ดาบที่รอการลับคม (ุ9)
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[ลงแบบราคาถูกแค่ใน my-novel แต่จะลงช้ากว่าThai-novel 100 ตอน]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
<เรื่องราวของอารอน ตอนที่ 11>
2. ดาบที่รอการลับคม (ุ9)
**************
เวลาผ่านไป
ชายคนนั้นกลับไปสู้ในสังเวียนอีก 5 ครั้ง
นักสู้ระดับสูงที่มีชื่อเรียกว่า ‘นิรนาม’ มีสถิติแข่ว 17 ครั้ง ชนะ 17 แพ้ 0 ครั้ง
แม้ที่ผ่านมาเขาจะปิดบังความแข็งแกร่งของตนด้วยการแสดงการต่อสู้ที่ดุเดือด แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อีกต่อไป
เพื่อนร่วมสังเวียนเริ่มตีตัวออกห่างจากเขา
แววตาที่เหล่าเผ่าพันธุ์ขุนนางผิวขาวที่มองมาที่เขานั้นเริ่มมีความระแวงและกระหายเลือดมากขึ้น
'ถ้านายเรียนรู้และฝึกฝนวิชาดาบ นายจะสามารถอยู่รอดได้!'
บางครั้งเสียงตะโกนของชายชราก็แวบเข้ามาในหัว
แต่ชายคนนั้นไม่ได้ทำตาม
จะแข็งแกร่งขึ้นเพื่ออะไร? ออกไปแล้วทำอะไร?
ออย่างมากก็ได้เป็นแค่สุนัขรับใช้ของพวกเผ่าพันธุ์ปีศาจชั้นสูง
กินอาหารเม็ดที่พวกมันให้ หรือปล้นสะดมและดูดเลือดเนื้อของมนุษย์ด้วยกัน
'ฉัน…กำลังรอความตายอยู่งั้นเหรอ?'
ชายชราไม่ได้มาหาเขาอีกเลยหลังจากนั้น
ชายคนนั้นคิดว่าคำพูดนั้นอาจจะไม่ผิด
เขากำลังจะตาย
พรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิดถูกฝังลึกลงไปในดินและกำลังเน่าเปื่อย
เขาคือดาบ
ดาบที่ยังไม่ได้ชักออกมา ดาบที่กำลังขึ้นสนิม และดาบที่กำลังจะหัก
ต่อให้ชักดาบเล่มนี้ออกมาแล้วอะไรจะเปลี่ยนไป?
ต่อให้ล้างสนิมและลับคมแล้วจะเอาไปใช้ที่ไหน?
คมดาบจะทำให้เลือดเนื้อกระจายไปทั่ว
มันจะกลายเป็นเครื่องมือแห่งการฆ่าและสังหารชีวิตนับไม่ถ้วน
‘แสงสว่างที่ฝ่าฟันโชคชะตา?’
เขาหัวเราะเยาะ
เกียรติยศ ความภาคภูมิใจ และความสูงส่งที่มักปรากฏในวรรณกรรมเรื่องวีรบุรุษนั้นไม่มีอยู่จริงในโลกแห่งความเป็นจริง
ตอนเด็กๆ เขารักพ่อกับแม่มาก แต่พ่อแม่กลับขายเขาให้กับสังเวียนนักสู้เพื่อเงินเพียงไม่กี่เหรียญ
ตอนเป็นวัยรุ่น เขาพึ่งพาพวกที่มาก่อน แต่พวกนั้นก็เอาเปรียบเขาอย่างไม่ใยดี
เขาถูกหักหลังมาตั้งแต่เกิด
ด้วยเหตุนี้
เขาจึงไม่สนใจข่าวลือที่แพร่สะพัด
ข่าวลือที่ว่ามีกองกำลังปลดแอกที่ต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจอยู่ที่ไหนสักแห่งใกล้ๆ
และผู้นำของกองกำลังนี้ต้องการนักรบมาร่วมต่อสู้เพื่ออิสรภาพของมนุษยชาติ
‘สิ่งที่ชายชราต้องการคือสิ่งนี้สินะ?’
หลังจากที่เขาเรียนรู้เพลงดาบ เขาก็จะกลายเป็นผู้ปลดปล่อย….ปลดปล่อยมนุษย์จากการเป็นทาส
จึงเป็นการยุติยุคของปีศาจและเปิดยุคของมนุษย์อีกครั้ง
ตามข่าวลือ ผู้นำของกองกำลังปลดแอกถูกขนานนามว่าเป็นวีรบุรุษ และมีสหายร่วมรบมากมายที่จงรักภักดีต่อเขาด้วยคุณธรรมอันสูงส่ง
‘…….’
แต่เขาไม่เชื่อ
เขาเห็นความโลภที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังรอยยิ้มมาหลายครั้งแล้ว
เขาจะค่อยๆ ตายจากไป
ไม่นานหลังจากนั้น
ข่าวลือเรื่องกองกำลังปลดแอกก็ถูกแทนที่ด้วยเรื่องเล่าใหม่
ข่าวลือคราวนี้ช่างร้ายกาจยิ่งกว่า
มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับจุดจบของโลก
กองทัพแห่งหายนะที่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้กำลังทำลายล้างทุกพื้นที่บนทวีป
พวกมันไม่สนว่าจะเป็นมนุษย์ เผ่าพันธุ์ปีศาจ หรือสัตว์
มันฆ่าและเผาทุกสิ่งที่ขวางหน้า ทำลายทุกสิ่งให้กลับคืนสู่ความว่างเปล่า
ข่าวลือเกี่ยวกับกองกำลังปลดแอกจางหายไปอย่างรวดเร็ว
เพราะข่าวลือเรื่องหายนะแ่งวันสิ้นโลกได้กลายเป็นความจริงที่กำลังคืบคลานเข้ามา
ชายคนนั้นไม่สามารถออกไปข้างนอกได้เพราะถูกขังอยู่ในสังเวียน แต่ข่าวลือต่างๆ ก็แพร่กระจายไปทั่วผ่านปากคำของนักสู้ที่ทำมาหากินจากการต่อสู้
ทางตอนเหนือของทวีปถูกทำลายจนสิ้นซาก
ที่พำนักของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่สร้างขึ้นเหนือเมืองของมนุษย์ถูกกวาดล้างไปหลายแห่ง
แม้เผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนั้นรวมตัวกันสร้างกองทัพใหม่ขึ้นมา แต่ก็ไม่สามารถต้านทานได้
ดาบหรือหอกไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้
โลกนี้จบสิ้นแล้ว
ข่าวลือทำนองนี้….
และต่อมาข่าวลือกลายเป็นความจริงก็ต่อเมื่อไม่มีการจัดการแข่งขันในสังเวียน
การแข่งขันที่ควรจะจัดขึ้นอย่างน้อยเดือนละครั้งก็ไม่ได้จัดขึ้นมาสามเดือนแล้ว
ทิวทัศน์ของถนนที่มองเห็นจากหน้าต่างห้องพักก็ดูอ้างว้าง
“เกิดอะไรขึ้น?”
“โลกมันล่มสลายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
แม้แต่เหล่านักสู้ที่เคยกระตือรือร้นในการฝึกฝนการฆ่าคนก็หยุดฝึก
พวกเขามารวมตัวกันและพูดคุยกัน
“ได้ยินมาว่าพวกมันกำลังจะมาที่นี่”
“กองทัพแห่งหายนะงั้นเหรอ?”
“อะไรนะ? งั้นพวกเราก็จะตายกันหมดเลยสิ?”
“พวกขุนนางนั้นมัวทำอะไรอยู่!”
ชายคนนั้นนั่งนิ่งๆ บนเนินทรายซึ่งเป็นที่ประจำของเขา
ความกังวลของพวกนั้นส่งมาถึงเขา
“ทำไมการแข่งขันไม่จัดขึ้นน่ะเหรอ? ก็เพราะพวกคนดูหนีกันหมดแล้วไง!”
“ว่าไงนะ?”
“พวกชั้นสูงนั้นก็หนีไปหมดแล้ว! ประชาชนก็หนีไปเกินครึ่งแล้ว ที่นี่มันจบแล้ว!”
“แล้วทำไมพวกเราถึงออกไปไม่ได้!”
