การมาถึงของความลึกลับ
จางหยวนชิงรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่นุ่มนวลและอวบอัดมานอนทับอยู่บนตัวเขา ทำให้หายใจไม่ค่อยออก เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ก่อนจะเห็นใบหน้ากลมเกลี้ยงและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
น้าสาวครางฮึมฮัมว่า "ไอ้เด็กตัวเหม็น กล้าเทฉันได้นะแก...ฉันจะนั่งทับให้แบนตายไปเลย"
เธอเอาตัวมากดทับหลานชาย ด้วยการก้มตัวลงแล้วเงยบั้นท้ายขึ้นมานั่งทับอย่างแรง 205
จางหยวนชิงครางออกมาด้วยความอึดอัดจนแทบจะขาดใจ เขาโกรธจนต้องดันหลังเธอขึ้น
ท่ามกลางเสียงร้อง "โอ๊ย" ของน้าสาว เขาเห็นว่าตอนนี้ข้างนอกฟ้าเริ่มมืดแล้ว โดยไม่รู้ตัว เขาเผลอนอนตั้งแต่เช้าจนถึงเย็นเลยเหรอเนี่ย...
"กินข้าวได้แล้ว!"
น้าสาวนอนตะแคงอยู่บนเตียงแล้วเตะก้นหลานชายรัวๆ โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะบ่นเจ็บปวดแค่ไหน
"อย่ามาแก้แค้นผมนะ ก็ผมเคารพคุณยายไง เป็นเด็กดีอ่ะไม่ดีหรือไงห๊ะ?" จางหยวนชิงพูดจบก็ตัดหน้าอีกฝ่ายเดินไปที่ข้างเตียง สวมรองเท้า แล้วเดินออกจากห้องไป
เมื่อเขาเดินออกมา กลิ่นหอมก็โชยมาจากในห้องด้านใน คุณตากับคุณยายกำลังนั่งทานข้าวอยู่ที่โต๊ะอาหาร คุณตามีผมสีเงิน ผอมและสูง สีหน้าเคร่งขรึม ไม่ค่อยยิ้ม
"เป็นยังไงบ้าง คราวนี้คนที่จัดให้แกตอนดูตัวถูกใจไหมล่ะ"
คุณยายถามด้วยความคาดหวังที่โต๊ะอาหาร
"ก็โอเคมั้งคะ เงินเดือนเป็นล้าน ผู้บริหารบริษัท ถูกใจ ถูกใจเหลือเกินค่ะ!"
น้าสาวพยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าว
"แกก็พูดแบบนี้ทุกครั้ง แล้วก็บล็อกเขาไปทุกครั้ง เฮ้อ" คุณยายใช้ปลายนิ้วจิ้มที่หัวลูกสาวอย่างแรงแล้วดุว่า "ทำดีๆ หน่อย คิดดูว่าตัวเองอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว"
ใช่เลย ใช่เลย......จางหยวนชิงสมน้ำหน้าอยู่ข้างๆ แล้วขาซ้ายก็ถูกเจียงหยู่เอ๋อร์เตะอย่างแรง ทั้งสองเตะกันไปเตะกันมาอยู่ใต้โต๊ะแบบนั้น จนโต๊ะอาหารเสียงดังโครมครามไม่หยุด
"โอ้ยรำคาญ! ถ้าไม่กินข้าวก็กลับเข้าห้องไปทั้งคู่เลยไป๊!"
