บทที่่ 5 ข้าควรเรียกเก็บเงินจากเขาเท่าใด? (II)
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[Thai-novel ลงไวกว่าที่อื่นทุกที่]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
บทที่่ 5 ข้าควรเรียกเก็บเงินจากเขาเท่าใด? (II)
"ข้า..." ฉู่เทียนเฟิงกำลังจะตอบว่าเขาจะจ่าย
"แค่หินวิญญาณขั้นห้าจำนวนห้าร้อยก้อนเองมิใช่หรือ?" ท่านชายแห่งวังสวรรค์เฟินเทียนไม่เคยใส่ใจสิ่งของต้อยต่ำเช่นนั้น แต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่าถุงเก็บของวิเศษของเขาได้สูญหายไปนานแล้วในการต่อสู้กับอสูรร้ายที่ทำให้เขาบาดเจ็บ บัดนี้ ต่อให้ค้นตัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เขาก็ยังมิอาจหาหินวิญญาณขั้นต้นได้ถึงสิบก้อน
"หินวิญญาณขั้นหกห้าก้อน" ก่อนที่ฉู่เทียนเฟิงจะได้เอ่ยสิ่งใด เหมิงฉีก็ยกมือขึ้นห้านิ้ว นิ้วมือเรียวขาวราวหิมะของหญิงสาวขยับขึ้น พร้อมกับน้ำเสียงหวานใสเอ่ยว่า "ขอบพระคุณ"
ฉู่่เทียนเฟิง: “……”
หัวหน้าสำนัก “……เหมิงฉี”
ศิษย์คนอื่น ๆ: “…”
"ศิษย์ผู้นี้เข้าใจถึงผลที่จะตามมาดี" เหมิงฉีพยักหน้ารับเบา ๆ ความจริงแล้ว นางมิรู้เลยว่าควรจะเรียกเก็บเท่าใดดี เห็นได้ชัดว่ากรรมผูกพันธ์ย่อมไม่อาจวัดค่าด้วยหินวิญญาณได้ ด้วยเหตุนี้ นางจึงทำได้เพียงประเมินจากความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างฉู่เทียนเฟิงและลู่ชิงหรัน
หากนางรักษาฉู่เทียนเฟิงด้วยค่ารักษาปกติจริง เขาอาจจะยังรู้สึกขอบคุณ ดังนั้นนางจึงต้องเรียกเก็บให้มากกว่านี้! เพราะเขาสนิทสนมกับลู่ชิงหรันมาก เช่นนั้นนางจะคิดราคาเป็นสิบเท่า
เหมิงฉีตัดสินใจแล้ว นางเหลือบมองฉู่เทียนเฟิง ถึงแม้บุรุษหนุ่มจะพยายามยืนตัวตรงสุดความสามารถ แต่ร่างกายของเขาก็ยังคงสั่นเทิ้มเล็กน้อย มือทั้งสองที่ห้อยลงข้างลำตัวกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดสีเขียวปูดโปน ฉู่เทียนเฟิงผู้ถูกพิษเล่นงานอยู่ย่อมต้องเจ็บปวดทรมานเป็นยิ่งนัก
เหมิงฉียังจำได้ด้วยว่าถุงเก็บของของเขาถูกทำลายเพื่อช่วยชีวิตของลู่ชิงหรัน นางเพียงแค่อยากรักษาผู้คน ส่วนค่ารักษาที่นางเรียกไปมันเป็นเพียงเพื่อตัดขาดกรรมผูกพันธ์เท่านั้น
"อย่าให้เกินเลยไปนักเลย"
"คุณชาย ท่านสามารถเขียนสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ก่อนได้" ดวงตาที่ชัดเจนของเหมิงฉีมองตรงไปที่ฉู่เทียนเฟิงน้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความจริงใจ "ข้าเชื่อใจว่าท่านจะไม่เบี้ยวหนี้ของท่าน"
ฉู่เทียนเฟิงแทบจะกระอักเลือดออกมา ไม่เพียงแต่จะเอาเงินของเขาและใช้เขาเป็นหนูทดลองยาเท่านั้น นางยังตั้งราคาอย่างเกินจริงเสียอีก
และตอนนี้...
มือทั้งสองที่ห้อยลงข้างลำตัวสั่นเทิ้มเล็กน้อย อาจเป็นเพราะพลังฝีมือของเขาถูกกดลงชั่วคราวจนเหลือเพียงขั้นควบคุมพลังลมปราณ ฉู่เทียนเฟิงจึงรู้สึกว่าเขาไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนได้ดีนัก
นางผู้นี้ เขาจะต้อง...
เขาจะต้องให้นาง...
"ได้สิ!" ฉู่เทียนเฟิงแสยะยิ้มเย็นชา "ข้าจะจ่ายให้เจ้า แต่หากเจ้ารักษาข้าไม่ได้..."
“ข้าจะชดใช้ด้วยชีวิต” เหมิงฉีกล่าวอย่างใจเย็น
ฉู่เทียนเฟิง: “……”
คำพูดทั้งหลายที่กำลังจะหลุดจากปากของเขา กลับถูกกลืนหายไปด้วยประโยคนี้
เหมิงฉีหันหลังกลับแล้วเดินออกจากห้องโถงไป "พลังลมปราณวิญญาณบริสุทธิ์ที่สุดอยู่ในสระน้ำเหมันต์บนยอดเขา ตามข้ามา"
นางไม่ได้ล้อเล่นกับเขา ก่อนจะหวนกลับมาเกิดใหม่ นางสามารถแก้พิษของฉู่เทียนเฟิงได้ทั้งหมด บัดนี้ในชาตินี้ นางย่อมสามารถทำได้ดียิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่มีใครช่วยฉู่เทียนเฟิง หุบเขาชิงเฟิงทั้งหุบเขาจะต้องถูกกวาดล้างจนสิ้น ด้วยขั้นพลังฝีมือของนางในตอนนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่เหมิงฉีจะอยู่รอดเพียงลำพังในภัยพิบัติอลหม่านที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากการรุกรานของเผ่าอสูร
ฉู่เทียนเฟิงเดินตามนางไปโดยมิได้เอ่ยวาจา เขาลืมที่จะหันไปมองลู่ชิงหรันเสียด้วยซ้ำ บุรุษหนุ่มผู้เย่อหยิ่งและมีสีหน้าเย็นชา ได้แต่ก้าวตามเหมิงฉีออกไปจากห้องโถงไป
ทั้งสองเดินตามกันไป ร่างของทั้งสองค่อย ๆ เลือนหายไปในหมู่เมฆหมอกแห่งหุบเขาชิงเฟิง
ครานี้ เสียงกระซิบกระซาบก็ดังขึ้นอีกครั้งในห้องโถงที่เงียบสงัดลงชั่วขณะ เมื่อเทียบกับความกระตือรือร้นที่พวกเขามีเมื่อแรกเห็นท่านชายแห่งวังสวรรค์เฟินเทียน ดวงตาของเหล่าศิษย์แห่งหุบเขาชิงเฟิงก็เริ่มแปลกไปเล็กน้อย เหล่าศิษย์มองไปยังทิศทางที่เหมิงฉีจากไปสักพักใหญ่ แต่ก็ไม่มีผู้ใดเอื้อนเอ่ยวาจาใด
หลานจูฉวนกำหมัดแน่น นางเคยคิดว่าศิษย์น้องเหมิงฉีผู้นี้มีนิสัยเย็นชา มุ่งมั่นเพียงเรื่องฝึกฝนวิชาแพทย์อย่างสุดชีวิต ที่แท้นางมีวางแผนเช่นนี้เพื่อเข้าหาท่านชายแห่งวังสวรรค์เฟินเทียนด้วยหรือ?
เฮอะ!
นางมิเชื่อหรอกว่าเหมิงฉีที่เพิ่งเข้าสำนักได้เพียงหกเดือนจะสามารถแก้พิษที่แม้แต่หัวหน้าสำนักยังจนปัญญาได้!
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การที่เหมิงฉีได้แสดงท่าทีเช่นนี้ มันก็เหมือนสร้างความประทับใจอย่างลึกซึ้งแก่คุณชายผู้งามสง่าและมากด้วยชื่อเสียงไปแล้ว
หลานจูฉวนมองไปที่ทางเข้าห้องโถงด้วยความรู้สึกไม่เต็มใจนัก เหมิงฉีและฉู่เทียนเฟิงหายลับไปจากตรงนั้นแล้ว
หากนางรู้ก่อนหน้านี้ นางก็คงจะก้าวออกมาเช่นกัน อย่างไรเสีย แม้แต่หัวหน้าสำนักยังจนปัญญา ดังนั้นต่อให้นางรักษาคุณชายผู้นี้ไม่ได้ ก็คงไม่มีผู้ใดจะตำหนินางได้อยู่ดี