เหล่ากลาดิเอเตอร์ต่างส่งเสียงโวยวาย
“พวกเขาบอกว่ากษัตริย์เป็นคนขัดขวางมัน!”
“เขาบอกว่าถ้าออกไปจะฆ่าให้หมด!”
“แม่งเอ้ย! พวกมันกำลังมาที่นี่ไม่ใช่เหรอฦ! แล้วทำไมถึงไม่ให้เราหนีไปล่ะ?”
“แล้วฉันจะไปรู้ไหมเล่า?”
ชายคนนั้นรวบรวมข้อมูลจากข่าวลือต่างๆ
หายนะที่ไม่อาจต้านทานได้กำลังมุ่งหน้ามาสู่เมืองนี้
พวกขุนนางชั้นสูงออกจากเมืองไปนานแล้ว และประชาชนจำนวนมากก็กำลังหลบหนี
อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่เมืองนี้ยังคงอยู่ก็เพราะว่ากษัตริย์ทรงห้ามมิให้ผู้คนหลบหนี
เขาส่งกองทัพออกไปฆ่าทุกคนที่พยายามหลบหนี ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจหรือมนุษย์
“ถ้าเป็นแบบนี้พวกเราตายกันหมดแน่!”
“ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว!”
“ถ้าช้าไปกว่านี้ก็ตายกันหมด รีบทำเดี๋ยวนี้เลย!”
นักสู้ต่างเห็นพ้องต้องกัน
คืนนี้ พวกเขาจะบุกเข้าไปในคลังแสงที่ถูกล็อคในคืนนี้ ขโมยอาวุธ และหนีออกจากสังเวียน
ข่าวลือเรื่องหายนะที่จะมาถึงเมืองนี้ได้กลายเป็นความจริงที่พวกเขายอมรับ
“…….”
แต่
ขณะที่พวกนั้นตัดสินใจหลบหนี สายตาของพวกเขาก็จ้องมองไปที่เขาแทน
แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความกลัวและความหวัง
“เอ่อ... คือว่า...”
“มีอะไร?”
“นายเองก็ต้องหนีเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
พวกเขารู้ดี
ว่าชายตรงหน้านั้นเป็นเหมือนปีศาจ
“คือ... งั้นก็... ไปด้วยกัน...”
“ไปให้พ้น”
“อ่า... เข้าใจแล้ว”
ข้อเสนอถูกปฏิเสธในทันที
“ไอ้สารเลว”
“งั้นก็อยู่รอความตายคนเดียวไปสิ”
“ไม่ชอบขี้หน้ามันตั้งแต่แรกแล้ว”
เขาไม่สนใจเสียงนินทา
เหล่ากลาดิเอเตอร์มารวมตัวกัน เพื่อพูดคุยและวางแผนหลบหนี
เดิมทีพวกเขาจะแทงข้างหลัง ใส่ร้าย และต่อสู้กัน แต่พวกเขาก็รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวกันต่อหน้าเป้าหมายของการเอาชีวิตรอด
“พอออกไปได้ก็ไปปล้นคฤหาสน์พวกขุนนางนั้น…น่าจะมีของดีๆ เหลืออยู่บ้าง”
“แล้วของกินล่ะ?”
“ก็ไปแย่งมาสิ”
“พยานที่เห็นเหตุการณ์ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือเด็กฆ่าให้หมด จะได้ไม่เป็นปัญหา”
“ก่อนอื่นก็ไปซ่อนตัวในตรอกซอกซอย รอจนพวกมันเผลอแล้วค่อย...”
พวกเขากำลังวางแผนหลบหนี
ทันทใดนั้นเสียงฝีเท้าวิ่งบนพื้นหินก็ดังขึ้นจากหลายทิศทาง
นอกจากนั้นยังมีเสียงโลหะกระทบกัน เสียงเหล็กกระทบพื้นหิน
“……?!”
นักสู้รู้สึกถึงความผิดปกติ แต่ก็สายเกินไป
ทหารของดูแลความเรียบร้อยสนามประลองปรากฏตัวจากที่ไหนก็ไม่รู้และล้อมรอบพื้นที่ฝึกซ้อมทั้งหมดเอาไว้