บทที่ 13 - การเปลี่ยนแปลงของเขา (II)
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
บทที่ 13 - การเปลี่ยนแปลงของเขา (II)
"อาจารย์..." เมื่อมองดูทั้งสองจากไปทีละคน ดวงตาของลู่ชิงหรันก็แดงก่ำอีกครั้ง นางกัดริมฝีปากล่างและหันไปมองหัวหน้าสำนักแห่งหุบเขาชิงเฟิง "ศิษย์น้องโกรธข้าหรือ?"
"แม้แต่เทียนเฟิง เขาก็โกรธเช่นกันหรือ?"
"ไม่เป็นไร" หัวหน้าสำนักลูบศีรษะลู่ชิงหรันอย่างรักใคร่ นี่เป็นศิษย์ที่นางให้ความสำคัญมากที่สุด นางอาจนำหุบเขาชิงเฟิงไปสู่อีกระดับในวันข้างหน้า ดังนั้นหัวหน้าสำนักจึงคาดหวังกับลู่ชิงหรันมาก "เจ้าเพิ่งฟื้น อย่ากังวลมากเกินไปและพักผ่อนสักสองสามวันเถอะ"
"เจ้าค่ะ" ลู่ชิงหรันพยักหน้าอย่างว่าง่าย
"ศิษย์น้องน่าทึ่งจริง ๆ " นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเสริมว่า "อสูรมารที่เราเจอวันนั้นแข็งแกร่งมาก เทียนเฟิงยังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรแก่นทองคำและไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน แต่เขาก็ยังก้าวไปข้างหน้าเพื่อปกป้องข้า..."
เสียงของลู่ชิงหรันค่อย ๆ เบาลง ร่องรอยของความเขินอายปรากฏบนใบหน้าของนาง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ชายหนุ่มปกป้องนางสุดกำลัง
"เขาได้รับบาดเจ็บและโดนพิษ และอสูรก็ไล่ตามพวกเรา ในตอนนั้นข้าคิดว่าข้าคงไม่ได้เจอท่านอาจารย์อีก" น้ำตาไหลอาบใบหน้าลู่ชิงหรันอีกครั้ง
หัวหน้าสำนักถอนหายใจ นางเอื้อมมือออกไปตบไหล่ศิษย์ของนาง: "เหมิงฉีอยู่ในขั้นกลั่นพลังลมปราณจริง ๆ ข้ายังถามท่านผู้อาวุโสเหยียนย้ำแล้ว ระดับการบำเพ็ญเพียรวิชาแพทย์ของนางยังอยู่ในระดับสองด้วย"
"ถ้าเช่นนั้นนางทำได้ยังไง...?"
"ข้าไม่รู้" หัวหน้าสำนักส่ายหัว "เพียงแค่..."
การพูดถึงเหมิงฉีทำให้นางรู้สึกปวดหัว "นางขอหินวิญญาณเป็นค่าตอบแทนในการรักษาพิษของสหายเต๋าฉู่"
"หา?" ลู่ชิงหรันเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
"ข้าไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่" หัวหน้าสำนักไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี "ถ้านางสามารถรักษาพิษที่เกินระดับการบำเพ็ญเพียรของนางและช่วยชีวิตสหายฉู่ ความสำเร็จเช่นนี้ไม่สามารถประเมินค่าได้ด้วยหินวิญญาณธรรมดา ๆ แต่ถึงอย่างนั้นนางยังเรียกร้องค่าตอบแทนเหล่านั้น"
"นั่น... ศิษย์น้อง....นาง..." ลู่ชิงหรันกระพริบตา "นางขาดแคลนเงินงั้นหรือ?"
