บทที่ 12 – การเปลี่ยนแปลงของเขา (I)
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
บทที่ 12 – การเปลี่ยนแปลงของเขา (I)
เอ๊? เหมิงฉีกระพริบตาและมองฉู่เทียนเฟิงด้วยความประหลาดใจ เขากล้าปกป้องนางจริงหรือ?!
เหมิงฉีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่นางก็กลืนคำพูดที่เกือบจะหลุดออกจากปากและเงียบ คำพูดคำเดียวจากท่านชายแห่งวังสวรรค์เฟินเทียน นั้นดีกว่าคำอธิบายร้อยคำของนาง
เหมิงฉีจำได้ว่านางถูกคุมขังในคุกใต้ดินเป็นเวลาสามเดือนในชีวิตก่อน ในท้ายที่สุดหัวหน้าสำนักก็ให้คนไปสืบสวนก่อน จึงจะพิสูจน์ได้ว่านางบริสุทธิ์
ความจริงแล้ว เรื่องนี้สืบสวนได้ง่ายดายนัก เมื่อฉู่เทียนเฟิงและลู่ชิงหรันได้รับบาดเจ็บ นางอยู่ที่หุบเขาชิงเฟิง ในเวลานั้นผู้ฝึกตนจากวังเฟินเทียนได้ตรวจสอบด้วยตนเอง และไม่พบร่องรอยของปราณมารในกายของเหมิงฉี
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ขั้นการบำเพ็ญเพียรของนางไม่ใช่ของปลอม ไม่ว่าจะเป็นการแอบออกจากหุบเขาชิงเฟิงหรือการซ่อนปราณมารไว้ในกาย เหมิงฉีก็ไม่มีทางที่จะหลอกผู้ฝึกตนเหล่านั้นได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นหากไม่ใช่เพราะการรุกรานของดินแดนมารในเวลานั้น เหมิงฉีคงไม่ถูกคุมขังนานถึงสามเดือน นางไม่โกรธหุบเขาชิงเฟิงหรือหัวหน้าสำนักหรอก แต่หลังจากเริ่มต้นชีวิตใหม่ นางก็แค่ไม่อยากเสียสามเดือนนั้นไปอีก
คำพูดของฉู่เทียนเฟิงไม่เพียงแต่ทำให้เหมิงฉีสงบลงเท่านั้น แต่ยังทำให้ลู่ชิงหรันตกใจ นางดูเหมือนจะไม่คาดคิดเลยว่าฉู่เทียนเฟิงจะพูดแทนเหมิงฉี
นางพูดตะกุกตะกักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำว่า: "แต่..."
"ไม่ใช่นาง" ฉู่เทียนเฟิงส่ายหัวอย่างหนักแน่น จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองเหมิงฉี ซึ่งกำลังยังคงครุ่นคิดอยู่
ทันใดนั้น เหมิงฉีก็ก้มศีรษะลงและสบตากับฉู่เทียนเฟิง ใบหน้าของชายหนุ่มยังคงเย็นชาเหมือนเช่นเคย แม้จะถูกพิษโจมตีอย่างกะทันหัน แต่ร่างในอาภรณ์สีดำของเขาก็ยังคงตรงและมั่นคง ทว่าเมื่อเขามองเข้าไปในดวงตาของเหมิงฉี อารมณ์ที่ไม่รู้จักก็ฉายผ่านดวงตาของเขา เขาหลบสายตาอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนจะรู้สึกอึดอัดและลังเลที่จะจ้องมองนาง
ลู่ชิงหรันลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดอีกครั้งว่า "แต่เทียนเฟิง พิษของท่าน..."
ลู่ชิงหรันเป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดของหุบเขาชิงเฟิง เมื่อฉู่เทียนเฟิงได้รับบาดเจ็บหลังจากปกป้องนาง นางก็พยายามรักษาบาดแผลของเขา เนื่องจากอาภรณ์สีดำของเขาทำหน้าที่เป็นเกราะเสริม อาการบาดเจ็บจึงไม่ได้แย่นัก แต่ปัญหาคือพิษ ลู่ชิงหรันรู้ว่าพิษนี้เกินความสามารถของนาง
เหมิงฉีเข้าสำนักได้เพียงครึ่งปี แม้ว่านางจะมีพรสวรรค์ แต่ก็ไม่มีทางที่นางจะรักษาพิษที่สูงกว่าระดับการบำเพ็ญเพียรของนางเองหลายขั้น แม้แต่อาจารย์ของลู่ชิงหรันก็อาจจะไม่สามารถรักษาได้...
