ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปหายตัวไป

จุดเริ่มต้น


เมืองซงไห่

เวลา 07.30 น. ในห้องที่มืดทึม บนเตียงนุ่มขนาดใหญ่ จางหยวนชิงสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างตกใจ เขากุมหัว ก่อนจะก้มตัวเหมือนกุ้งในแม่น้ำ

ปวดหัวราวกับจะระเบิดออกมาแล้วโว้ย!

รู้สึกราวกับมีเข็มแหลมฝังคาอยู่ในหัวนับพันเล่ม ปวดจนหนังศีรษะกระตุกไปหมดทุกรูขุมขน จนเริ่มทำให้เขาเกิดอาการหูแว่ว ภาพหลอน ภาพต่างๆ ฉายแวบเข้ามาในหัวไม่หยุด ประกอบกับเสียงที่อื้ออึงไร้ความหมายดังอยู่ข้างหู

จางหยวนชิงรู้ว่าโรคเก่าอาการกำเริบแล้ว

เขาคลานลงจากเตียงอย่างสั่นเทา เปิดลิ้นชักข้างหัวเตียง คลำขวดยาด้วยท่าทางร้อนรน แล้วจึงรีบหมุนฝาเปิดมันออกมา ก่อนจะเทเม็ดยาสีฟ้าออกมาห้าหกเม็ดแล้วกลืนลงไปทั้งดุ้น

จากนั้นเขาก็กระแทกตัวเองกลับขึ้นมาบนเตียง หายใจแรง พยายามกลั้นความเจ็บปวดทั้งหมดเอาไว้

สิบกว่าวินาทีต่อมา อาการปวดหัวที่ฉีกกระชากวิญญาณถึงจะเริ่มทุเลาลงบ้าง แล้วก็สงบลงในที่สุด

"ฮู้ววววว" จางหยวนชิงถอนหายใจอย่างโล่งอก เหงื่อไหลเต็มหัวไปหมด

ตอนเรียนมัธยมปลาย เขาเป็นโรคแปลกๆ โรคหนึ่ง อาการคือสมองจะจำความทรงจำในอดีตได้ทั้งหมดโดยไม่คัดกรองใดๆ รวมถึงความทรงจำขยะทั้งหลายที่ควรจะลืมไปนานแล้ว แต่กลับไม่สามารถควบคุมได้ก็ด้วย

โชคดีที่อาการแบบนี้ไม่ได้เป็นระยะนานมากนัก อาจเพราะว่าร่างกายเขาไม่สามารถรับได้ไหว สุดท้ายจึงค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ

แต่ก็ด้วยเพราะความสามารถนี้ ถึงทำให้เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยซงไห่ได้อย่างง่ายดาย ทั้งที่เป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของประเทศ จางหยวนชิงเรียกอาการแบบนี้ว่าสมองล้ำยุค เมื่อตอนเด็กๆ เขาคิดว่าตัวเองอาจจะวิวัฒนาการไปเป็นซูเปอร์แมนได้ด้วยซ้ำ แต่เพราะร่างกายไม่สามารถรองรับการวิวัฒนาการนี้ได้ อาการจึงเป็นๆ หายๆ สลับกันบ่อยๆ

ตอนที่เขาเล่าเรื่องนี้ให้หมอฟัง หมอก็ทำหน้างง แต่ก็ทำท่าตกใจมากเช่นกัน ก่อนจะแนะนำให้เขาไปตรวจที่แผนกจิตเวชชั้นล่าง แต่พอตรวจจนเสร็จสรรพแล้ว สรุปคือโรงพยาบาลก็ยังหาสาเหตุไม่ได้อยู่ดี หลังจากนั้น แม่ก็ซื้อยามาให้จากต่างประเทศ ถึงเริ่มควบคุมอาการได้ดีขึ้น ตราบใดที่กินยาเป็นประจำ อาการเขาก็จะไม่กำเริบ

"เมื่อคืนนอนไม่พอแน่ๆ น่าจะเหนื่อยเกินไป โทษยัยหยู่เอ๋อแม่งซะเลย กลางดึกยังจะมาเล่นเกมในห้องฉันอีก..."

ถึงจะพูดแบบนี้ แต่ในใจเขาก็ยังรู้สึกวิตกกังวลมากพอสมควร เพราะจางหยวนชิงรู้ว่าฤทธิ์ยาระงับประสาทเริ่มประสิทธิภาพลดลงแล้ว น่าจะตั้งแต่ตอนที่อาการป่วยของตัวเองแย่ลงเรื่อยๆ นั่นแหละ

“ต่อไปสงสัยต้องเพิ่มขนาดยาแล้วมั้ง” จางหยวนชิงสวมรองเท้าแตะเดินไปที่หน้าต่าง แล้วดึงผ้าม่านเปิดออกฉับพลัน ทันใดนั้นแสงแดดก็สาดส่องเข้ามาอย่างรวดเร็ว เติมเต็มห้องให้สว่าง

เดือนเมษายนของเมืองซงไห่ สภาพอากาศแจ่มใส ลมยามเช้าที่พัดมาเย็นสบาย

“ก๊อกๆ”

ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะเขา คุณยายตะโกนมาจากข้างนอกห้องว่า

“หยวนจื่อ ตื่นได้แล้ว”

“ไม่ตื่น!” จางหยวนชิงปฏิเสธอย่างเย็นชา ไร้เยื่อใย เขาอยากจะนอนต่อ

สภาพอากาศแจ่มใส อีกทั้งยังเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ หากไม่นอนตื่นสายก็เท่ากับเป็นการเสียเวลาไปเปล่าๆ

“ให้เวลาอีกสามนาที ถ้าไม่ลุกขึ้นมา ฉันจะสาดน้ำปลุกแกแน่”

เสียงคุณยายยิ่งเย็นชา ไร้เยื่อใยมากกว่าเดิม

“รู้แล้ว รู้แล้ว” จางหยวนชิงยอมแพ้ในทันที

เขารู้ดีว่าคุณยายที่อารมณ์ร้ายนั้นสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้จริงๆ ตอนที่จางหยวนชิงยังเรียนประถมอยู่ พ่อของเขาก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ แม่ของเขาซึ่งเป็นคนที่มีนิสัยแข็งกร้าวอยู่แล้ว ก็ไม่ได้แต่งงานใหม่ แต่เลือกพาลูกชายกลับมาที่ซงไห่แล้วก็โยนให้ตากับยายเลี้ยงดูแทน ส่วนตัวเองก็ทุ่มเทให้แต่กับการทำงาน กลายเป็นนักธุรกิจหญิงที่ญาติๆ พากันยกย่องสรรเสริญ

ต่อมาแม่ของเขาก็ซื้อบ้านเป็นของตัวเองในเมืองหลวง แต่จางหยวนชิงไม่ชอบบ้านชั้นเดียวขนาดใหญ่ที่ว่างเปล่าหลังนั้น เขาจึงตัดสินใจอาศัยอยู่กับตากับยายเหมือนเดิมดีกว่า

ก็ถึงไปอยู่ก็คงมีค่าไม่แตกต่างกับอยู่ที่นี่นักหรอก หน้าก็ไม่ค่อยเห็น จะไปอยู่ทำไมให้เสียเวลา แม่ของเขาต้องออกไปทำงานตอนเช้าและกลับบ้านตอนเย็นเป็นประทำทุกวัน แถมยังต้องเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อยๆ เธอทุ่มเทให้กับการทำงานอย่างเดียว ในวันหยุดสุดสัปดาห์ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำงานล่วงเวลา แต่พอถึงเวลากินข้าวเธอก็จะสั่งอาหารมาที่บ้าน ไม่ค่อยได้ออกไปไหน

สิ่งที่เธอพูดกับลูกชายบ่อยที่สุดก็คือ “เงินพอใช้ไหม ถ้าไม่พอก็บอกแม่นะ” คุณแม่ที่เป็นนักธุรกิจหญิงที่สามารถตอบสนองความต้องการทางการเงินให้กับลูกชายได้ไม่จำกัด ฟังดูแล้วเหมือนจะดีมากเลยแฮะ

แต่เปล่าหรอก น่าเบื่อจะตายห่า

แต่จางหยวนชิงมักจะพูดกับแม่ด้วยรอยยิ้มว่า เงินที่ยายกับน้าให้ใช้ก็เยอะพอแล้วครับ

ถ้าถามว่าน้าสาวคือคนไหน เธอก็คือผู้หญิงที่เมื่อคืนเอาแต่ดันทุรังจะเข้ามาเล่นเกมในห้องเขาให้ได้ไงล่ะ ก็คือยัยน้าคนเล็กของเขานั่นแหละ ที่ชื่อว่า เจียนหยู่เอ๋อ

