บทที่ 1- ข้าขอเรียกร้องค่าตอบแทนเป็นเงินตรา (I)
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
บทที่ 1- ข้าขอเรียกร้องค่าตอบแทนเป็นเงินตรา (I)
บนเขาชิงเฟิง เมฆหมอกปกคลุมไม่เคยจางหาย ณ จุดสูงสุดแห่งขุนเขา มีตำหนักอันโอ่อ่ากว้างขวางตั้งอยู่ เหล่าลูกศิษย์นับร้อยคน สวมอาภรณ์สีน้ำเงินยืนอยู่ในห้องโถง ทำให้สถานที่ที่ว่างเปล่าแห่งนี้มีบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาพอสมควร
เหมิงฉียืนอยู่ข้างหลังของผู้ฝึกฝนตนคนอื่น ๆ อย่างเยือกเย็น นางอยู่ในอาภรณ์สีครามเช่นเดียวกับผู้อื่น สายคาดเอวสีน้ำเงินเข้มขับเน้นรูปร่างอรชรยิ่งนัก ปิ่นปักผมไม้เก่าแก่ เสียบรวบมวย ผมยาวสลวยสีดำขลับไว้หลวม ๆ อย่างไม่เป็นระเบียบ พวงแก้มนวลเนียนไร้สีสันใดแต่งแต้ม งดงามหมดจดดุจหยกขาว นอกจากกลิ่นยาจาง ๆ แล้ว ร่างกายของนางไม่มีกลิ่นหอมอื่นใด
"ศิษย์น้องเหมิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเราจึงถูกเรียกตัวมา?" หญิงสาวผู้งดงามยืนเคียงข้างเหมิงฉีทางซ้าย นางคือศิษย์พี่หลานจูฉวน ผู้เข้าสำนักก่อนหน้านางครึ่งปี
หลานจูฉวนเอ่ยถามเสียงแผ่วเบาออกมา "เหตุใดเราจึงถูกเรียกตัวมา ณ ที่แห่งนี้หรือ?"
"ข้าไม่รู้เช่นกัน” เหมิงฉีตอบเบา ๆ มือขวาของนางกำไม้ไผ่แผ่นเล็ก ๆ ไว้แน่น หลังจากตอบคำถามของศิษย์พี่หญิงอย่างไม่เป็นสนใจ เหมิงฉีก็หลับตาลงอีกครั้ง จิตใจของนางหันไปสนใจกระดานไม้ไผ่ที่บันทึกไว้ในแผ่นไม้ไผ่ทันที
หลานจูฉวนยังปรารถนาจะสนทนาต่อ จึงได้แต่เม้มปากแน่นด้วยความขัดใจ ในบรรดาสำนักฝึกตนทั้งหมดในสามภพนี้ หุบเขาชิงเฟิงเป็นเพียงสำนักเล็ก ๆ ศิษย์ร่วมสำนักส่วนมากล้วนอยู่ในขั้นรวบรวมพลังลมปราณ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ก้าวข้ามผ่านสู่ขั้นหลอมสร้างแก่นแท้วิญญาณ มีเพียงหัวหน้าสำนักและผู้อาวุโสสองคนเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จในการสร้างแกนทองคำของพวกเขาขึ้นได้
ทว่าหุบเขาชิงเฟิงเองก็เป็นสำนักแพทย์ ไม่เคยขาดศิษย์เลย เพียงแต่ศิษย์ส่วนใหญ่ที่มาที่นี่ล้วนมีคุณสมบัติปานกลาง และบางคนไม่สามารถแม้แต่จะฝ่าฟันทะลวงขั้นได้หลังจากฝึกตนมาเป็นเวลาสิบปี โดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาทั้งหมดจึงเหมือนมาที่นี่เพียงเพื่อเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์เพื่อเอาชีวิตรอดในสามภพนี้
"ดูสิ..." เหมิงฉีได้ยินเสียงศิษย์พี่หัวเราะหยอกล้อกับผู้อื่นเงียบ ๆ “ศิษย์น้องเหมิงฉีน่ะพยายามหนักอยู่เสมอเชียวนะ”