"ข้าไม่รู้ได้" หัวหน้าสำนักทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่น "แม้แต่เจ้า... เจ้าก็หมดสติไปหลายวันและโอสถชำระจิตใจของสำนักของเราไร้ค่าไม่อาจช่วยอะไรได้เลย เป็นโอสถของเหมิงฉีที่ปลุกเจ้าให้ตื่นขึ้นมา"
ลู่ชิงหรันยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีก
"ไม่เป็นไร เจ้าเพิ่งตื่น เรื่องพวกนี้ค่อยคุยกันทีหลังก็ได้" หัวหน้าสำนักลูบศีรษะนางอีกครั้ง "แต่เหมิงฉีช่วยฉู่เทียนเฟิงและช่วยเจ้าเอาไว้ ต่อไปเจ้าไม่ควรพูดอะไรที่อาจถือได้ว่าสงสัยในตัวนาง"
"เจ้าค่ะ" ลู่ชิงหรันพยักหน้า "ศิษย์จะไม่หยาบคายกับนางอีก"
"ข้าไม่โทษเจ้าหรอก" หัวหน้าสำนักยิ้มอย่างอ่อนโยน "เจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของสหายร่วมทางฉู่มากเกินไป และความกังวลของเจ้าทำให้เจ้าตื่นตระหนก"
"อาจารย์..." ด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ลู่ชิงหรันซบลงในอ้อมแขนของอาจารย์ ดวงตาที่เหมือนดวงดาวของนางส่องประกาย และร่างสูงของชายหนุ่มในคลุมอาภรณ์สีดำที่ยืนอยู่ข้างหน้าเพื่อปกป้องนางดูเหมือนจะปรากฏขึ้นต่อหน้านางอีกครั้ง
เมื่อเทียบกับศิษย์ชายคนอื่น ๆ ในหุบเขาชิงเฟิง เขาคือชายที่หล่อที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมาในชีวิต เขาทั้งแข็งแกร่งและดูแลนางอย่างดี เมื่อได้รับการปกป้องจากอ้อมแขนของเขา แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับอสูรมารที่น่าสะพรึงกลัว แต่ลู่ชิงหรันกลับรู้สึกเขินอายและตื่นเต้นมากกว่ากลัว
อย่างไรก็ตาม...
ดวงตาของลู่ชิงหรันเป็นประกายเล็กน้อย แม้ว่าศิษย์น้องเหมิงฉีจะดูเย็นชาอยู่เสมอ แต่ก็มีศิษย์ชายหลายคนที่หลงรักนาง อีกทั้งยามนี้ที่นางมีความสามารถมากจนสามารถล้างพิษให้ฉู่เทียนเฟิงได้ เทียนเฟิงจะรู้สึกขอบคุณและห่วงใยนางด้วยหรือเปล่านะ?
...
เหมิงฉีไม่รู้ถึงความกังวลของลู่ชิงหรัน หลังจากที่นางออกจากเรือน นางก็เดินไปทางบ่อเหมันต์ที่ยอดเขาโดยไม่พูดอะไรสักคำ แม้ว่าหุบเขาชิงเฟิงจะมีขนาดเล็ก แต่ก็ยังเป็นสำนักบำเพ็ญเพียร เมื่อนับรวมศิษย์และผู้เฒ่าทั้งหมดก็มีสมาชิกประมาณร้อยคน
เหล่าศิษย์ที่นางพบระหว่างทางได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับศิษย์น้องเหมิงฉีผู้นี้ที่แพร่สะพัดไปทั่วในช่วงนี้ ดังนั้นในเวลานี้ เมื่อพวกเขาเห็นเหมิงฉีกลับมาแล้วออกมาจากห้องของลู่ชิงหรันอย่างเปิดเผย หลายคนอดไม่ได้ที่จะมองนางด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่พวกเขาก็เห็นคุณชายแห่งวังสวรรค์เฟินเทียนเดินตามหลังมาทันที คนที่อยากรู้อยากเห็นและอยากดูข่าวซุบซิบก็เฝ้ามองคนทั้งสองอย่างใกล้ชิด
