงฉีค่อยๆ ทาผงลงบนอุ้งเท้าหน้าของมัน กลิ่นโอสถหอมผ่อนคลาย แต่เมื่อสัมผัสกับแผล ผงโอสถก็ร้อนขึ้นอย่างเจ็บปวด ในชั่วพริบตา ราวกับมีบางสิ่งแทรกซึมเข้าไปในแผล
นี่...
เสือขาวน้อยเงยหน้ามองเหมิงฉี ในดวงตาสีฟ้าของมันมีแววประหลาดใจ
"ช่างเป็นสตรีที่มากความสามารถนัก ถึงกับสามารถใส่คาถาฟื้นฟูลงในผงโอสถได้อีก"
ดวงตาของมันวาววับ รำลึกถึงมีดเงินเล่มเล็ก แม้ดูเรียบง่ายและหยาบกระด้าง ระดับของขั้นของมันก็ต่ำเช่นกัน แต่อักขระที่จารึกบนมีดนั้นกลับคุ้นเคยอย่างยิ่ง เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ฝึกตนตัวเล็กๆ จากสามภพจะรู้จักอักขระนั้น แม้แต่ในแดนมาร ก็มีเพียงไม่กี่คนในตระกูลมารสวรรค์ที่ได้รับเลือกเท่านั้นที่รู้
อีกทั้ง สูตรโอสถนี้ยังมีประสิทธิภาพมากกว่าเม็ดโอสถที่เหมิงฉีให้มันในหุบเขาด้วย อุ้งเท้าหน้าของเสือขาวน้อยก่อนหน้านี้เลือดออกไม่หยุด หลังจากทาผงโอสถแล้ว แม้แผลจะแสบร้อน แต่เลือดก็หยุดไหลแล้ว
ครู่ถัดมา เหมิงฉียังคงจับอุ้งเท้าที่บาดเจ็บไว้ ก่อนจะยกขึ้นเบาๆ "ดูเหมือนจะได้ผล"
เหมิงฉียิ้มเล็กน้อยและใส่โอสถอีกเม็ดเข้าปากมัน ปลายนิ้วนุ่มนวลลูบไล้ริมฝีปาก และกลิ่นหอมอ่อนๆ ของโอสถเหมือนกับกลิ่นจากเม็ดโอสถลอยมาจากนิ้วเย็นๆ ของนาง
ร่างกายของเสือขาวน้อยแข็งค้างอีกครั้ง มันไม่เคยใกล้ชิดกับเพศตรงข้ามมาก่อน หรือพูดให้ถูกต้องก็คือ ไม่มีสตรีคนใดกล้าเข้าใกล้มันเช่นนี้
แต่...ความรู้สึกนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายนัก
เสือขาวน้อยเลียริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว กลิ่นของโอสถเม็ดจางหายไปนานแล้ว แต่เมื่อนอนอยู่บนเตียงของเหมิงฉี กลิ่นหอมอ่อนๆ ของโอสถกลับปรากฏอยู่ทุกหนแห่ง ไม่ได้เข้มข้น แต่ห้อมล้อมมันอยู่เสมอ
แผลดูดซับผงโอสถจำนวนเล็กน้อยอย่างรวดเร็ว ความเจ็บปวดเดิมค่อยๆ บรรเทาลงด้วยความรู้สึกร้อนผ่าวที่เกิดจากผงโอสถ ไม่มีใครพูดอะไรในห้อง มีเพียงเสียงลมหายใจของเหมิงฉีที่ลึกและสงบ
นางยังคงจับอุ้งเท้าของเสือขาวน้อยไว้ และรออย่างอดทนจนกระทั่งผงโอสถซึมซาบหมด หลังจากผ่านไปครึ่งก้านธูป ในที่สุดก็ซึมซาบหมด พลังของโอสถหยดสุดท้ายซึมเข้าสู่แผล ค่อยๆ เผยให้เห็นบาดแผล ไม่มีเลือดไหลออกมาจากบาดแผล แต่มีแสงสีเงินวาววับอยู่ข้างใน
เหมิงฉียังไม่ทันได้ดีใจ แผลก็เริ่มมีเลือดไหลออกมาอีกครั้ง
นี่มันอะไรกัน?
นางไม่แปลกใจ หากการบาดเจ็บของมันสามารถรักษาให้หายได้ง่ายๆ นางก็คงไม่รู้สึกหนักใจ แสงสีเงินข้างในนั้นต้องเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เสือขาวน้อยเลือดไหลไม่หยุด
แต่มันคืออะไรกัน?
เหมิงฉีค่อยๆ วางอุ้งเท้าที่บาดเจ็บลงและจ้องมองเพดาน ความคิดของนางทบทวนอย่างรวดเร็วถึงพิษทั้งหมดที่นางเคยรู้จักทั้งในชีวิตปัจจุบันและอดีต แต่ไม่มีสิ่งใดตรงกับอาการของเสือขาวน้อยตัวนี้
"เสี่ยวฉี" เหมิงฉียื่นมือไปลูบหัวมัน "ข้าจะไปที่หอตำราของสำนัก"