บทที่ 15 – เสือขาวตัวน้อย (II)
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
บทที่ 15 – เสือขาวตัวน้อย (II)
แสงสีเขียวจากอาคมสะกดแตะลงบนบ่าของฉู่เทียนเฟิงเป็นครั้งสุดท้าย บาดแผลดำคล้ำน่ากลัวที่เคยมีก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ผิวสีแทนของเขาที่ตอนนี้กลับมาแข็งแรงดี มีหยดน้ำใสเย็นจากสระเกาะพราวอยู่ ดูเต็มไปด้วยพลังชีวิตของคนหนุ่ม
เหมิงฉีสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะทรุดตัวลงกะทันหัน
“ระวัง!” ฉู่เทียนเฟิงทะยานขึ้นไปโดยไม่สนใจหยดน้ำเย็นยะเยือกที่เกาะอยู่บนร่างกาย เขาเอื้อมมือออกไปประคองร่างของเหมิงฉี ร่างเล็กบอบบางของหญิงสาวล้มลงในอ้อมแขนของเขา เส้นผมนุ่มสลวยสีดำขลับของนางปัดผ่านใบหน้าของเขา
หัวใจของฉู่เทียนเฟิงเต้นแรงขึ้น
เหมิงฉีผลักเขาออกและยืนขึ้นด้วยตัวเอง
“ข้าไม่เป็นไร”
นางส่ายหัว แม้ความเหนื่อยล้าจะเกือบทำให้นางหมดสติไป แต่ด้วยการเตรียมพร้อมมาอย่างดี ทำให้นางยังคงประคองสติไว้ได้อย่างดื้อรั้น
เหมิงฉีปฏิเสธความช่วยเหลือจากฉู่เทียนเฟิงอย่างหนักแน่นและนั่งลงขัดสมาธิ สองวันสองคืนมานี้ นางไม่เคยพักหรือหลับเลย นางใช้จิตวิญญาณของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนมันแห้งเหือดแล้วรอจนกว่ามันจะฟื้นตัว กระบวนการที่น่าเบื่อนี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ผลที่ได้รับก็มากมายมหาศาล
เหมิงฉีหยิบเม็ดโอสถจากกำไลเก็บของขึ้นมากิน พลังลมปราณไหลเวียนออกมาจากเส้นลมปราณของนางและเติมเต็มร่างกายอย่างรวดเร็ว สักพักนางก็ลืมตาขึ้น เหมิงฉียืนขึ้น ยืดเส้นยืดสายอย่างพึงพอใจ
“หือ?” นางกำลังจะกลับไปยังสำนัก แต่เมื่อหันกลับไป ก็พบกับดวงตาสีดำคู่หนึ่งโดยไม่คาดคิด
“เหตุใดท่านยังไม่ไปอีกเล่า?” นางมองไปที่ฉู่เทียนเฟิงซึ่งยืนอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว
ชายหนุ่มสวมอาภรณ์เรียบร้อยแล้ว ใบหน้าที่ซีดเซียวเพราะพิษเมื่อครู่ก่อน บัดนี้กลับมาเป็นปกติ พลังบำเพ็ญเพียรพลังของเขาก็ฟื้นตัว และร่างกายของเขาดูแข็งแกร่งขึ้นมาก
“ข้า…” ฉู่เทียนเฟิงมีหลายสิ่งที่อยากจะพูด แต่ท่าทีของเหมิงฉีแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่านางไม่ได้คาดหวังคำตอบจากเขา
นางก้าวเท้าจากไปทันที “เช่นนั้นข้าขอตัวไปก่อน ลาก่อน”
ฉู่เทียนเฟิง “…”
“เหมิงฉี!” เขาเร่งตามไปทันที "ข้ามีเรื่องอยากจะบอกเจ้า"
“ทำไมเจ้าถึง...” เขามีคำถามมากมายที่จะถามและมีหลายสิ่งที่จะบอก แต่ฉู่เทียนเฟิงยังพูดไม่ทันจบประโยค ร่างระหงสองร่างก็เข้ามาใกล้จากระยะไกลและบินตรงไปหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“สหายเต๋าฉู่” หัวหน้าสำนักหุบเขาชิงเฟิงทักทายฉู่เทียนเฟิง
ลู่ชิงหรันเดินตามนางมา ดวงตาของหญิงสาวยังคงแดงก่ำ เมื่อนางมาถึง สายตาของนางก็จับจ้องไปที่ฉู่เทียนเฟิงทันที “เทียนเฟิง พิษของท่านหายดีแล้วงั้นหรือ?”