"คนที่อยู่กับอสูรมารวันนั้นอย่างน้อยก็อยู่ในขั้นแก่นทองคำ นางจะเป็นศิษย์น้องของเจ้าไม่ได้"
"แต่..." ลู่ชิงหรันยังคงต้องการที่จะขัดแย้ง
"นางไม่สามารถซ่อนระดับการบำเพ็ญเพียรของนางจากข้าได้" ฉู่เทียนเฟิงตอบข้อสงสัยของลู่ชิงหรันและอธิบายสั้น ๆ เสียงของเขายังคงเย็นชา แม้ว่าเขาจะปกป้องเหมิงฉี แต่เขาก็ไม่เคยเหลือบมองนางเลย
"เข้าใจแล้ว" หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ลู่ชิงหรันก็เข้าใจและพยักหน้า ฉู่เทียนเฟิงยังคงพูดแก้ต่างให้เหมิงฉีต่อไป เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการปกป้องนาง
การที่ฉู่เทียนเฟิงไว้ใจเหมิงฉีมาก นั่นแสดงว่าศิษย์น้องคนนี้บริสุทธิ์จริง ๆ ลู่ชิงหรันเชื่อในชายผู้ทรงพลังคนนี้ที่ซึ่งเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องนาง
นางหันไปมองเหมิงฉี รู้สึกละอายใจเล็กน้อย
"ศิษย์น้องเหมิง ขอโทษด้วย" ลู่ชิงหรันขอโทษอย่างจริงใจ: "ข้าแค่เป็นห่วงเทียนเฟิงมากเกินไป เขาบาดเจ็บเพราะปกป้องข้า อสูรมารตัวนั้นแข็งแกร่งเกินไป ข้ากังวลมากเกินไป..."
"ไม่เป็นไร" เหมิงฉีโบกมือและตัดบทพูดของลู่ชิงหรัน "ตอนนี้ทุกอย่างมันชัดเจนแล้ว"
พูดตามตรงนะ นางระแวงเกี่ยวกับเรื่อง 'บุตรีแห่งโชค' ในตำนานของลู่ชิงหรันมาก
ในชีวิตก่อนของเหมิงฉี มันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นางตายทางอ้อมอีกด้วย ในชาตินี้ เหมิงฉีจึงตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะบำเพ็ญเพียรให้มากที่สุด หลังจากผ่านพ้นอันตรายและนางมีพลังมากพอ นางจะออกจากหุบเขาชิงเฟิงและจากไปจากแดนบูรพา
เหมิงฉีจำได้ว่าอาจารย์ของนางบอกนางว่า เขามาจากสำนักที่ซ่อนเร้นอยู่ในแดนบูรพา สามภพกว้างใหญ่มาก แม้ว่าความแตกต่างระหว่างแดนบูรพาและแดนประจิมจะสามารถย่นระยะได้ด้วยแผนที่
แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาอย่างเหมิงฉี มันยากและอันตรายอย่างยิ่งที่จะตามหาผู้คนในดินแดนต่าง ๆ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก นางสามารถค่อย ๆ เดินทางไปทางทิศประจิมในขณะที่พัฒนาระดับการบำเพ็ญเพียรของนางทีละเล็กทีละน้อยได้
เหมิงฉีได้ยินจากอาจารย์ลึกลับของนางว่า แดนประจิมมีสำนักแพทย์ที่ทรงอิทธิพลอย่างมาก ในสำนักนั้นมีผู้บำเพ็ญเพียรวิชาแพทย์ระดับสูงมากที่บรรลุจุดสูงสุดถึงขั้นแปดแล้ว ทั้งยังมีผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายแพทย์ที่ยังคงฝึกฝนวิชาการปรุงโอสถ ซึ่งมีคติประจำใจว่า 'ทุกสิ่งในโลกนี้สามารถใช้เป็นโอสถได้' ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรอีกนับไม่ถ้วนที่มีใจเดียวกันอุทิศตนเพื่อรักษาผู้คนทั่วโลก
ตั้งแต่นั้นมา เหมิงฉีก็ใฝ่ฝันที่จะไปยังแดนประจิม ในตอนนั้นการบำเพ็ญเพียรของนางใกล้จะถึงขั้นแก่นทองคำแล้ว อาจารย์ของนางยังสัญญาว่าหลังจากที่นางประสบความสำเร็จในการสร้างแก่นทองคำ เขาจะพานางไปยังแดนประจิมและช่วยให้นางเข้าสำนักแพทย์ได้
ช่างน่าเสียดาย...
นางส่ายหัว
สำหรับเหมิงฉี ทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้านางในตอนนี้ช่างไม่เที่ยงแท้และหายวับไปราวกับเมฆที่ลอยผ่านไป เมื่อข้อสงสัยได้รับการอธิบายอย่างชัดเจนแล้ว นางก็ไม่ต้องเสียเวลาอีกสามเดือนไปกับการถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินอีก และ 'บุตรีแห่งโชค' ผู้นี้?
แน่นอนอยู่แล้ว นางอยากจะลดการติดต่อกับนางให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
"ศิษย์น้องเหมิง ข้า..."
"ไม่เป็นไร" เหมิงฉีโบกมือ ปัดคำพูดของลู่ชิงหรันอีกครั้ง จากนั้นนางก็ลุกขึ้นยืนและพูดกับฉู่เทียนเฟิงว่า "ไปที่บ่อเหตุมันต์กันเถอะ"
หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากบ่อเหมันต์ เหมิงฉีก็ไม่แน่ใจว่านางจะสามารถกำจัดพิษได้อย่างสมบูรณ์
ฉู่เทียนเฟิงพยักหน้า เขาลุกขึ้นยืนอย่างเงียบ ๆ เดินตามหลังเหมิงฉีและเดินตามนางออกไปนอกประตู
"เทียนเฟิง" ลู่ชิงหรันไม่สนใจว่าร่างกายของนางยังคงอ่อนแอหลังจากไม่ได้สติไปหลายวันและลุกขึ้นยืน "มีอะไรให้ข้าช่วยไหม?"
ลู่ชิงหรันนั้นงดงามจริง ๆ แม้ในหมู่สาวงามนับไม่ถ้วนในสามภพ นางก็ยังคงโดดเด่น คิ้วเรียวสวย ริมฝีปากสีชมพูคล้ายกลีบดอกเหมย ดั้งจมูกงดงาม ดวงตาโตของนางสดใสราวดวงดาวที่ส่องแสง ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางบอบบางและสง่าเหมือนสตรีตามตำนานในภาพวาดโบราณ
โดยรวมแล้วนางเหมือนเทพธิดา เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าซีดและบอบบางของนาง มันก็เพียงพอที่จะเปล่งรัศมีเหมือนเทพธิดาที่มนุษย์ไม่มีแล้ว
เหมิงฉีก้าวผ่านลู่ชิงหรันไปโดยไม่แม้แต่จะเหลือบมอง ตามมาด้วยฉู่เทียนเฟิงอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาค่อนข้างซับซ้อน ท่านชายแห่งวังสวรรค์เฟินเทียนผู้ภาคภูมิและแน่วแน่ผู้นี้ จนกระทั่งเมื่อครู่ยังเป็นชายหนุ่มผู้หลงใหลที่เฝ้าดูแลลู่ชิงหรันอยู่หลายวัน แต่ตอนนี้ ราวกับว่าเขาลืมนางไปโดยสิ้นเชิง เขาเดินผ่านนางไปโดยไม่แม้แต่จะมองอีกแม้แต่น้อย
แม้เมื่อนางเรียกชื่อเขา เขาก็ไม่สนใจและรีบตามเหมิงฉีไป ทิ้งลานเล็ก ๆ แห่งนี้ไว้เบื้องหลัง