ตอนที่แล้วบทที่ 18 – เขาไม่ใช่...อาจารย์ของนางหรือ?! (II)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 20 – คำสาบานวิญญาณ (II)

บทที่ 19 – คำสาบานวิญญาณ (I)


[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]

[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่]

[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]

บทที่ 19 – คำสาบานวิญญาณ (I)

บุรุษอาภรณ์สีขาวในม่านเปลวไฟเหลือบมองไปทางเหมิงฉีเล็กน้อย ริมฝีปากยกขึ้น คิ้วยาวขมวดเป็นรอยยิ้มแต่ก็ไม่เชิงยิ้ม ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่ามีผู้ฝึกตนกำลังดูสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ผ่านบันทึก แต่เขาก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย

เหมิงฉีมองชายคนนั้น รูปร่างหน้าตาและท่าทางของเขามีส่วนคล้าย แต่ก็แตกต่างกันอยู่บ้าง

ใบหน้าของเขา...

ดวงตาของเหมิงฉีค่อย ๆ สำรวจใบหน้าของชายคนนั้น...มันเหมือนกันมาก

ท่าทางของเขาก็เคร่งขรืมเช่นเดียวกับอาจารย์ของนาง ทว่าดูไม่เหมือนอาจารย์ ดวงตาของพญาเสือขาวผู้นี้เฉยชาเกินไป ราวกับกำลังมองเข้าไปในน้ำตก ทั้งเย็นชาและไร้อารมณ์ใดเจือปน

อาจารย์ของนางไม่เป็นเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะเคร่งขรึม ยิ้มยาก ดวงตาที่มองนางไม่เย็นชาเลย แต่กลับสว่างไสวและอบอุ่นเหมือนดวงดาวที่ส่องแสงในท้องฟ้ายามราตรี เปรียบเสมือนแสงแดดอันอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิ อีกทั้งอาจารย์ยังเป็นคนที่หน้าตาดีที่สุดเท่าที่เหมิงฉีเคยเห็นมา

ก่อนที่เหมิงฉีจะได้สติกลับคืนมา ฉากภายในม่านเปลวไฟก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง อาจเป็นเพราะรู้ว่าไม่สามารถหนีจากบุรุษอาภรณ์สีขาวได้ ผู้อาวุโสจึงหยุดหลบหนีทันที สํานักเฟิงเทียนเป็นสำนักฝึกตนขนาดใหญ่ และตัวผู้อาวุโสเองก็บรรลุขั้นตัดวิญญาณแล้ว แม้แต่พลังของปราณวิญญาณที่แยกตัวออกมาก็เทียบเท่ากับผู้ฝึกตนขั้นปฐพี ซึ่งแข็งแกร่งกว่าผู้นำสำนักในหุบเขาชิงเฟิงของนางมากพอสมควรแล้ว

ผู้อาวุโสรีบผนึกมือ ในชั่วพริบตา เปลวเพลิงอันบ้าคลั่งก็ลุกโชนขึ้น ปกคลุมท้องฟ้าและแผดเผาผืนดิน

เหมิงฉีเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางได้เห็นพลังของผู้ฝึกตนขั้นปฐพี ทว่าการได้เห็นเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำราวกับจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ก็ยังคงน่าตกใจอยู่ดี

ฉู่เทียนเฟิงกำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้น "นี่คือหนึ่งในสามอาคมต้องห้ามที่ยิ่งใหญ่ของสำนักเฟิงเทียน ดอกบัวแดงเพลิง"

เขาพูดกับเหมิงฉีต่อไปอีกว่า "เมื่อใช้พลังถึงขีดสุดขั้นที่เก้า อาคมนี้สามารถเผาผลาญทุกสิ่งบนโลก ทำลายสิ่งรอบข้างให้กลายเป็นเถ้าถ่าน แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นเหาะเหินสวรรค์ก็ยังสามารถได้รับอันตราย กลืนกินปราณวิญญาณของพวกเขาและลดขั้นการบ่มเพาะลง"

ขั้นที่เก้า...