“อืม” เขาตอบเบา ๆ
“ข้าดีใจจริง ๆ” ลู่ชิงหรันยิ้ม นางเป็นหญิงสาวที่งดงาม และเมื่อนางยิ้ม แม้แต่บริเวณที่หนาวเย็นรอบบ่อเหมันต์ก็ดูเหมือนจะกลาเยป็นฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่น
“ศิษย์น้อง ขอบคุณเจ้ามาก” ลู่ชิงหรันกล่าวขอบคุณเหมิงฉี นางก้มศีรษะคำนับ “วันนั้นข้ากังวลเรื่องเทียนเฟิงมากเกินไป จึงกล่าวหาศิษย์น้องอย่างไม่ถูกต้อง ข้าหวังว่าศิษย์น้องจะไม่ถือโทษโกรธข้า”
“ศิษย์พี่หญิงไม่ต้องเกรงใจ” เหมิงฉีคำนับกลับ
ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามชีวิตก่อนหน้านี้ของนาง เหตุการณ์ต่อไปควรจะเป็นการรุกรานของอาณาจักรมาร แต่เมื่อมีฉู่เทียนเฟิงอยู่ที่นี่ หุบเขาชิงเฟิงคงจะไม่ตกอยู่ในอันตราย ความวุ่นวายครั้งนี้ไม่น่าจะยาวนานนัก
เหมิงฉีตัดสินใจในใจอย่างเงียบ ๆ หลังจากหยุดยั้งการรุกรานจากอาณาจักรมารแล้ว หุบเขาชิงเฟิงจะผนวกรวมเข้ากับวังสวรรค์เฟินเทียน เมื่อถึงเวลานั้น เพื่อความปลอดภัยของสำนัก คนของหุบเขาชิงเฟิงทั้งหมดก็จะย้ายไปยังพื้นที่ใกล้กับวังสวรรค์เฟินเทียน ยกเว้นสมาชิกสำนักบางคนที่ไม่ต้องการย้ายไปไหน
หุบเขาชิงเฟิงเดิมตั้งอยู่ริมขอบแดนทิศบูรพาของสามภพ ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากเขตแดนที่แยกดินแดนของมนุษย์ออกจากดินแดนของมาร ส่วนเมืองเฟิ่งเทียน มันคือที่ตั้งของวังสวรรค์เฟินเทียน เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในทิศหรดีทั้งหมดของแดนบูรณา ทว่าบริเวณทิศหรดีนั้นก็ยังอยู่ใกล้กับชายแดนระหว่างแดนบูรณาและแดนประจิม
เหมิงฉีได้วางแผนไว้ นางต้องการเดินทางไกลไปทางทิศประจิมเพื่อไปยังเมืองเฟิงเทียน สำหรับผู้ฝึกตนในขั้นควบคุมพลังลมปราณ แม้ว่าจะใช้ข่ายอาคมเคลื่อนย้ายจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมือง มันก็ยังต้องใช้เวลาถึงยี่สิบวันกว่าจะไปถึง
ยิ่งกว่านั้น เส้นทางก็ไม่ปลอดภัย ด้วยระดับการบำเพ็ญเพียรปัจจุบันของเหมิงฉี การไปแดนทิศประจิมด้วยตัวคนเดียวคงเป็นเรื่องยาก แต่นางสามารถติดตามสมาชิกหุบเขาชิงเฟิงไปยังเมืองเฟิ่งเทียน แล้วจึงหาทางไปทางทิศประจิมต่อไปได้
ตกลง นางตัดสินใจแล้ว!
เหมิงฉีต้องการใช้เวลาที่เหลือทำบางสิ่งก่อนที่มารจะบุก นางตัดสินใจและคำนับหัวหน้าสำนัก “ท่านหัวหน้าสำนัก ศิษย์ยังมีภารกิจต้องทำ ข้าขอตัวไปก่อน”
เหมิงฉีพยักหน้าอย่างสุภาพให้ลู่ชิงหรัน จากนั้นก็หันหลังกลับและลงจากภูเขาไปอย่างรวดเร็ว นางไม่สนใจที่จะเข้าร่วมการสนทนาของทั้งสามคนอยู่แล้ว เพราะยังไงมันเสีย คงเป็นเพียงบทสนทนาหวานซึ้งระหว่างลู่ชิงหรันและฉู่เทียนเฟิง ที่รำลึกถึงประสบการณ์เฉียดตายของพวกเขา ทว่าเหมิงฉีไม่ได้สังเกตเลยว่าดวงตาของฉู่เทียนเฟิงได้เปลี่ยนไป
“ดูเหมือนศิษย์น้องเหมิงจะยังโกรธข้าอยู่” ลู่ชิงหรันถอนหายใจเบา ๆ จากนั้นก็พูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ก่อนหน้านี้ข้าทำเกินไป ข้าควรสอบถามสถานการณ์ก่อนที่จะกล่าวหานาง”
“อีกทั้งยังเป็นนางที่ช่วยให้ข้าฟื้นขึ้นมาอีก” ลู่ชิงหรันตัวสั่นเล็กน้อย พวกเขาอยู่ใกล้กับบ่อเหมันต์มากไป และระดับบ่มเพาะของนางยังอยู่ในขั้นสร้างรากฐาน ดังนั้นนางจึงไม่อาจต้านทานความหนาวเย็นได้
ฉู่เทียนเฟิงดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องของลู่ชิงหรันเลย
“ข้าต้องติดต่อท่านอาจารย์ของข้าและขอให้ท่านอาจารย์พาคนมาที่นี่โดยเร็วที่สุด” เขามองดูร่างของเหมิงฉีที่กำลังเดินจากไปด้วยความกังวล “ข้ายังมีภารกิจต้องทำ ข้าขอตัวก่อน”
เขาเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ตามทิศทางที่เหมิงฉีเดินไป