จางหยวนชิงหาวแล้วบิดลูกบิดประตูห้องนอน เดินไปที่ห้องนั่งเล่นด้วยท่าทางงัวเงียๆ

บ้านของคุณยายหลังนี้ รวมพื้นที่ส่วนกลางแล้วมีขนาด 150 ตารางเมตร ตอนที่ขายบ้านหลังเก่าเพื่อซื้อบ้านหลังใหม่นี้ จางหยวนชิงจำได้ว่าราคาตารางเมตรละ 40,000 กว่า แต่พอผ่านไป 6-7 ปี ตอนนี้ราคาบ้านในหมู่บ้านนี้ยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปถึงตารางเมตรละ 110,000 เกือบ 3 เท่าของราคาเดิมเลยทีเดียว

โชคดีที่คุณตามองการณ์ไกล ถ้าเป็นบ้านหลังเก่า ป่านนี้พอตกดึกจางหยวนชิงคงต้องไปนอนในห้องนั่งเล่นแทน เพราะจะให้ไปนอนกับน้าสาวก็คงไม่ได้เพราะเขาโตเป็นหนุ่มแล้ว

ขณะนี้ เจ้าตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาปวดหัวกลับกำลังซดโจ๊กอย่างสบายอารมณ์ อยู่บนโต๊ะอาหารยาวข้างๆ ห้องนั่งเล่น รองเท้าแตะสีชมพูโยกไปมาอยู่ใต้โต๊ะ

เธอมีใบหน้าที่สวยงามและประณีต ใบหน้ารูปไข่ที่กลมมนดูหวานมาก มีไฝที่หางตาข้างขวาอย่างเข้ารับกันดี เพราะเพิ่งตื่นนอน ผมหยักโศกที่ฟูและยุ่งเหยิงจึงยังปล่อยสยายอยู่ ทำให้เธอดูขี้เกียจและเย้ายวนมากขึ้น

น้าสาวคนเล็กชื่อเจียงหยู่เอ๋อร์ อายุมากกว่าเขา 4 ปี พอเห็นจางหยวนชิงออกมา น้าสาวก็เลียโจ๊กที่ริมฝีปากแล้วพูดด้วยความประหลาดใจว่า

"แหม ตื่นเช้าจังเลยนะคะวันนี้ เหมือนคนละคนเลยเนอะ"

"ก็ฝีมือแม่ของน้านั่นแหละ"

"เอ้า แล้วแกจะมาว่าแม่ฉันทำไม!"

"ผมแค่พูดความจริงปะล่ะ"

จางหยวนชิงมองใบหน้าที่สวยงามราวกับดอกไม้ของน้าสาวอย่างพิจารณา เธอสดใสและมีชีวิตชีวาดุจดอกไม้แรกแย้ม คนมักจะพูดว่ากลางคืนจะไม่ทำให้คนที่อดนอนผิดหวัง มันจะให้รางวัลเป็นรอยคล้ำใต้ตา แต่กฎนี้ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้กับผู้หญิงตรงหน้าเลยสักนิด

คุณยายในครัวพอได้ยินเสียงหลานชายตัวดีก็รีบโผล่หน้าออกมาดู สักครู่ก็เดินออกมาพร้อมกับโจ๊กหนึ่งถ้วย เส้นผมสีดำของเธอแซมด้วยเส้นสีเงิน ดวงตาเฉียบคม เธอเป็นคุณยายประเภทที่ดูแล้วรู้เลยว่าขี้หงุดหงิดเจ้าอารมณ์ขนาดไหน แต่ถึงแม้ว่าผิวหนังที่หย่อนคล้อยและริ้วรอยตื้นๆ จะพรากความงามของเธอไป แต่ก็ยังพอจะมองออกว่าตอนสาวๆ ต้องสวยมากแน่นอน

จางหยวนชิงรับโจ๊กที่คุณยายส่งมาแล้วซดรวดเดียวจนหมด ก่อนจะพูดว่า

"คุณตาล่ะครับ"