เหมิงฉีเหลือบมองฉู่เทียนเฟิงเล็กน้อย อาคมต้องห้ามไม่ได้ถูกเรียกเช่นนั้นเพราะห้ามใช้ แต่เป็นเพราะพลังอันท่วมท้นและปริมาณปราณวิญญาณที่จำเป็นในการเปิดใช้งาน ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ฝึกตนขั้นปฐพีใช้อาคมต้องห้ามขั้นที่สี่ ปราณของพวกเขาจะหมดไปในทันทีเพียงครั้งเดียว อย่างไรก็ตาม พลังทำลายล้างนั้นเรียกได้ว่าน่าเหลือเชื่อไม่แพ้กัน ทรงพลังมากจนบางครั้งแม้แต่ผู้ใช้เองก็ไม่สามารถควบคุมได้

หากอาคมต้องห้ามจากสำนักใหญ่เช่นสำนักเฟิงเทียนไปถึงขั้นที่เก้าได้จริง ดังที่ฉู่เทียนเฟิงกล่าวไว้ แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นสวรรค์ก็ยังสามารถได้รับอันตราย ดังนั้นอาคมประเภทนี้จึงถูกเรียกว่าอาคมต้องห้าม เพื่อเตือนสมาชิกสำนักถึงอันตรายและป้องกันไม่ให้พวกเขาใช้มันอย่างไม่ระมัดระวัง

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีปัญหาอื่นอีก ในการยกระดับขั้นของอาคมนั้นต้องใช้มันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่อาคมที่ใช้ปราณวิญญาณมากมายเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถฝึกฝนได้ง่าย ทำให้ยากมากที่จะไปถึงขั้นที่เก้า

เหมิงฉีเองก็ไม่ชอบอาคมทรงพลังเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้รับอิทธิพลจากคำสอนของอาจารย์ นางได้เรียนรู้ว่าแม้แต่ยาและอาคมระดับต่ำก็ยังมีจุดแข็งเป็นของตัวมันเอง

เหมิงฉีเก็บความคิดทั้งหมดไว้กับตัวเอง แล้วหันกลับไปจดจ่อกับภาพในม่านเปลวไฟอีกครั้ง เปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำปกคลุมพื้นที่ทั้งหมด แต่ชายอาภรณ์ขาวยังคงดูผ่อนคลายและเฉยเมย ผู้อาวุโสแห่งสำนักเฟิงเทียนหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มเย็นชา ในวินาทีต่อมา เปลวเพลิงก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พยายามจะกลืนกินชายอีกคนในเปลวเพลิงของมัน

ในที่สุดชายอาภรณ์ขาวก็ขยับ ด้วยการสะบัดแขนอาภรณ์เพียงครั้งเดียว แสงสีฟ้าซีดก็สว่างวาบ ดับเปลวเพลิงที่ท่วมท้นตรงหน้าได้อย่างง่ายดาย

"ฮ่า" ชายผู้นั้นหัวเราะแผ่วเบาอย่างเกียจคร้าน ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว แม้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ทำการเคลื่อนไหวใดๆ ที่น่าตกใจและเพียงแค่เหยียดมือออกเล็กน้อย ทว่าในวินาทีต่อมา ฟ้าและดินกลับดูเหมือนจะถูกผ่าออก วิญญาณที่แยกจากร่างของผู้อาวุโสก็ปล่อยเสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงกลัว กายของเขาถูกแยกออกเป็นสองส่วนจนถึงเอวด้วยพลังที่ไม่รู้จัก จากนั้นก็มีลมพัดมา และผู้อาวุโสก็สลายไปโดยสิ้นเชิง

