บทที่ 2- ข้าขอเรียกร้องค่าตอบแทนเป็นเงินตรา (II)
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
บทที่ 2- ข้าขอเรียกร้องค่าตอบแทนเป็นเงินตรา (II)
เหมิงฉีหันศีรษะเล็กน้อย ดวงตาของนางทอดมองใบหน้างดงามอันซีดเซียวของลู่ชิงหรัน ผู้ยังคงไม่ได้สติ
นางเข้าใจชัดเจนแล้วว่าตนได้หวนคืนสู่ภพภูมิอีกครา ศิษย์พี่ลู่ชิงหรันผู้นี้ ช่างเป็นที่รักของสวรรค์ยิ่ง เป็นดั่งเทพธิดาแห่งโชคลาภ บุตรสาวแห่งโชคชะตาโดยแท้จริง ไม่ว่าเหตุการณ์ใดจะเกิด เหล่าบุรุษผู้เก่งกล้าย่อมปรากฏกายมาช่วยเหลือนางเสมอ
ดั่งเช่นครานี้ก็ด้วยที่มีฉู่เทียนเฟิงคอยคุ้มภัย ศิษย์พี่ลู่ชิงหรันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่อย่างใด แทนที่จะพูดว่านางไม่ได้สติเพราะบาดเจ็บ กลับควรกล่าวว่านางเพียงตกใจจนสิ้นสติไปมากกว่า
ในทางตรงกันข้าม ฉู่เทียนเฟิง...เหมิงฉีมองไปยังชายชุดดำที่หน้าซีดลงเรื่อย ๆ เขาเป็นผู้ฝึกตนระดับแก่นทองคำ พิษธรรมดาไม่อาจทำอันตรายเขาได้ แต่พิษที่กำลังรุกลามทั่วร่างกายของเขาในตอนนี้มาจากอสูรรระดับห้าแห่งแดนมาร
ระดับการบำเพ็ญเพียรเริ่มต้นจากขั้นควบคุมพลังลมปราณ ขั้นสร้างรากฐาน ขั้นแก่นทองคำ ขั้นวิญญาณปฐพี และขั้นสุดท้ายคือ ขั้นตัดวิญญาณ ระดับการบำเพ็ญเพียรเหล่านี้สอดคล้องกับห้าอันดับของอสูรมาร อสูรร้ายที่ระดับห้าจะเทียบเท่าผู้บำเพ็ญเพียรขั้นตัดวิญญาณ สูงกว่าฉู่เทียนเฟิงถึงสองขั้น มันย่อมสร้างความยากลำบากให้เขาอย่างยิ่ง
ดังนั้นหลังจากที่เขาได้รับพิษมา ฉู่เทียนเฟิงจึงต้องทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดราวกับถูกเข็มหมื่นเล่มทิ่มแทงทั้งกลางวันและกลางคืน ความเจ็บปวดร้ายแรงยิ่งกว่าความตาย บังเกิดขึ้นทุกชั่วยามไม่เว้นว่าง
"นี่มัน..." หัวหน้าสำนักแห่งหุบเขาชิงเฟิงได้ส่งลู่ชิงหรันให้ศิษย์หญิงอีกคน
นางแตะนิ้วลงบนข้อมือของฉู่เทียนเฟิงแผ่วเบา เร่งตรวจสอบพิษร้ายที่รุกลาม ใบหน้าของหัวหน้าสำนักมีความกังวล นางเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นแก่นทองคำระดับเจ็ด วิชาแพทย์ก็เพิ่งบรรลุถึงขั้นสามเท่านั้น พิษร้ายนี้เกินความสามารถของนางที่จะเยียวยา
"ท่านฉู่ควรกลับไปยังวังสวรรค์เฟิงเทียนเพื่อรักษาโดยพลัน" หัวหน้าสำนักแห่งหุบเขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ หากนางสามารถเยียวยาฉู่เทียนเฟิงได้ นางยินดีจะทำสุดกำลัง หากแต่สำนักเล็ก ๆ อย่างหุบเขาชิงเฟิงสามารถผูกมิตรไมตรีกับวังสวรรค์เฟิงเทียนได้ ในภายภาคหน้าย่อมได้รับผลประโยชน์อันมหาศาลอย่างแน่นอน
ฉู่เทียนเฟิงไม่ตอบ ริมฝีปากบางเม้มแน่น เห็นได้ชัดว่าเขากำลังต่อสู้กับพิษร้ายในกายอย่างสุดกำลัง เหงื่อเม็ดโตไหลอาบร่างกำยำองอาจของเขา เสื้อคลุมสีดำขลับเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อในพริบตา
เหมิงฉียืนอยู่ด้านหลังเหล่าศิษย์ มองฉู่เทียนเฟิงอยู่ห่าง ๆ บุรุษหนุ่มผู้หยิ่งทะนงเช่นเขาไม่อาจยอมให้ผู้อื่นได้เห็นความอ่อนแอของตนเป็นอันขาด แต่บัดนี้กระทั่งหวนกลับไปวอนขอความช่วยเหลือจากวังสวรรค์เฟิงเทียน เขาก็ไม่อาจทำได้
ภพทั้งสามพันนั้นกว้างใหญ่ไพศาล มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรต่างครอบครองดินแดนส่วนใหญ่ไว้ หุบเขาชิงเฟิงและวังสวรรค์เฟิงเทียนนั้นถูกกั้นขวางด้วยขุนเขาน้อยใหญ่และห้วงสมุทรอันกว้างไกล แม้ในยามที่ฉู่เทียนเฟิงมีสุขภาพสมบูรณ์ ต่อให้จะอาศัยวิชาเคลื่อนย้ายระหว่างแดนดินน้อยใหญ่ ก็ยังต้องใช้เวลานานนับสิบกว่าวันกว่าจะไปถึงวังสวรรค์เฟิงเทียน
ยิ่งไปกว่านั้น เส้นทางกลับยังวังสวรรค์เฟิงเทียนนั้นเต็มไปด้วยภยันตรายนานัปการ ภพทั้งสามภพนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ภูผาป่าดงดิบล้วนเต็มไปด้วยสัตว์อสูรนานาชนิด บัดนี้ฉู่เทียนเฟิงได้รับบาดเจ็บสาหัส แถมยังถูกพิษร้ายเล่นงานจนไม่อาจทะยานสู่เวหาได้ ยิ่งไปกว่านั้นพลังลมปราณของเขายังถูกกดทับลงจนเหลือเพียงขั้นควบคุมพลังลมปราณ
และอีกประการหนึ่ง...
เหมิงฉีพยายามนึกถึงความทรงจำของนางอย่างละเอียด นางจำได้ว่าฉู่เทียนเฟิงใช้ยันต์วิเศษเกือบทั้งหมดที่มีเพื่อพาลู่ชิงหรันหนีจากเงื้อมมืออสูรร้ายระดับห้า จนทำให้แม้กระทั่งถุงเก็บสมบัติของเขาก็ถูกทำลายโดยอสูรร้ายตนนั้น ด้วยสภาพเช่นนี้คงไม่อาจหาหนทางใดที่จะติดต่อกลับไปยังวังสวรรค์เฟิงเทียนได้
เหมิงฉีก้มหน้าลง ยืนสงบนิ่งท่ามกลางหมู่ศิษย์ เหตุที่นางจำได้แม่นยำถึงเพียงนี้ ก็เพราะเคยประสบพบเจอเหตุการณ์เดียวกันนี้ในชาติภพก่อน ณ เวลานั้น นางเพิ่งเข้าสู่หุบเขาชิงเฟิงได้เพียงครึ่งปี ในฐานะศิษย์ธรรมดา นางขยันหมั่นเพียรฝึกฝนมิได้ขาด
ครานั้น ฉู่เทียนเฟิงหวนกลับมาพร้อมร่างของลู่ชิงหรัน แต่เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัสและถูกพิษร้ายเล่นงาน ไม่อาจติดต่อกลับไปยังวังสวรรค์เฟิงเทียนได้ อีกทั้งยังไม่มีผู้ใดในหุบเขาชิงเฟิงสามารถรักษาพิษร้ายนี้ได้
ยามนั้นเหมิงฉียังคงไร้เดียงสา นางตัดสินใจเลือกเส้นทางแห่งการฝึกฝนวิชาแพทย์ เพราะมีใจรักในศิลปะแห่งการเยียวยารักษา นอกจากฝึกฝนวิทยายุทธประจำวันเช่นเดียวกับศิษย์คนอื่น ๆ แล้ว นางยังขลุกอยู่กับตำราแพทย์และเคล็ดวิชาต่าง ๆ ในตำหนักกลางน้ำของสำนักอีกด้วย