ป่านนี้แกน่าจะตื่นแล้ว คุณตาเป็นอดีตตำรวจสืบสวน แม้จะอายุมากแล้วแต่ก็ยังใช้ชีวิตอย่างเป็นระบบ ทุกคืนต้องนอนสี่ทุ่มตื่นหกโมงอยู่เสมอ

“ออกไปเดินเล่นแล้ว” คุณยายตอบ

น้าสาวคนสวยซดโจ๊กพลางหัวเราะอย่างร่าเริงว่า “กินข้าวเช้าเสร็จแล้ว น้าก็จะพาเธอไปเดินห้างซื้อเสื้อผ้าเหมือนกันแหละ”

ห๊า เธอใจดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จางหยวนชิงกำลังจะตอบตกลง แต่คุณยายข้างๆ ก็หันมามองเขาอย่างดุๆ เสียก่อน

“ถ้าแกกล้าพาหลานไปด้วยฉันจะหักขาแกทิ้งเดี๋ยวนี้เลย”

“อ้าว! แม่ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ” น้าสาวพูดด้วยน้ำเสียงกระแนะกระแหน “หนูแค่จะพาหยวนชิงไปซื้อเสื้อผ้าใส่เล่นสักสองสามชุดแค่นั้นเอง แม่ไม่อยากให้หลานชายได้เสื้อผ้าใหม่ๆ ใส่บ้างเหรอ ยังไงก็หลานของแม่นะ~”

คุณยายได้ยินดังนั้น ขีปนาวุธก็จ่อคอหอยเตรียมยิงใส่เธออีกคนทันที “หรือแกอยากให้ฉันหักขาแกด้วยหื้ม...”

น้าสาวเบ้ปากแล้วก้มลงซดโจ๊กต่อทันที

พอจางหยวนชิงได้ยินการต่อสู้ระหว่างแม่ลูก เขาก็รู้ในทันทีว่าคุณยายต้องจัดการให้น้าสาวไปดูตัวอีกแล้วแน่นอน ส่วนน้าสาวก็เจ้าเล่ห์อยากจะพาเขาไปป่วนให้วุ่นวาย

ที่ผ่านมาก็ทำแบบนี้เสมอ พาหลานชายไปดูตัวด้วยตลอด นั่งแป๊บเดียว น้าสาวที่เป็นโรคกลัวสังคม ก็จะทำให้คนที่นัดดูตัวคล้อยตามไปกับเรื่องคุยของหลานชายได้ คนสองคนคุยกันถูกคอมาก คุยกันตั้งแต่เรื่องปากท้องจนถึงสถานการณ์โลก เธอไม่ต้องทำอะไรเลย แค่นั่งฟังคนที่มาดูตัวกับหลานชายพล่ามไปยาวเหยียดสองสามชั่วโมงแค่นั้น

เธอแค่ดื่มน้ำอัดลมแล้วนั่งเล่นมือถือ ส่วนคนที่นัดดูตัวก็จะรู้สึกว่าได้แสดงให้สาวสวยเห็นถึงประสบการณ์ทางสังคมและความรู้ของตัวเองมากพอ จึงรู้สึกมีความสุขและภูมิใจกับตัวเอง

เฮ้อ...

เจียงหยู่เอ๋อน่ารักและฉลาดมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่เพื่อนบ้านต่างก็ชอบชม ทั้งสวยทั้งน่ารัก นิสัยดี อ่อนหวาน เป็นที่โปรดปรานของผู้ใหญ่

ลูกสาวที่สวยขนาดนี้ คนเป็นแม่ต้องหวงแหนเป็นธรรมดา ตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมต้นก็สั่งห้ามไม่ให้มีแฟน ห้ามไปเที่ยวกับเพื่อนผู้ชาย ส่วนยัยลูกสาวก็ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ จนเรียนจบมหาวิทยาลัยก็ยังไม่เคยมีแฟนเลยสักคน แต่พอเข้าสู่สังคมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากอายุ 25 ปี คุณยายก็เริ่มอยู่ใม่สุข จึงคิดจะหาผู้ชายดีๆ ให้หลานสาวสักคน

เธอคงคิดว่า ฉันแค่ห้ามแกมีแฟนเฉพาะตอนเด็กๆ ไม่ได้ห้ามแกมีแฟนยันโตขนาดนี้ซะหน่อย อยากเป็นสาวแก่ขึ้นคานมากนักหรือไง แทนที่จะรีบหาแฟนแต่งงานมีลูก

สุดท้ายจึงเรียกเพื่อนสาววัยทองมารวมตัวกัน หาข้อมูลหนุ่มโสดที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจากทั่วทุกสารทิศ เพื่อจัดการให้นัดดูตัวกับลูกสาว

"โธ่ยาย น้าเขายังไม่อยากมีแฟน เอาแตงโมดิบๆ ไปบังคับให้กินยังไงมันก็ไม่อร่อย" จางหยวนชิงกัดขนมปังไปพลางแนะนำไปพลาง

"ยายไม่หาคู่ดูตัวให้ผมบ้างอ่ะ ผมเป็นแตงโมแซ่บๆ นะ"

คุณยายโกรธควันออกหูทันที "แกยังเด็ก จะรีบหาแฟนทำมะเขืออะไร มหาวิทยาลัยก็มีแต่เพื่อนผู้หญิงเต็มไปหมด ไปหาเองไม่ได้หรือไง ถ้ายังกวนแบบนี้อีกเดี๋ยวฉันจะไล่ตีก้นแกให้บวมเลยคอยดู"

คุณยายเป็นผู้หญิงสูงวัยที่หน้าตาดูเงียบๆ แต่ก็ไม่ได้อ่อนโยนเลยสักนิด อารมณ์รุนแรงมาก แม้แต่แม่ของจางหยวนชิงที่เป็นนักธุรกิจหญิงเก่งๆ ก็ยังไม่กล้าเถียงคุณยายเลยด้วยซ้ำ

ผมโตแล้วไหม ทำงานมาตั้งไม่รู้กี่อย่างแล้ว.......จางหยวนชิงบ่นในใจ

เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว ภายใต้การบังคับอย่างแข็งกร้าวของคุณยาย น้าสาวจึงต้องจำใจกลับเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้า และออกไปดูตัวจนได้

น้าสาวแต่งหน้าบางๆ ทำให้เธอดูสดใสและน่ารักยิ่งขึ้น เสื้อถักคอกลมตัวใหญ่กับเสื้อโค้ทยาว กางเกงยีนส์ทรงเข้ารูปสีอ่อนโอบรอบขาเรียวๆ ที่กลมกลึงได้สัดส่วน ปลายกางเกงเข้ารูปสอดเข้าไปในรองเท้าบู๊ตมาร์ตินสีดำ การแต่งตัวสไตล์มินิมอลแบบเดินป่า ไม่ฉูดฉาด ไม่หรูหรา แต่ก็ดูดีมาก

น้าสาวส่งสายตาให้หลานชายอย่างรู้ทันกัน แล้วหยิบกระเป๋าถือ ก่อนจะบิดเอวเล็กๆ เดินออกไป

"แม่ หนูออกไปดูตัวแล้วนะ!"

จางหยวนชิงกลับเข้าห้อง เปลี่ยนเสื้อยืดสีดำ เสื้อแจ็คเก็ตกันลม และรองเท้าผ้าใบสำหรับวิ่งโดยเฉพาะ

ผ่านไปไม่กี่นาทีก็เปิดประตูห้องนอน

คุณยายที่กำลังทำความสะอาดห้องนั่งเล่นอยู่พอดี เมื่อเห็นเขาออกมา ก็หยุดทำงานแล้วมองเขาเงียบๆ

จางหยวนชิงเลียนแบบน้ำเสียงของน้าสาว

"ยาย ผมก็จะออกไปดูตัวเหมือนกันนะครับ~"

"อะไร! กลับมาเดี๋ยวนี้นะหยวนชิง!" คุณยายชูไม้กวาดขึ้นมาขู่ "ถ้าแกกล้าก้าวออกไปจากประตูบ้านนี้เมื่อไหร่ กลับมาฉันจะหักขาแกให้ขาดสองท่อนเลย!"

"อะ..โอเคครับ" จางหยวนชิงกลับเข้าห้องนอนอย่างว่าง่าย

เขานั่งลงที่โต๊ะทำงานแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหาน้าสาวทันที

"ผมยังไม่ทันได้ออกศึกก็ตายซะแล้วน้า...ขอโทษทีนะครับ ช่วยไม่ได้แล้วแหละ"

“พูดให้รู้เรื่องก่อนดิ๊!”

น้าสาวน่าจะกำลังขับรถ คำตอบจึงสั้นๆ ง่ายๆ

“ก็ผมถูกยายกักบริเวณอยู่ในบ้าน ออกไปไม่ได้หรอก น้าไปดูตัวของน้าเองเถอะ”

จากนั้นน้าสาวก็ส่งข้อความเสียงมา จางหยวนชิงกดเปิด ลำโพงดังก้อง เสียงเจียงหยู่เอ๋อก็พูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวเต็มกำลัง “นี่ฉันช่วยเลี้ยงแกมาเพื่ออะไรเนี่ยไอ้เด็กบ้า!!”

น้าสาวกดยกเลิกข้อความเสียงหนึ่งออก แล้วส่งข้อความเสียงอันใหม่มาอีกหนึ่งข้อความ คราวนี้เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นออดอ้อนและทำเสียงน่ารัก

“หลานชายสุดที่รักจ๊ะ รีบมาเร็วๆ เถอะ น้าสาวรักเธอที่สุดเลย จุ๊บ~”

ผู้หญิงนี่นะ!

แค่ทำเสียงออดอ้อนและทำตัวน่ารักก็คิดว่าเขาจะอยากเอาตัวไปขัดคำสั่งคุณยายเหรอ ไม่มีทาง! อย่างน้อยก็ต้องส่งซองแดงแถมมาให้ด้วย ถึงค่อยน่าพิจารณาอีกรอบหน่อย

ทันใดนั้นก็มีเสียงกริ่งดังขึ้น จางหยวนชิงเดินไปที่ห้องนั่งเล่นแล้วกดปุ่มรับโทรศัพท์ต่อหน้าคุณยาย

“ใครครับ”

“พัสดุมาส่งครับ”

เสียงดังออกมาจากลำโพง

จางหยวนชิงกดปุ่มเปิดประตู จากนั้นพนักงานส่งของในชุดยูนิฟอร์มก็เปิดประตูพร้อมกับอุ้มกล่องพัสดุไว้ในอ้อมแขน

“คุณจางหยวนชิงใช่ไหมครับ”

“ใช่ครับ”

ผมไม่เคยสั่งซื้อของในวีแชทนะ.....เขาเซ็นรับด้วยความสับสน แล้วมองจ่าหน้าพัสดุที่หน้ากล่อง พัสดุไม่ได้ระบุชื่อผู้ส่ง แต่ที่อยู่คือส่งมาจากเมืองหางโจว มณฑลเจียงหนาน

เขาเดินกลับเข้าห้องนอนตัวเอง หยิบมีดคัตเตอร์จากลิ้นชักโต๊ะทำงาน แล้วกรีดเปิดกล่องพัสดุออกมาดู

ข้างในมีแผ่นโฟมกันกระแทกห่อหุ้มการ์ดสีดำใบหนึ่งและจดหมายสีเหลืองอีกแผ่นหนึ่ง

จางหยวนชิงหยิบการ์ดสีดำขนาดเท่าๆ บัตรประชาชนขึ้นมา วัสดุเหมือนเป็นโลหะ แต่สัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลมาก การ์ดทำมาอย่างประณีต ขอบเป็นลายเมฆสีเงินอ่อนๆ ตรงกลางเป็นพระจันทร์สีดำดวงหนึ่ง

ที่ลายพระจันทร์สีดำดวงนั้นก็พิมพ์อย่างประณีตเช่นกัน พื้นผิวมีจุดด่างดำที่ไม่สม่ำเสมอชัดเจนสมจริงมาก

สิ่งนี้คืออะไร ด้วยความสงสัย เขาจึงเปิดซองจดหมายและกางเนื้อความข้างในออก

‘หยวนชิง ฉันไปได้สิ่งที่น่าสนใจมากมาอย่างหนึ่ง ตอนที่ฉันได้มาช่วงแรกๆ ก็เคยคิดว่ามันจะเปลี่ยนชีวิตตัวเองได้ แต่พอเอาเข้าจริง มันยากเกินความสามารถของฉันไปว่ะ แต่คิดว่าถ้าเป็นนายคงใช้มันได้แน่นอน’

“ของขวัญนี้ ฉันมอบให้นายนะเพื่อนรัก”

“ห๊า!! อี้ปิงเหรอเนี่ย!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด