บทที่ 21 กลับสู่หุบเขาชิงเฟิง (I)
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
บทที่ 21 กลับสู่หุบเขาชิงเฟิง (I)
เหมิงฉี “?????”
นางแค่อยากให้เขาสาบานว่าจะไม่บอกเรื่องเสือขาวตัวน้อยให้คนอื่นรู้ ทำไมเขาถึงกล่าวสัตย์สาบานแบบนั้นกัน?
แต่ก่อนที่เหมิงฉีจะทันได้ตอบโต้ แสงสีแดงจาง ๆ ก็ส่องออกมาจากมือของฉู่เทียนเฟิงและพุ่งเข้าไปในร่างกายของนาง
นี่...คำสาบานสำเร็จแล้วเหรอ?
ปฏิกิริยาแรกของเหมิงฉีคือเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า กลัวว่าฟ้าจะผ่าลงได้ทุกเมื่อ เพื่อปกป้องธิดาที่ตนโปรดปราน สวรรค์คงไม่ลังเลที่จะลงโทษตัวประกอบเล็ก ๆ อย่างนางใช่ไหม? แต่โชคดีที่ท้องฟ้ายังคงสดใสและมีแดดส่องประกาย
ปฏิกิริยาที่สองของเหมิงฉีคือมองไปที่ฉู่เทียนเฟิงอย่างสงสัย หรือว่าเขาจะไม่อยากใช้หนี้? แต่นางปฏิเสธความคิดนี้ทันที คุณชายแห่งสำนักเฟิงเทียนคงไม่ตกต่ำถึงขั้นต้องผิดสัญญาใช้หนี้หรอก
เหมิงฉีสับสนอย่างมาก!
นางแค่ต้องการให้ฉู่เทียนเฟิงสาบานวิญญาณเพื่อที่เขาจะได้ไม่เปิดเผยตัวตนของเสือขาวตัวน้อยตัวนี้ นางไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียวว่าเป็นเพราะคำขู่ของนางทำให้ฉู่เทียนเฟิงหวาดกลัว มันแทบไม่มีทางเลยชายหนุ่มผู้หยิ่งผยองจะยอมก้มหัวและสาบานจนทำให้ตนเสียเปรียบเช่นนี้
ในขณะที่นางยังอยู่ในอาการมึนงง ฉู่เทียนเฟิงก็ค่อย ๆ ดันมีดเงินของนางออกไปและลุกขึ้นอย่างช้า ๆ ฤทธิ์โอสถมีจำกัด และเขาก็เป็นถึงผู้ฝึกตนขั้นแก่นทองคำ เขาจึงฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
"ท่าน..." เหมิงฉีก้าวถอยหลังรักษาระยะห่างจากเขา "ท่านล้อเล่นใช่ไหม?"
ถ้านางจำไม่ผิด ฉู่เทียนเฟิงเพิ่งใช้...สัตย์สาบานครั้งใหญ่? โดยเฉพาะในประโยคสุดท้ายของเขาอย่าง 'สวรรค์จะไม่ให้อภัย'
สำหรับผู้ฝึกตนแห่งสามภพ การผิดคำสาบานนั้นเท่ากับการละทิ้งเส้นทางการบ่มเพาะ เพราะระดับการบ่มเพาะดั้งเดิมของพวกเขาจะลดลงไปอยู่ที่จุดต่ำสุด จากนั้นพวกเขาจะถูกสวรรค์ปฏิเสธ ทำให้ยากที่จะบ่มเพาะต่อไป
ฉู่เทียนเฟิงยืดหลังตรงและมองเหมิงฉีด้วยดวงตาสีดำเย็นชา สายตาของเขาลึกซึ้งจนผู้อื่นมองไม่ทะลุความคิดของเขา
ชายหนุ่มเชิดคางอย่างภาคภูมิใจ "เจ้าหมายความว่าอย่างไร?"