วิชาและเคล็ดวิชาบำเพ็ญเพียรในสามภพ ล้วนแบ่งออกเป็นเก้าขั้น เหนือกว่าเก้าขั้นยังมีสามขั้นอันได้แก่ สวรรค์ ปฐพี ห้วงลึก
ซึ่งวิชาแพทย์ก็เช่นกัน มันแบ่งออกเป็นเก้าขั้น และเหนือกว่านั้นยังมีสามขั้น สวรรค์ ปฐพี และห้วงลึก
เหมิงฉีมีพรสวรรค์ในการฝึกฝนวิชาแพทย์อย่างแท้จริง แม้ฝึกปรือมาเพียงครึ่งปี ความก้าวหน้าในวิชายุทธ์ยังเชื่องช้า แต่ในด้านการแพทย์ นางกลับไปถึงจุดสูงสุดแห่งขั้นสองแล้ว ขาดเพียงโอกาสเดียวก็จะทะลวงสู่ขั้นสาม เทียบเท่ากับหัวหน้าสำนักและผู้อาวุโสทั้งหลาย
การฝึกตนในวิถีแห่งการแพทย์นั้นมิใช่เรื่องง่าย และแตกต่างจากการบำเพ็ญเพียรทั่วไปอย่างสิ้นเชิง นอกจากเรียนรู้วิชาแพทย์นานาชนิดแล้ว ยังต้องฝึกฝนความชำนาญด้วยการปรุงยาและรักษาผู้ป่วยอยู่เสมอ เมื่อสั่งสมประสบการณ์จนถึงระดับหนึ่ง จึงจะสามารถทะลวงผ่านสู่ขั้นต่อไปได้
เหมิงฉีหลงใหลในวิชาแพทย์อย่างลึกซึ้ง ครานั้นนางได้เห็นความโกลาหลของสำนัก และเห็นบุรุษหนุ่มผู้นั้นทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดประหนึ่งถูกเข็มหมื่นเล่มทิ่มแทงทั้งกลางวันและกลางคืน ดังนั้นนางจึงตัดสินใจก้าวออกมา
หลังจากทุ่มเทสิบวันสิบคืนโดยมิได้หลับมิได้นอน ในที่สุดนางก็ค้นพบหนทางที่จะรักษาพิษร้ายของฉู่เทียนเฟิง
"ช่างน่าเสียดายนัก"
แววตาของเหมิงฉีเปล่งประกายแปลกประหลาดขึ้น ดวงตาที่กระจ่างใสและเย็นชาของนางจ้องมองไปที่ใบหน้าที่งดงามของลู่ชิงหรัน
หลังจากได้หวนคืนสู่ภพภูมิอีกครา นางจึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ศิษย์พี่ลู่ชิงหรันผู้นี้ ช่างเป็นที่รักแห่งสวรรค์โดยแท้ นางเป็นดั่งสตรีงามผู้เลอโฉม เป็นที่รักใคร่ของคนนับพัน ทำให้บุรุษมากมายคลั่งไคล้หลงใหล ผู้ใดคิดร้ายต่อนาง ผู้นั้นล้วนมีจุดจบน่าเวทนา
เหมิงฉีเอียงศีรษะเล็กน้อย ครานั้นนางทุ่มเทสิบวันสิบคืน จนในที่สุดก็สามารถขจัดพิษร้ายและรักษาบาดแผลของฉู่เทียนเฟิงได้สำเร็จ แต่ยังมิทันที่นางจะได้ปลาบปลื้มกับความสำเร็จในการทะลวงขั้นวิชาแพทย์ ร่างกายของนางก็ทรุดลง หมดสติไปเพราะใช้พลังมากเกินไป
ครั้นเหมิงฉีฟื้นคืนสติอีกครั้ง ก็ล่วงเข้าวันใหม่เสียแล้ว นางมิได้ตื่นขึ้นในห้องนอนเล็ก ๆ ของตน แต่กลับถูกคุมขังไว้ในคุกใต้ดินของหุบเขาชิงเฟิง คุกใต้ดินแห่งนี้มีอาคมต้องห้ามที่หัวหน้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสร่วมกันสร้างขึ้น ด้วยพลังลมปราณอันน้อยนิดที่ตนมีอยู่ เหมิงฉีจึงไม่อาจหาญสู้กับอาคมต้องห้ามเพื่อแหกคุกออกมาได้