คนแรกที่เผชิญหน้ากับพวกเขาไม่ใช่เหมิงฉี แต่เป็นฉู่เทียนเฟิงที่เดินตามหลังนาง ดวงตาเย็นชาของชายหนุ่มในอาภรณ์คลุมสีดำกวาดมองไปรอบๆ อย่างเย่อหยิ่ง ไม่มีศิษย์ในหุบเขาชิงเฟิงคนไหนกล้าจ้องมองพวกเขาต่อไป
แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บและโดนพิษ แม้กระทั่งระดับการบำเพ็ญเพียรของเขาก็ถูกปิดกั้นไว้ แต่เขาก็ยังเป็นคุณชายแห่งวังสวรรค์เฟินเทียน ทั้งที่อยู่แค่วัยหนุ่ม แต่เขากลับมีความสามารถเหนือกว่าหัวหน้าสำนักของพวกเขาเสียอีก
ทุกคนที่อยากดูเรื่องสนุก ถูกบังคับให้ถอยกลับโดยฉู่เทียนเฟิง ในทันที บริเวณโดยรอบของพวกเขาก็เงียบลงไป
เหมิงฉีหยิบแผ่นไม้ไผ่อีกแผ่นหนึ่งออกจากที่เก็บของรูปกำไลโดยไม่ชะลอฝีเท้า นี่คือ 《บันทึกสมุนไพรท้องถิ่น》 ของสำนักที่นางยืมมาจากท่านผู้อาวุโสเหยียนก่อนที่นางจะไปรวบรวมสมุนไพร เหมิงฉีเคยศึกษาหนังสือเล่มนี้ในชีวิตก่อนของนางด้วย
แผ่นไม้ไผ่บันทึกสรรพคุณทางโอสถของสมุนไพรและพืชสมุนไพรต่าง ๆ ซึ่งเขียนโดยศิษย์ของหุบเขาชิงเฟิงรุ่นแล้วรุ่นเล่า
หลังจากที่นางออกจากหุบเขาชิงเฟิงในชีวิตก่อน เหมิงฉีได้พบกับอาจารย์ของนาง นางเรียนรู้มากมายจากชายผู้นั้น ต้องขอบคุณเขาที่ทำให้นางค่อย ๆ เข้าใจว่าทุกสิ่งในโลกนี้ไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกตามระดับอย่างเคร่งครัด ดังนั้นเหมิงฉีจึงเริ่มให้ความสนใจกับคาถาและโอสถรักษาระดับล่างมากขึ้น
เมื่อนางอ่านหนังสือเล่มนี้ในอดีต นางมองข้ามหลายส่วนไป หลังจากเกิดใหม่ เพราะนางยังไม่เคยได้ใช้มันจริง แต่หลังผ่านเรื่องราวมามากมาย นางก็พอจะเคยใช้มันมาบ้างแล้ว ดังนั้นก่อนที่นางจะไปเก็บสมุนไพร เหมิงฉีจึงหยิบหนังสือเล่มนี้ออกจากหอตำราและนำบันทึกบางตัวมาศึกษาเพิ่ม
เหมิงฉีมัวแต่สนใจ จนไม่ทันสังเกตท่าทีของศิษย์คนอื่น ๆ นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลังจากที่พวกเขาจากไป เหล่าศิษย์ที่ถูกข่มขู่โดยฉู่เทียนเฟิงกำลังมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
ทำไมพวกเขารู้สึกว่าสถานการณ์มันผิดปกติไปหน่อยนะ?
ทำไมพวกเขารู้สึกว่าคุณชายแห่งวังสวรรค์เฟินเทียนทำตัวเหมือนองครักษ์ของเหมิงฉี?!
พวกเขาต้องฝันกลางวันแน่ๆ!
การเดินไปที่ริมบ่อเหมันต์ของคนทั้งสองเต็มไปด้วยความเงียบ หลังจากมาถึง เหมิงฉีก็เก็บ《บันทึกสมุนไพรท้องถิ่น》แล้วหันไปหาฉู่เทียนเฟิง: "ถอดอาภรณ์ออก"
เหมิงฉียังจำได้ว่าเมื่อวานนี้นางสั่งเขาแบบเดียวกัน ชายคนนั้นทำท่าหยิ่งผยองมาก เขาเยาะเย้ยและมองนางด้วยความเยาะเย้ยและดูถูก แต่ตอนนี้ เมื่อนางพูดประโยคคล้าย ๆ กัน ใบหน้าของฉู่เทียนเฟิงกลับแดงก่ำทันที
เขาเบือนหน้าหนี ยกมือขึ้นจับเข็มขัดของเขา: "ขะ...ข้าใส่อาภรณ์ไว้ได้ไหม?"
เหมิงฉี: "?????"
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ทำไมท่านถึงต้องดูเขินอายอย่างนั้นเล่า?!