คุณย่าตะโกนคำราม ส่วนจางหยวนชิงและน้าสาวก็รีบก้มหน้างุดๆ กินข้าวต่อทันที
"ยาย ลุงยังไม่กลับจากต่างประเทศอีกเหรอ" จางหยวนชิงถาม
เมื่อไม่นานมานี้ ลุงเพิ่งได้แต่งงานใหม่โดยไปจับเอาสาวที่ฐานะร่ำรวยคนหนึ่งมาได้ จึงไปฮันนิมูนกันที่ต่างประเทศสองคนแล้วทิ้งลูกชายไว้ที่นี่ ช่วงนี้พี่ชายจึงต้องมากินข้าวเย็นพร้อมกันกับเขาที่นี่เป็นประจำ
"เห็นบอกว่าวันนี้ต้องทำงานโอที เลยกลับดึกหน่อย......คนนั้นน่ะ เวลาทำงานทีนึงแทบไม่รู้จักหายใจเลย ต่างกับพ่อที่ขี้เกียจสุดๆ" คุณยายบ่น
ทำงานโอทีเหรอ.....จางหยวนชิงครางออกมาด้วยความผิดหวัง
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ จางหยวนชิงและเจียงหยู่เอ๋อร์ก็กลับเข้าห้องของใครของมัน ปล่อยให้คุณยายเก็บกวาดต่อ
เมื่อกลับถึงห้อง จางหยวนชิงก็ล็อกประตูห้อง เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาลูกพี่ลูกน้องชายบ้านตรงกันข้ามทันที
ถ้ารอเจอหน้าพูดคุยกันไม่ได้ ก็โทรคุยแทนเถอะ
ตู้ด...ตู้ด
โทรศัพท์ติดเร็วมาก แต่สุดท้าย เสียงที่ดังออกมาจากลำโพงคือเสียงแจ้งว่าปิดเครื่อง
"กำลังประชุมอยู่เหรอ"
จางหยวนชิงวางสายอย่างช่วยไม่ได้ ลูกพี่ลูกน้องชายคนนี้ทำงานเป็นหัวหน้าทีมสืบสวนพิเศษ งานยุ่งมาก กินอยู่ไม่ค่อยเป็นเวลานัก ดังนั้นสถานการณ์แบบนี้ที่ติดต่อไม่ได้ก็เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ
เขาชินแล้ว...
จางหยวนชิงนอนอยู่บนเตียง มองเพดาน ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปเรื่อยเปื่อย......
สมมติว่าการหายตัวไปของอี้ปิงเป็นฝีมือของคนอื่น เป้าหมายของมันก็น่าจะเป็นไอ้การ์ดสีดำนั่นสินะ ดังนั้นผมต้องระวังตัวให้มากขึ้น วิธีที่ปลอดภัยที่สุดในตอนนี้คือมอบมันให้พี่ชายบ้านตรงกันข้ามก่อน แล้วถึงค่อยให้เขารายงานผู้บังคับบัญชาอีกที
ด้วยระดับการบริหารของกรมตำรวจเมืองซงไห่ มีอิทธิพลมากกว่าที่เจียงหนานอยู่แล้ว
แต่ปัญหาคือ ตอนนี้ไอ้การ์ดสีดำนั่นมันหายไปไหนต่างหาก นี่เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้.......จางหยวนชิงเกาหัวด้วยความทุกข์ใจ
การ์ดสีดำที่หายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ฟังดูเผินๆ ก็ดูมีลับลมคมในมากอยู่แล้ว ยิ่งหากไม่สามารถหามันให้เจอได้อีก เรื่องจะส่งมอบให้ตำรวจก็คงเป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ไปในทันทีเลย
ตอนนี้สิ่งที่ผมทำได้คงเหลือเพียงแค่อย่างเดียวแล้ว คือสารภาพกับพี่ชายบ้านตรงข้ามไปเลยตรงๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จากนั้นจึงให้เขาไปรายงานผู้บังคับบัญชา ส่วนผมก็เป็นแค่นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมดาๆ คนหนึ่ง จะไปแก้ไขเรื่องอะไรแบบนี้ได้
ทันใดนั้น จางหยวนชิงก็รู้สึกว่าหน้าผากของเขามีอาการเจ็บและร้อนเล็กน้อย เขาเอื้อมมือไปเกา อาการปวดก็ยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก อะไรวะน่ะ? ทั้งเจ็บทั้งร้อน มันเกิดอะไรขึ้น......
เขาเดินออกจากเตียงด้วยความสับสน เดินไปที่กระจกเงาที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง ก่อนจะส่องดูตัวเองในกระจก
ภาพสะท้อนจากกระจกเงา เขาเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง หน้าตาหล่อเหลา ผิวขาวนวลละออ ไม่มีความเด็ดเดี่ยวที่เกิดจากการต่อสู้ในสังคมเลยสักน้อย และไม่มีความโชกโชนที่เกิดจากการถูกเวลาไหลผ่าน
มีเพียงความมีชีวิตชีวาที่พุ่งพล่านของคนหนุ่มสาวเท่านั้น
บนหน้าผากของเขา มีเครื่องหมายพระจันทร์สีดำกลมๆ ดวงหนึ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต พื้นผิวที่มีลวดลายไม่สม่ำเสมอนั้นมองเห็นได้ชัดเจน ที่ด้านล่างของเครื่องหมายพระจันทร์สีดำ มีสิ่งที่คล้ายแถบความคืบหน้า มันปรากฎเป็นตัวเลขว่า : 90%
นี่.....