ต่อมานางได้รู้ว่าลู่ชิงหรันก็ตื่นขึ้นเช่นกัน สิ่งแรกที่นางทำเมื่อฟื้นคืนสติคือการบอกกล่าวหัวหน้าสำนักและฉู่เทียนเฟิงว่า นางได้เห็นผู้หนึ่งสวมอาภรณ์ศิษย์ของหุบเขาชิงเฟิงอยู่กับอสูรร้ายตนนั้นที่ทำร้ายฉู่เทียนเฟิง
หัวหน้าสำนักแห่งสำนักปรึกษาหารือเรื่องนี้กับเหล่าผู้อาวุโส เหล่าผู้อาวุโสต่างลงความเห็นว่า เหมิงฉีเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นควบคุมพลังลมปราณ วิชาแพทย์ก็เพิ่งบรรลุถึงขั้นสองเท่านั้น แต่นางกลับรักษาฉู่เทียนเฟิงได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ คำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้คือ นางสมรู้ร่วมคิดกับอสูรร้ายตนนั้นมาก่อน แสร้งทำเป็นรักษาพิษ แต่แท้จริงแล้วต้องการฉวยโอกาสนี้ไต่เต้าไปเป็นอนุของนายน้อยแห่งวังสวรรค์เฟิงเทียน ดังนั้นพวกเขาจึงกักขังนางไว้ในคุกใต้ดิน
แม้ว่านางจะทุ่มเทสุดกำลังเพื่อช่วยเหลือเขา... เอาเถิด แม้ในตอนนั้นนางจะรักษาฉู่เทียนเฟิงก็เพื่อฝึกฝนวิชาแพทย์ของตนก็ตาม ทว่าเพียงเพราะคำกล่าวอ้างของลู่ชิงหรัน พวกเขาก็โยนนางเข้าสู่คุกใต้ดินเป็นเวลาสามเดือนโดยมิได้สืบหาหลักฐานใด ๆ
สามเดือนต่อมา ในที่สุดเหมิงฉีจึงออกจากคุกใต้ดินได้
ครานั้น นางโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง คุกใต้ดินแห่งนี้ว่างเปล่า ไร้ซึ่งสิ่งใด แถมยังเป็นสถานที่ที่ปราณฟ้าดินเบาบางที่สุดในหุบเขาชิงเฟิง ไร้ซึ่งสมุนไพร นางไม่อาจปรุงโอสถได้ ไร้ตำราแพทย์เล่มใหม่ให้นางได้ศึกษา ไร้ผู้คนให้นางได้ฝึกปรือวิชาแพทย์ ทั้งฐานการบ่มเพาะของเหมิงฉีและความก้าวหน้าทางการแพทย์ของเธอหยุดนิ่งเป็นเวลาสามเดือน ยิ่งไปกว่านั้น นางเป็นผู้บริสุทธิ์โดยแท้
ทว่าหลังจากที่นางได้ออกจากคุกใต้ดินแล้ว เหมิงฉีจึงได้ล่วงรู้ความจริง ในคืนที่นางถูกขังอยู่ในคุกใต้ดิน เหล่าปีศาจทะลวงผ่านปราการแห่งสามภพเข้ามาโจมตี ทุกหนแห่งล้วนตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย หุบเขาชิงเฟิงแทบจะถูกทำลายล้างจนสิ้น
ต่อมา ฉู่เทียนเฟิงผู้ที่เคยได้รับการช่วยเหลือจากนางได้ก้าวออกมาพลิกสถานการณ์ นอกจากนี้เขายังนำกำลังเสริมอันเกรียงไกรจากวังสวรรค์เฟินเทียนมาช่วยเหลือผู้คนในหุบเขาชิงเฟิงอีกด้วย มิใช่ว่าทางสำนักมิได้สืบสวน หากแต่ยังมิมีโอกาสอันเหมาะควรต่างหาก
ในช่วงเวลานั้น เหล่าสมาชิกแห่งหุบเขาชิงเฟิงแทบทุกผู้คนล้วนได้รับบาดเจ็บไม่มากก็น้อย ผู้เดียวที่มิได้บาดเจ็บมีเพียงเหมิงฉี ผู้ซึ่งยังคงอยู่ภายในคุกใต้ดิน ณ ส่วนที่ลึกที่สุดของหุบเขา
หลังจากนั้น สำนักชิงเฟิงทั้งสำนักได้ถูกผนวกรวมเข้ากับวังสวรรค์เฟินเทียน กลายเป็นหนึ่งในสำนักย่อยภายใต้อาณัติของวังสวรรค์เฟินเทียน การผนวกรวมครั้งนี้มิใช่เรื่องเล็กน้อย หัวหน้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายมีภารกิจมากมายที่ต้องจัดการ
หลังจากที่เรื่องราวทั้งปวงสงบลง หัวหน้าสำนักก็รีบสั่งการให้มีผู้สืบสวนคดีของเหมิงฉีในทันที หลังจากทราบว่านางถูกใส่ความอย่างไม่เป็นธรรม นางจึงได้รับการปล่อยตัวในทันที และหัวหน้าสำนักก็ได้อธิบายเหตุผลแก่นางด้วยตนเอง ถึงแม้ว่าหัวหน้าสำนักจะเชื่อมั่นในศิษย์ของตน แต่เหมิงฉีผู้ซึ่งมีพรสวรรค์ในวิชาแพทย์อันโดดเด่นยังคงถือเป็นบุคคลสำคัญยิ่งสำหรับสำนัก
หุบเขาชิงเฟิงตั้งอยู่ไม่ไกลจากพรมแดนที่กั้นระหว่างสามภพกับแดนมาร ทำให้มันเป็นสำนักเล็ก ๆ ที่ต้องระมัดระวังอยู่เสมอ
ทว่าการที่ผู้ฝึกตนขั้นควบคุมพลังลมปราณอย่างเหมิงฉีสามารถขจัดพิษจากอสูรมารขั้นห้า ซึ่งสร้างความทุกข์ทรมานแก่ผู้ฝึกตนขั้นแก่นทองได้ นับเป็นความสามารถอันยากจะคาดเดา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผลที่ผู้นำสำนักจะสงสัยในตัวนาง
ยิ่งไปกว่านั้น ในที่สุดนางก็เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่า ทางสำนักมิได้เจตนาปล่อยให้นางต้องถูกจองจำถึงสามเดือนเต็ม เหมิงฉีเป็นผู้มีจิตใจเปิดกว้าง และนางก็สามารถทะลวงผ่านขั้นที่สามของการบ่มเพาะวิชาแพทย์ได้โดยการรักษาอาการป่วยของฉู่เทียนเฟิง ด้วยจิตใจอันปลอดโปร่งโล่งใจที่สะสางปัญหาเช่นนี้ออกไปหมดแล้ว นางจึงแย้มสรวลและตัดสินใจปล่อยวางเรื่องราวนี้เสีย
ณ เวลานั้น ลู่ชิงหรันได้กลายเป็นแขกผู้ทรงเกียรติแห่งวังสวรรค์เฟินเทียน เป็นที่ทราบกันทั่วหล้าว่าคุณชายแห่งวังสวรรค์เฟินเทียนมีใจปฏิพัทธ์นาง แต่ก็หาใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด เพราะถึงอย่างไร ผู้ฝึกตนขั้นก่อตั้งรากฐานก็กล้าหาญยืนหยัดพร้อมกับฉู่เทียนเฟิงเพื่อเผชิญหน้ากับอสูรร้ายระดับห้า... หญิงสาวเช่นนี้ ใครเล่าจะไม่หลงรักนาง
ส่วนเหมิงฉี...บางทีแม้แต่ฉู่เทียนเฟิงเองก็อาจลืมเลือนไปแล้วว่า ผู้ที่ทุ่มเททั้งวันทั้งคืนโดยมิได้หลับใหลเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ผู้เกือบจะถูกพิษอสูรร้ายจากร่างของเขาเล่นงานนั้น แท้จริงแล้ว...ก็คือเหมิงฉีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากหุบเขาชิงเฟิง
เหมิงฉีดึงสติกลับคืนจากห้วงภวังค์ความคิด ก่อนจะเฝ้ามองฉู่เทียนเฟิงผู้ซึ่งยังคงทรมานจากพิษร้ายที่กำเริบ อย่างเงียบงัน
ครานี้จะทำเช่นไรดี?
จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาหรือไม่?
หรือมิควร?