"ข้าไม่ต้องการคำสาบานแบบนั้น" เหมิงฉีขมวดคิ้ว โบกมือด้วยใบหน้ารังเกียจ "ข้าแค่อยากให้ท่านสาบานว่าจะไม่บอกเรื่องเสือขาวตัวน้อยให้คนอื่นรู้"
อันที่จริง นางไม่เคยเห็นใครใช้คำสัตย์สาบานวิญญาณจริง ๆ แต่เนื่องจากฉู่เทียนเฟิงสามารถสาบานได้ง่ายๆ แสดงว่าสำนักเฟิงเทียนน่าจะมีวิธีแก้ไขแน่ มิฉะนั้น พวกเขาจะปล่อยให้คุณชายเจ้าสำนักของตนตกไปอยู่ในมือของผู้ฝึกตนเล็ก ๆ อย่างนางได้เช่นไร?
"ทำใหม่เถิด" เหมิงฉีพูด
ฉู่เทียนเฟิงจ้องมองเหมิงฉีอย่างลึกซึ้ง ใบหน้าของเขาแดงก่ำเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า "มันเป็นคำสัตย์สาบานต่อวิญญาณ จะทำใหม่ได้ยังไง?!"
เหมิงฉี: “…”
"แต่ข้าไม่ต้องการมัน" นางจ้องมองไปที่ฉู่เทียนเฟิงและก้าวถอยหลังไปอีกก้าว "ข้าแค่ต้องการให้ท่านสาบานว่าจะไม่บอกเรื่องเสือขาวตัวน้อยให้คนอื่นรู้"
นี่คือความปรารถนาอย่างจริงใจที่สุดของเหมิงฉี แม้ว่าจะไม่นับความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างฉู่เทียนเฟิงและลู่ชิงหรัน เหมิงฉีก็ยังไม่ต้องการให้ผู้ชายที่หยิ่งยโสและมีปัญหาเช่นนี้อยู่ใกล้นาง
หลังจากความเงียบผ่านไปครู่หนึ่ง ฉู่เทียนเฟิงก็พูดขึ้นทันที "หากไม่มีคำสัตย์สาบานวิญญาณ ข้าจะบอกทุกคนเกี่ยวกับเรื่องวันนี้"
"ข้าจะบอกทุกคนที่ข้าพบ" เขาทวนคำพูด ใบหน้าของเขาแดงก่ำขึ้นกว่าเดิม แต่เขาก็ยังไม่หยุดคำขู่ที่สิ้นหวังของเขา "ภายในสามวัน ข้ารับประกันว่าทุกคนในรัศมีสามร้อยลี้จากหุบเขาชิงเฟิงจะรู้ว่าเจ้าเก็บลูกเสือขาวมารมาเลี้ยง"
เหมิงฉี" ..."
ฉู่เทียนเฟิงถือเป็นบุตรแห่งสวรรค์อย่างแท้จริง เขามีพรสวรรค์สูงในการบ่มเพาะ และด้วยฐานะของเขา ผู้คนจะประจบสอพลอทุกที่ที่เขาไป เหมือนดวงดาวที่โอบล้อมดวงจันทร์ หลังจากเขาโตขึ้น เด็กสาวโดยทั่วไปมักจะเต็มใจเข้าใกล้เขา ทั้งลูกศิษย์ในสำนักเฟิงเทียนและผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ที่เขาพบเมื่อฝึกฝนนอกสำนัก อิสตรีใดที่หาญกล้าก็มักจะโผล่หน้าเข้ามาหาเขาตลอด
ฉู่เทียนเฟิงไม่เคยคิดเลยว่าสถานการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้น เขาเป็นฝ่ายริเริ่มที่จะสาบานต่อวิญญาณกับใครบางคน แต่ฝ่ายนั้นกลับปฏิเสธอย่างเลือดเย็น เขาถึงกับต้องขู่นางด้วยวิธีที่ไร้ยางอายเช่นนี้เพื่อให้เหมิงฉียอมรับคำสาบานของเขาอย่างไม่เต็มใจ
ตอนนี้ใบหน้าของฉู่เทียนเฟิงแดงก่ำไปหมดแล้ว แต่ถึงกระนั้น ไหก็แตกไปแล้ว เขาจึงได้แต่พูดอย่างหน้าไม่อายว่า "ในเมื่อคำสาบานได้ให้ไว้แล้ว และข้าไม่สามารถยกเลิกได้ หากเจ้ามีวิธี ก็จงทำด้วยตัวเจ้าเองเถอะ"
เหมิงฉี: “…”
นางจ้องมองฉู่เทียนเฟิงเขม็ง "ข้าไม่มีคำสั่งใด ๆ ให้ท่านในตอนนี้และจะไม่มีด้วยในอนาคต ไปซะเถอะ"
"ข้าจะไม่ไปไหน" ริมฝีปากของฉู่เทียนเฟิงโค้งขึ้นทันที เขารู้สึกว่าเขาได้พบวิธีจัดการกับเหมิงฉีแล้ว "ถ้าข้าไปตอนนี้ ข้าจะบอกคนอื่นว่าเจ้าเก็บลูกเสือขาวมารมา..."
"ก็ได้ ก็ได้ ก็ได้" เหมิงฉีโบกมือ "ถ้าท่านอยากอยู่ ก็อยู่ไป"
นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณชายเจ้าสำนักเฟิงเทียนจะไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้… แต่นางต้องทนไปก่อน ต่อไปต้องมีทางกำจัดหมอนี่ได้แน่
บาดแผลของเสือขาวตัวน้อยยังคงมีเลือดไหลอยู่ นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าตัวน้อยตัวนี้มีความสัมพันธ์กับชายผู้ทรงพลังที่คล้ายกับอาจารย์ของนางอย่างไร แต่เหมิงฉีเชื่อคำพูดของฉู่เทียนเฟิง แม้จะไม่รู้ได้ชัดเจนนัก แต่เมื่อชายชุดขาวในภาพบันทึกยกมือขึ้นเพื่อสังหารวิญญาณที่แยกจากร่างของผู้อาวุโส เหมิงฉีก็เห็นกระบวยใหญ่ส่องประกายในดวงตาของเขา
เหมิงฉีหายใจเข้าลึก ๆ แล้วหันไปหาเสือขาวตัวน้อย เจ้าตัวน้อยยังคงนอนอยู่บนพื้นหญ้าอย่างเกียจคร้าน เขาอาจจะเข้าใจภาษามนุษย์ คงยอมแพ้ที่จะดิ้นรนและวิ่งหนีเสียแล้วกระมัง
เหมิงฉียังคงกำมีดหมอสีเงินขนาดเล็กไว้ในมือข้างหนึ่ง ที่จริงตามปกติหลังจากเกิดใหม่ นางจะรอจนกระทั่งเข้าสู่ช่วงกลั่นลมปราณก่อนถึงจะหลอมมีดเล่มนี้
ด้วยเหตุนี้ระดับของมีดเล่มนี้จึงยังต่ำกว่าที่นางมีในชีวิตก่อนหน้านี้ ทว่า อาจเพราะนางร่ำเรียนมาจากอาจารย์ผู้ลึกลับของนาง ผู้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมอย่างแท้จริง ในตอนนี้เหมิงฉีสามารถใช้มีดได้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้ อีกทั้งมันก็ยังเป็นอาวุธป้องกันตัวที่ดีที่สุดของนาง
แม้ว่าฉู่เทียนเฟิงจะกล่าวสัตย์สาบานกับนางแล้ว แต่นางก็ไม่ได้ผ่อนคลายความระมัดระวังทั้งหมด เปลวเพลิงที่ล้อมรอบเสือขาวตัวน้อยก่อนหน้านี้ได้ดับลงแล้ว เหมิงฉีคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้ววางมีดเงินของนางอย่างระมัดระวังไว้ข้างเสือขาวตัวน้อย ทันทีที่นางขยับมือ นางก็สามารถเอื้อมถึงมันได้ทันที
เหมิงฉีหันหน้าไปทางฉู่เทียนเฟิง และยังคงสามารถสังเกตการเคลื่อนไหวของชายคนนั้นได้จากหางตา หลังจากยืนยันตำแหน่งของเขาแล้ว นางจึงเอื้อมมือออกไปจับอุ้งเท้าที่บาดเจ็บของเสือขาวตัวน้อยอีกครั้ง คราวนี้ลูกเสือไม่ดิ้นรนและวางอุ้งเท้าลงบนฝ่ามือที่ขาวเนียนของนางอย่างว่าง่าย ดวงตาสีฟ้าของเสือขาวตัวน้อยจ้องมองเหมิงฉีครู่หนึ่งก่อนจะเหลือบมองมีดเงินเล็กน้อย
ดวงตาของมันหรี่ลงเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ผ่อนคลายอีกครั้ง