จางหยวนชิงตกใจจนถอยหลังไป เขาลูบหน้าผากอย่างแรง แต่เครื่องหมายนั้นก็เหมือนรอยสัก ถูลบมากเท่าไหร่ก็ไม่มีวี่แววจะหายไป
หน้าผากผมมีสิ่งนี้ได้ยังไง? มันปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ฝูงความคิดที่สับสนวุ่นวายผุดขึ้นในหัวของเขา พร้อมกับความตื่นตระหนกและความสับสนปนเป
"เดี๋ยวก่อนนะ! สัญลักษณ์แบบนี้นี่มันไม่ใช่พระจันทร์สีดำบนการ์ดเหรอ"
ตอนแรกเขาตกใจ แต่ภายในไม่กี่วินาทีต่อมา ความคิดของเขาก็ทะลุปรุโปร่ง
การ์ดสีดำมันไม่ได้หายไปไหน แต่เข้าไปอยู่ในร่างกายของเขาต่างหาก! และด้วยวิธีการบางอย่างก็ทำให้มันกลายมาเป็นเครื่องหมายบนหน้าผากของเขา
ขณะที่เขากำลังสับสนอยู่นั้น ก็พบว่าแถบความคืบหน้าที่อยู่ใต้เครื่องหมายพระจันทร์สีดำกลายเป็น 92% แล้ว พร้อมกับการกระโดดของตัวเลข หน้าผากของเขาก็ร้อนขึ้นเช่นกัน
นี่มันอะไรกัน ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเหรอ? หรือเทคโนโลยีขั้นสูง? หรือเป็นภาพหลอนวะ?
ในขณะนั้น เนื้อหาของจดหมายก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขาอีกครั้ง
นี่เป็นของขวัญที่มันจะต้องเปลี่ยนชีวิตนายได้แน่ๆ
"การ์ดสีดำเหมือนจะเป็นของล้ำค่าจริงๆ ด้วยแฮะ เพราะงั้นที่เดาไว้ก่อนหน้านี้ก็ถูกต้องแล้วสิ ว่ามีคนจ้องจะขโมยมันอยู่ แล้วอี้ปิงก็ไม่ต้องการให้คนอื่นได้มันไป จึงส่งมาให้เราแทน แล้วเขาก็ดันต้องมาหายตัวไปเพราะเรื่องนี้"
จางหยวนชิงรู้สึกกังวลเกี่ยวกับอี้ปิงขึ้นมาทันที แต่ในขณะเดียวกันก็เฝ้ารอแถบความคืบหน้าด้วยความคาดหวัง
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแถบความคืบหน้าไปถึง 100% เขาเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หลังจากความเจ็บปวดแผดเผาอีกหลายครั้ง แถบความคืบหน้าที่ด้านล่างของพระจันทร์สีดำก็สิ้นสุดลงในที่สุด และไปถึง 100% ในวินาทีถัดมา เสียงที่ไม่มีอารมณ์และความรู้สึกก็ดังขึ้นข้างหูเขา
[ การ์ดตัวละครรีบูตเสร็จสิ้น......]
[ ชื่อ : รอตั้งชื่อ (กรุณาตั้งชื่อทันที) ]
[ เผ่าพันธุ์ : มนุษย์ ]
[ คล่าสอาชีพ : เทพแห่งราตรี ]
[ เลเวล : 0 ]
[ สกิล: ไม่มี ]
[ ค่าประสบการณ์ : 0% ]
[ค่าความดี : 60 (ค่าเริ่มต้น) ]
ด้านล่างค่าความดียังมีหมายเหตุอีกหนึ่งบรรทัด
[ อย่าให้ค่าความดีต่ำกว่า 60 เด็ดขาด โปรดกระทำแต่ความดี ]
จางหยวนชิงมองไปที่หน้าต่างคุณสมบัติตัวละครที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า และรู้สึกงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง เขาคิดว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
เขาพูดอย่างลังเล "ระบบ? "
ในฐานะนักท่องเน็ตตัวยง การมีทักษะรอบด้านเป็นสิ่งที่จำเป็น เสียงที่ปราศจากอารมณ์ความรู้สึกก็ดังก้องข้างหูเขาอีกครั้ง
[ กรุณาตั้งชื่อตัวละครทันที! ]
หน้าต่างคุณสมบัติตัวละครที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศ ปรากฏเป็นกรอบลายสีน้ำเงินเรืองแสง
ถ้าไม่ใช่แนวระบบ งั้นมันก็น่าจะฉลาดน้อยหน่อยและคงสื่อสารกับเขาไม่ได้......ด้วยความคิดที่จะค่อยๆ เรียนรู้ไปทีละขั้นตอน จางหยวนชิงจึงยื่นนิ้วออกไปแล้วเขียนชื่อของตัวเอง
จางหยวนชิง
[ คำเตือน ห้ามใช้ชื่อจริง ]
ห้ามใช้ชื่อจริงเหรอ จางหยวนชิงตกใจ จากนั้นก็เขียนชื่อที่สอง
หยวนซื่อเทียนจุน
[ ตั้งชื่อสำเร็จ! อีกสิบวินาทีจะเปิดแดนวิญญาณ หยวนซื่อเทียนจุน ขอให้โชคดี! ]
จางหยวนชิงฟังเสียงที่ดังก้องอยู่ข้างหูแล้วก็รู้สึกงุนงง เขาคิดว่าเกิดอะไรขึ้น เปิดแดนวิญญาณ? อย่างน้อยคุณไม่ควรอธิบายก่อนเหรอว่าแดนวิญญาณคืออะไร
ก่อนที่เขาจะตั้งสติได้ การนับถอยหลังสิบวินาทีก็สิ้นสุดลง
[ ติ๊ง แผนที่แดนวิญญาณเปิดใช้งานเรียบร้อยแล้ว ยินดีต้อนรับสู่ ด่านวิญญาณอุโมงค์เสอหลิง หมายเลข: 0079 ]
[ ระดับความยาก : S ]
[ ประเภท : ดันเจี้ยนเดี่ยว (ความตาย) ]
[ ภารกิจหลัก ภารกิจที่หนึ่ง : เอาชีวิตรอดเป็นเวลาสามชั่วโมง ]
[ ภารกิจหลัก ภารกิจที่สอง : สำรวจแดนวิญญาณหมายเลข 0079 ความคืบหน้าการสำรวจปัจจุบัน : 0% ]
[ หมายเหตุ : ห้ามนำสิ่งของที่ไม่ใช่ของแดนวิญญาณเข้ามา ]
[ คำอธิบายแดนวิญญาณหมายเลข 0079 : คุณรู้จักอุโมงค์เสอหลิง ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบเรื่องแปลกประหลาดของซงไห่หรือไม่ ]
[ อุโมงค์เสอหลิงสร้างขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่แล้ว ในระหว่างการสร้างอุโมงค์ ทีมก่อสร้างทีมหนึ่งเข้าไปขุดอุโมงค์ในคืนที่มีฝนตก จากนั้นก็หายตัวไปในอุโมงค์และไม่ปรากฏตัวอีกเลย ]
[ กรมตำรวจจัดทีมค้นหาเป็นเวลาหลายวัน จนในที่สุดก็พบคนงานที่อยู่ในทีมเข้าร่วมการขุดในคืนนั้นบนภูเขา แต่คนอื่นๆ กลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ]
[ แม้ว่าเขาจะรอดชีวิตมาได้ แต่จิตใจก็ได้รับการกระทบกระเทือนบางอย่าง ทำให้กลายเป็นคนบ้าคลั่งและสติไม่สมประกอบ....... ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะถามอย่างไร เขาก็พูดซ้ำๆ อยู่ประโยคเดียว ]
[ เขาพูดว่า : อย่าเข้าวัด อย่าเข้าวัด........]
เสียงข้างหูค่อยๆ เบาลงจนแทบไม่ได้ยิน ทิวทัศน์ตรงหน้าก็เหมือนผิวน้ำที่มีริ้วรอยย่น เกิดจากการบิดเบี้ยวและพร่ามัว ในไม่ช้า ภาพก็ค่อยๆ กลับมาคงที่ แสงไฟสีเหลืองสลัวส่องลงมายังผนังที่ขรุขระ ที่ใต้ฝ่าเท้าเป็นถนนที่ปูด้วยก้อนกรวด
"นี่ที่ไหน"
จางหยวนชิงมองไปรอบๆ ด้วยความตกใจ เขาพบว่าตัวเองอยู่ในอุโมงค์เก่าๆ หลอดไฟซีนอนโบราณบนเพดานโค้งแผ่แสงสีส้มอ่อนๆ