เหมิงฉียังคงหลับตา แผ่นไม้ไผ่สีเหลืองเข้มในมือของนางเปล่งประกายอ่อน ๆ แม้กระทั่งมือที่ถือแผ่นไม้ไผ่ก็ถูกเคลือบด้วยแสงนุ่มนวล ครู่ใหญ่ผ่านไป นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แสงริบหรี่ส่องประกายผ่านดวงตาใสของนาง ก่อนจะเลือนหายไปในที่สุด
ถึงแม้ว่าหลานจูฉวนจะไม่ได้พยายามพูดคุยกับเหมิงฉีอีกต่อไป แต่นางก็ยังคงให้ความสนใจอยู่ หลานจูฉวนมองดูแสงบนแผ่นไม้ไผ่อันริบหรี่ลงด้วยแววตาที่ซับซ้อน "ศิษย์น้องเหมิง เจ้าเรียนรู้คาถาขั้นสองไปแล้วหรือ?"
วิชาแพทย์นี้ถือเป็นเคล็ดวิชาชั้นสูงสุดที่เหล่าศิษย์ธรรมดาแห่งหุบเขาชิงเฟิงจะสามารถเรียนรู้ได้
ศิษย์น้องเหมิงผู้นี้เข้าสำนักได้เพียงครึ่งปี ถึงแม้ว่านางจะเป็นผู้ฝึกตนระดับรวบรวมพลังลมปราณที่อ่อนแอ แต่การฝึกฝนวิชาแพทย์ของนางก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้ศิษย์พี่ของนางเหมือนได้แต่มองตามหลังอยู่ไกลโข
หลานจูฉวน มองรูปโฉมงดงามและร่างที่บอบบางของเหมิงฉี ด้วยความอิจฉา “เจ้าช่างวิเศษยิ่งนัก! ไม่น่าแปลกใจที่ผู้อาวุโสเหยียนกล่าวว่าพรสวรรค์ในการฝึกฝนวิชาแพทย์ของเจ้านั้นเป็นรองเพียงศิษย์น้องลู่ชิงหรัน”
ผู้อาวุโสเหยียนที่ถูกกล่าวถึงนั้น เขาเป็นหนึ่งในสองปรมาจารย์ที่บรรลุถึงขั้นแก่นทองคำแห่งหุบเขาชิงเฟิง
เมื่อได้ยินชื่อ ‘ลู่ชิงหรัน' ดวงตาของเหมิงฉีเป็นประกายเล็กน้อย ท่าทางเย็นชาและไม่แยแสของนางมีการเปลี่ยนแปลงไป แต่ความคิดของนางไม่อาจล่องลอยไปได้นาน ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากทางเข้าห้องโถง เหล่าศิษย์ในหุบเขาชิงเฟิงที่รออยู่ในตำหนักราวกับนัดหมายพร้อมกัน ต่างคนต่างหันไปยังประตู
ชายหนุ่มรูปงามในชุดดำสนิท ประคองร่างไร้สติของหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน เดินทีละก้าวเข้ามาในห้องโถง
"อ๊ะ" หลานจูฉวนเบิกตากว้าง "เขา... นั่นเขาคงไม่ใช่..."
เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบตัวเหมิงฉี เช่นเดียวกับหลานจูฉวน ความสนใจของทุกคนต่างพุ่งตรงไปยังชายหนุ่มชุดดำผู้นั้น ประการแรกเขาดูหล่อเหลามาก... แม้ในสามภพจะมีผู้บำเพ็ญเพียรมากมายนับไม่ถ้วน ทำให้มันไม่เคยขาดแคลนผู้ที่มีใบหน้าอันงดงาม แต่เหล่าศิษย์แห่งหุบเขาชิงเฟิงนานนักจะได้พบเห็นบุรุษที่มีรูปลักษณ์สง่างามเช่นนี้ หนุ่มน้อยผู้ที่ราวกับได้รับความประทานจากสวรรค์
ยิ่งไปกว่านั้น บุรุษผู้นี้ยัง...
"ดูสัญลักษณ์บนชุดคลุมของเขาสิ... เขาเป็นคนจากวังสวรรค์เฟินเทียน!"
“วังสวรรค์เฟินเทียน?! สำนักที่ติดสิบอันดับแรกในแดนตะวันออกของเราหรือ?”
“มีวังสวรรค์เฟินเทียนแห่งอื่นอีกหรือไง!”
"ถ้าอย่างนั้นเขา..."
"ฉู่เทียนเฟิง คุณชายน้อยแห่งวังสวรรค์เฟินเทียน!"
"คุณชายน้อยแห่งวังสวรรค์เฟินเทียน ผู้ที่ลือเลื่องว่าบรรลุขั้นรวบรวมพลังลมปราณตั้งแต่อายุสิบสาม ฝึกการบำเพ็ญเพียรพื้นฐานเมื่อยี่สิบ หลอมแก่นทองเมื่อยี่สิบสอง และบัดนี้เป็นถึงนักพรตแก่นทองคำในวัยเพียงยี่สิบสี่ฤดูใบไม้ผลิ?"
"ข้าได้ยินมาว่าแม้ในสามภพนี้ เขาก็ถือเป็นอัจฉริยะเยาว์วัยที่มีพรสวรรค์ในการฝึกพลังลมปราณซึ่งหาได้ยากยิ่งในรอบร้อยปี"
“ดังนั้นเขาย่อมเป็นนายน้อยของวังสวรรค์เฟินเทียนเป็นแน่!”
"โอ้ เขาช่างดูหล่อเหลานัก"
"แต่หน้าของเขาดูซีดเซียวยิ่ง...ถึงกระนั้นก็ยังคงหล่อเหลา"
"หือ...? คนที่เขาอุ้มอยู่... ศิษย์น้องหญิงลู่ชิงหรันงั้นหรือ?!"
ชั่วขณะหนึ่ง ห้องโถงทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบ สายตาของศิษย์ทุกคนจับจ้องไปที่ชายหนุ่มในชุดดำ
ทั้งสามภพล้วนถูกแบ่งออกเป็นสี่ดินแดนอันยิ่งใหญ่ ได้แก่ แดนบูรพา แดนประจิม แดนทักษิณ และแดนอุดร ภายในแดนดินใหญ่เหล่านั้น มีแคว้นน้อยใหญ่และสำนักฝึกยุทธพลังลมปราณมากมายนับไม่ถ้วน
หุบเขาชิงเฟิงตั้งอยู่ในแดนดินทิศบูรพา เป็นเพียงสำนักเล็ก ๆ แห่งหนึ่งท่ามกลางสำนักฝึกยุทธพลังปราณมากมายในแดนดินนี้
ส่วนวังสวรรค์เฟินเทียนเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในสิบอันดับแรก
สำหรับเหล่าศิษย์แห่งหุบเขาชิงเฟิงเล็ก ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพียงผู้ฝึกยุทธที่บรรลุขั้นควบแน่นพลังลมปราณ คุณชายจากวังสวรรค์เฟินเทียนก็เปรียบเสมือนเซียนผู้สูงส่งจากสรวงสวรรค์ เขาเป็นบุคคลผู้สูงส่งเกินเอื้อม ไม่อาจหาญเทียมถึง
แต่บัดนี้ บุคคลผู้สูงส่งเกินเอื้อมผู้นั้นกลับกำลังอุ้มศิษย์ของหุบเขาชิงเฟิง ค่อย ๆ ก้าวเข้ามาในโถง สายตาที่เต็มไปด้วยความริษยาและอิจฉาต่างจับจ้องไปยังใบหน้าของหญิงสาวผู้หมดสติในอ้อมแขนของคุณชาย
เหมิงฉีละสายตา นิ่งสงบดุจผืนน้ำไร้ระลอก
ศิษย์พี่หญิงหลานจูฉวนเอื้อมมือคว้าแขนเหมิงฉีด้วยความตื่นเต้น “น้องหญิงเหมิง! เจ้าเห็นหรือไม่? ศิษย์น้องลู่ถูกคุณชายแห่งวังสวรรค์เฟินเทียนอุ้มกลับมา!”
ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นจนพูดจาติดขัด นางก็กล่าวต่อไปว่า "ช่างแสนเหมือนเรื่องเพ้อฝันยิ่งนัก!"
เหมิงฉีเงยหน้าขึ้น แววตาของนางยังคงสั่นไหว ทว่านางกลับเอ่ยกับหลานจูฉวนด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า "ศิษย์พี่หญิงลู่ชิงหรันดูเหมือนจะหมดสติไปแล้ว"
หัวหน้าสำนักแห่งหุบเขาชิงเฟิงเหาะมาถึงโถงแล้ว ศิษย์เอกที่นางให้ความสำคัญที่สุดกลับหมดสติและถูกคนแปลกหน้าพากลับมายังสำนัก แม้คนแปลกหน้าผู้นั้นจะส่งสารมาล่วงหน้าแล้ว...แต่สีหน้าของหัวหน้าสำนักก็ยังคงบึ้งตึง เมื่อนางพยายามรับร่างลู่ชิงหรันมา ดวงตาของนางก็กวาดมองใบหน้าของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเผยสีหน้าตื่นตะลึง
หุบเขาชิงเฟิงเป็นสำนักปรุงยา ในฐานะหัวหน้าสำนัก นางยังเป็นผู้ที่มีระดับพลังลมปราณและความรู้ด้านการแพทย์สูงส่งที่สุดในสำนัก
ทำให้นางรู้ว่าคุณชายแห่งวังสวรรค์เฟินเทียน ฉู่เทียนเฟิง ผู้ที่อุ้มศิษย์ของนางกลับมา ดวงตาของเขามีเส้นดำปรากฏขึ้น ซึ่งบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า...เขากำลังถูกพิษกัดกร่อน
เขาโดนยาพิษกัดกร่อนอยู่!
"เจ้า…"
ดวงตาของท่านหัวหน้าสำนักวูบวาบ ก่อนที่นางจะถอนหายใจและค่อย ๆ รับร่างศิษย์ของตนเองมาจากมือฉู่เทียนเฟิง ผู้ที่เมื่อครู่ยังคงยืนอย่างมั่นคง บัดนี้กลับเซถลา ดูเหมือนเขาพยายามอย่างสุดกำลังที่จะยืนให้มั่นคง แต่หน้าของเขากลับซีดเผือดลงยิ่งกว่าเดิม
หัวใจของเหมิงฉีเต้นระรัวอย่างกะทันหัน ภาพความทรงจำมากมายผุดขึ้นในห้วงคำนึงของนางในพริบตา ศิษย์พี่หญิงลู่ชิงหรันผู้หมดสติ ถูกอุ้มกลับมาในอ้อมแขนของชายหนุ่มชุดดำนามว่าฉู่เทียนเฟิง แต่บาดแผลของชายหนุ่มผู้นั้นกลับแปดเปื้อนด้วยกลิ่นอายของอสูรร้าย
แม้เป็นถึงคุณชายผู้สูงส่งจากวังสรรค์เฟินเทียน แต่เขาก็ไม่อาจหลีกหนีความอ่อนแอของตนเองได้ ทุกชั่วยามพิษร้ายจะกำเริบขึ้น ทรมานเขาด้วยความเจ็บปวดดุจถูกเข็มนับพันทิ่มแทง