ชายอาภรณ์ขาวปัดแขนอาภรณ์และเหลือบมองไปทางเหมิงฉีอย่างเกียจคร้านอีกครั้ง เขาคงจะรู้ว่าผู้อาวุโสแห่งสำนักเฟิงเทียนกำลังบันทึกเรื่องราวตลอดเวลา แต่เขาไม่สนใจ เขาเดินขึ้นไปอีกก้าว การเคลื่อนไหวของเขาไม่เร็วนัก แต่ในพริบตาเดียว ร่างของเขาก็หายไปในทิวทัศน์ภูเขา ราวกับว่าทุกสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นเพียงภาพลวงตา ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในที่แห่งนั้น

ม่านเปลวไฟค่อย ๆ หายไป ทั้งเหมิงฉีและฉู่เทียนเฟิงต่างก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มพูด

หลังจากเวลาผ่านไปนาน เหมิงฉีก็ค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมา แม้ว่าความเชี่ยวชาญของนางจะเน้นไปที่ทักษะการแพทย์ แต่นางก็ยังเป็นผู้ฝึกตน การต่อสู้ที่นางเพิ่งเห็นจบลงอย่างรวดเร็วและกะทันหัน ทำให้ผู้ชมอย่างนางคงสับสนราวกับว่า "เอ๊ะ? จบแล้วเหรอ? เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?"

เมื่อวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน แม้ว่าวิญญาณที่แยกจากร่างของผู้อาวุโสแห่งสำนักเฟิงเทียนจะอ่อนแอกว่าร่างหลัก แต่มันก็ยังคงมีพลังของขั้นปฐพี! ในประวัติศาสตร์หลายร้อยปีของหุบเขาชิงเฟิง มีเพียงผู้ก่อตั้งสำนักเท่านั้นที่เคยไปถึงระดับนั้น

ก่อนที่เหมิงฉีจะเสียชีวิตในชีวิตก่อนหน้านี้ นางอยู่ในขั้นแก่นทอง ซึ่งก็ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากอาจารย์ของนาง ถ้านางไม่เคยพบเขา เหมิงฉีอาจจะติดอยู่ในขั้นสร้างรากฐานไปหลายปีแล้ว

แต่เมื่อครู่นี้ ชายอาภรณ์ขาวแทบไม่ต้องใช้ความพยายามใด ๆ ในการจัดการกับผู้ที่มีพลังขั้นปฐพีเลย สามารถกวาดล้างเขาได้อย่างง่ายดายด้วยฝ่ามือเดียว

แข็งแกร่ง...เกินไปจริงๆ!

อาจารย์นางคงไม่น่าจะแข็งแกร่งขนาดนั้น...ใช่ไหม?

เหมิงฉีส่ายหัว ระลึกถึงคำพูดของฉู่เทียนเฟิง เขาบอกว่าชายคนนั้นคือพญาเสือขาว ชายคนนั้นคือราชาแห่งมารสวรรค์ทั้งหมดในดินแดนมารงั้นเหรอ? แล้วเสือขาวตัวน้อยตัวนี้ก็จะเติบโตขึ้นมาแข็งแกร่งขนาดนี้เช่นกันหรือ?

เหมิงฉีหันไปมองเสือขาวตัวน้อย มันดูเหมือนจะเข้าใจว่ามันได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่สามารถวิ่งหนีได้ เจ้าตัวน้อยจึงยอมแพ้ที่จะดิ้นรนและนอนเกียจคร้านอยู่บนพื้นหญ้า เลือดก็ยังไหลออกมาจากบาดแผลที่อุ้งเท้าหน้าของมัน แต่มันดูเหมือนจะไม่สนใจ ทำแค่สังเกตเหมิงฉีอย่างเงียบๆ ด้วยดวงตาสีฟ้าสดใส กระบวยใหญ่ปรากฏเลือนรางในดวงตาของมัน ราวกับลอยอยู่ในทะเลแห่งดวงดาว

ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:BamแปลNiyay , ลงแบบราคาถูกแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับ หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิก กระซิก ;-;

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด