บทที่ 75: การขยายตัว (4)
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[ลงแบบราคาถูกแค่ใน my-novel แต่จะลงช้ากว่าThai-novel 100 ตอน]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
บทที่ 75: การขยายตัว (4)
เป็นไปตามที่เขาคิดไว้ มัดกระดาษนั้นคือบทภาพยนตร์ที่เสร็จสมบูรณ์ของผู้กำกับเคียวทาโร่ ทาโนะงูจิ ด้วยสิ่งนี้ ตอนนี้วูจินจึงมีบทภาพยนตร์ชิ้นเอกสองชิ้น หนึ่งจากผู้กำกับควอนกีแท็ก และอีกหนึ่งจากผู้กำกับเคียวทาโร่ ทั้งสองล้วนเป็นอันดับหนึ่งในประเทศและอันดับหนึ่งของต่างประเทศ
'โอ้ ผู้กำกับชาวญี่ปุ่นคนนั้นส่งบทของเขามาให้จริงๆ เหรอ?'
การพบกันครั้งล่าสุดของวูจินกับผู้กำกับเคียวทาโร่คือที่บริษัท ที่นั่น ผู้กำกับเคียวทาโร่พูดอย่างคลุมเครือ แต่ดูเหมือนเขาคงต้องการให้วูจินเข้าร่วมงานในญี่ปุ่นกับเขาล่ะมั้ง
'เขาพูดว่าอะไรนะ? อืม เหมือนเป็นโปรเจคต์ที่จะดัดแปลงและสร้างจากผลงานของนักเขียนนวนิยายชาวญี่ปุ่นชื่อดังสินะ?'
นั่นเป็นเรื่องเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน พูดตามตรง วูจินคิดว่าเรื่องนี้จะล้มเหลวเสียอีกเพราะพวกเขาไม่ได้พูดกันอย่างเป็นทางการ แถมอีกอย่างนะ ที่นี่คือวงการบันเทิง ผลประโยชน์ต่างยุ่งวุ่นวายซับซ้อนกันไปมา วูจินจึงคิดว่าผู้กำกับอาจจะเปลี่ยนใจเรื่องเขาหลังจากกลับไปญี่ปุ่น
แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น
บทภาพยนตร์จากปรมาจารย์ชาวญี่ปุ่นมาถึงมือเขาแล้วจริงๆ ถ้าข่าวนี้ไปถึงสื่อเกาหลี พวกเขาคงแทบคลั่ง แต่ตอนนี้มันเป็นความลับ วูจินที่ตื่นเต้นจึงเบนสายตาจากซีอีโอชเวซองกุนไปยังบทภาพยนตร์
ชื่อเรื่องและชื่อผู้กำกับเขียนอยู่บนหน้าปกบท แน่นอนว่าเป็นภาษาญี่ปุ่น
– 'การสังเวยอันน่าสะพรึงกลัวของคนแปลกหน้า'
– ผู้กำกับ/ เคียวทาโร่ ทาโนะงูจิ
หลังจากยืนยันชื่อเรื่องแล้ว วูจินก็พึมพำกับตัวเอง
" 'การสังเวยอันน่าสะพรึงกลัวของคนแปลกหน้า' เหรอ? ฟังดูแปลก ๆ แต่ผมรู้สึกเหมือนเคยได้ยินที่ไหนสักแห่ง"
ชื่อเรื่องไม่ค่อยคุ้นเคย อาจเป็นเพราะมันสร้างจากนวนิยายชื่อดังเหรอ? วูจินรู้สึกเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่เขาไม่ค่อยคุ้นเคยกับหนังสือญี่ปุ่นนัก
'หรือเป็นแค่จินตนาการของฉันหรือเปล่า?'
ในขณะนั้น ชเวซองกุนก็แตะไหล่วูจิน
"อีเมลบอกว่าให้ประชุมกันหลังจากที่นายอ่านบทเสร็จแล้ว นั่นหมายความว่าผู้กำกับเคียวทาโร่จะกลับมาที่เกาหลี เพียงแค่ดูมันคร่าว ๆ ฉันก็บอกได้เลยแหละว่าโปรเจ็กต์นี้ยิ่งใหญ่แน่นอน"
"ผู้กำกับจะกลับมาเกาหลีเหรอครับ?"
"ใช่ ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะเปลี่ยนใจทีหลังหรือเปล่า แต่ดูท่าคงเพราะนายแหละนะ เสียอย่างเดียวคือไม่รู้ว่าเขาจะมาถึงเมื่อไหร่เนี่สิ"
จริงเหรอ? เพราะฉัน? เอาจริงดิ? ชเวซองกุนยิ้มและพูดกับวูจินที่ตอนนี้กำลังดูประหลาดใจมาก
"ฉันรู้สึกได้เลยว่าตอนที่ผู้กำกับเคียวทาโร่มาเยี่ยมบริษัทครั้งก่อน เขาสนใจนายจริง ๆ แต่ดูเหมือนว่านอกจากที่เขาเลือกนายแล้ว มันอาจมีเป้าหมายอื่นนอกการคัดเลือกตัวนักแสดงด้วยนะ"
ชเวซองกุนส่งสัญญาณให้วูจินขึ้นรถ โดยเขาเองก็แทบจะเก็บความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ วูจินพยายามทำหน้าเฉยเมย ปีนขึ้นไปบนรถตู้ จางซูฮวานและฮันเยจองไม่อยู่ที่นั่น ชเวซองกุนซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะคนขับก็อธิบายสาเหตุ
"พวกเขาจะมาเข้าร่วมกับเราประมาณช่วงกลางวันนี้ พวกเขามีธุระน่ะ ดังนั้นฉันจึงบอกให้พวกเขาพักผ่อนหน่อยแล้วค่อยมา"
"อ๋อ โอเคครับ"
วูจินพยักหน้า และชเวซองกุนก็สตาร์ทรถอย่างช้าๆ ขณะที่เขาหมุนพวงมาลัย เขาเหลือบมองวูจินในกระจกมองหลังเป็นครั้งคราว
'ฉันหวังว่าหลังจากเขาอ่านบท เขาจะตัดสินใจรับงานนี้นะ ถ้าสัญชาตญาณในตัวเขาทำงานอีกครั้ง มันคงดีไม่ใช่น้อย'
เขาหัวเราะคิกคักเบาๆ
'ถ้าวูจินตัดสินใจเข้าร่วมโปรเจ็กต์ของผู้กำกับเคียวทาโร่ มันคงจะสั่นสะเทือนทั้งเกาหลีจริงๆ แน่'
ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน วูจินก็ได้เข้าร่วมทีมของผู้กำกับควอนกีแท็ก ถ้าเกิดเขาได้เข้าร่วมผลงานชิ้นเอกจากญี่ปุ่น สื่อต่างๆ คงจะติดตามเขาไปทั่ว
นี่อาจจะเป็นครั้งแรกของวงการเป็นแน่แท้
ไม่มีมือใหม่คนไหนเคยเข้าร่วมผลงานใหญ่แบบนี้มาก่อน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ วูจินกำลังสร้างประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยมีมาก่อน
'แค่คิดก็ขนลุกแล้ว'
วูจินซึ่งกำลังดูบทด้วยสีหน้าเฉยเมย ได้พลิกไปสองสามหน้าแล้ว ซึ่งตัวบททั้งหมดเป็นภาษาญี่ปุ่น พวกเขาส่งมันมาเป็นภาษาต้นฉบับ เพราะคิดว่าเขารู้ภาษาญี่ปุ่นหรือเปล่า?
แต่มันก็สมเหตุสมผลดี
การแปลบทอาจทำให้เบี่ยงเบนไปจากเจตนาของผู้กำกับ แม้ว่าการแปลจะใกล้เคียง แต่คงเป็นการดีกว่าหากส่งภาษาต้นฉบับมาให้กับวูจินผู้รู้ภาษาญี่ปุ่นแล้ว
ในไม่ช้า…
– ฟิ้ว
วูจินยกนิ้วชี้ขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ทำไมงั้นเหรอ? เพื่อเข้าสู่มิติว่างเปล่าไงเล่า วูจินกดสี่เหลี่ยมสีดำที่แนบมากับบททันที
ในทันใดนั้นเอง เขาก็มาถึงมิติว่างเปล่าที่มืดมิดไร้ขอบเขต
สถานที่ที่คุ้นเคยเหมือนบ้าน วูจินเหยียดตัวสั้นๆ แล้วขยับตัวไปมา จำนวนสี่เหลี่ยมสีขาวเพิ่มขึ้นเป็นเจ็ด
ในหมู่พวกมัน…
"อืม-"
มีรายชื่อล่าสุดของบทผู้กำกับเคียวทาโร่ชื่อ 'การสังเวยอันน่าสะพรึงกลัวของคนแปลกหน้า' สิ่งที่น่าขบขันก็คือ ทันทีที่วูจินเห็นสี่เหลี่ยมสีขาวของ 'การสังเวยอันน่าสะพรึงกลัวของคนแปลกหน้า' เขาก็ประหลาดใจอย่างมาก
"ว้าว- เชี่ย"
เหตุผลก็ง่ายมาก
-[7/บทละคร (ชื่อเรื่อง: การสังเวยอันน่าสะพรึงกลัวของคนแปลกหน้า), ระดับ A]
-[*เป็นบทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์มาก สามารถอ่านได้ 100%]
'การสังเวยอันน่าสะพรึงกลัวของคนแปลกหน้า' เป็นหนังระดับ A ตั้งแต่แรกเลย ซึ่งมันเป็นอะไรที่หาได้ยากมากกับการที่หนังเริ่มต้นด้วยระดับแบบนี้ วูจินยิ้มด้วยความประหลาดใจ ในใจเต็มไปด้วยความคาดหวัง
"ฉันต้องแสดงเรื่องนี้ให้ได้"
จากนั้นเขาก็ตะโกนขึ้นมาทันทีว่า "ออกไป!" ก่อนที่เขาจะรู้ตัว วูจินก็กลับไปที่รถตู้ที่กำลังเคลื่อนที่และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันที เขาเริ่มค้นหา 'การสังเวยอันน่าสะพรึงกลัวของคนแปลกหน้า' ซึ่งเป็นชื่อของหนังสือนวนิยายที่ใช้เป็นต้นฉบับของละครเรื่องนี้
ผลลัพธ์มาไวมาก
'มีหนังสือชื่อเดียวกัน'
ดูเหมือนว่าจะมีนิยายญี่ปุ่นชื่อ 'การสังเวยอันน่าสะพรึงกลัวของคนแปลกหน้า' มันเป็นหนังสือขายดีด้วยซ้ำ แถมยังมีรีวิวมากมายในเกาหลี บ่งบอกได้ถึงความนิยมเลย วูจินแตะที่หน้าจอเพื่อตรวจสอบรายละเอียดของหนังสือ ในไม่ช้าชื่อของนักเขียนก็ปรากฏขึ้น
'ทาคิกาว่า อาคาริ? โอ้! ฉันรู้จักเธอ! ฉันคิดว่าเคยได้ยินชื่อของเธอ เธอมีชื่อเสียงทั้งในญี่ปุ่นและเกาหลีเลยใช่ไหมนะ?'
ผลงานชิ้นเอกของผู้กำกับญี่ปุ่นระดับปรมาจารย์ สร้างจากนิยายชื่อดังของนักเขียนนวนิยาย และมีระดับ A มันช่างเป็นเรื่องน่าประทับใจจริงๆ เพียงแค่ดูองค์ประกอบหลักก็ดูดีที่สุดแล้ว
ซึ่งในขณะนั้น ชเวซองกุนเบรกที่สัญญาณไฟแดงพร้อมกับหันศีรษะมา
"เป็นไงบ้าง? หลังจากอ่านคร่าวๆ คิดว่าเหมาะไหมกับการไปแสดงที่ญี่ปุ่น?"
วูจินกล่าวตอบไปด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
"ก็ไม่เลวครับ"
ในเวลาเดียวกัน
ในขณะที่คังวูจินกำลังเดินทาง ด้วยเหตุผลบางอย่าง จำนวนบุคคลที่ติดเชื้อความเข้าใจผิดเริ่มค่อยๆ เพิ่มขึ้นในสถานที่ต่างๆ มันแพร่กระจายมากขึ้นทั้งที่แพร่กระจายขจรไปไกลลิบ
ที่มาคือทีม 'ผู้เชี่ยวชาญนิติจิตวิทยาเสเพล'
มันเป็นฝีมือของทีมงานหรือทีมนักแสดงหลายสิบคน แน่นอนว่าไม่ใช่ทีม 'ผู้เชี่ยวชาญนิติจิตวิทยาเสเพล' โดยตรง แต่เป็นคนอื่นต่างหากที่ทำให้เรื่องนี้แพร่กระจายไป
"เฮ้ นายรู้จักคังวูจินใช่ไหม? เขาเป็นยังไงบ้างระหว่างถ่ายทำนิติจิตวิทยาเสเพล? แบบว่าบุคลิกของเขาน่ะ?"
"หา? โอ้ ก็...? เดี๋ยวก่อนนะ วูจินเข้าร่วมกองถ่าย 'พ่อค้ายาเสพติด' ของนายในฐานะตัวเอกใช่ไหม?"
"ใช่ เขาจะเข้าร่วมถ่ายทำในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ฉันเลยแค่สงสัยว่าเขาเป็นคนแบบไหน"
"ฮ่าๆ ฉันคุยกับเขาแค่ไม่กี่คำตอนตั้งไฟเอง แต่เขาดูเป็นคนดีนะ โอ้ แล้วเขาพูดภาษาอังกฤษได้ดีจนไม่น่าเชื่อเลย ฉันได้ยินมาว่าเขาอาศัยอยู่ในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษด้วยแหละ"
"หา?"
ผู้ที่สอบถามเกี่ยวกับคังวูจินล้วนมาจากฝ่ายผลิตที่กำลังจะร่วมงานกับเขา ในหมู่พวกเขาก็มีหลายคนมาจากฝ่ายผลิต 'พ่อค้ายาเสพติด' ที่กำลังจะถ่ายทำในเร็วๆ นี้
"พูดถึงคังวูจิน วิธีการแสดงของเขามันเป็นเอกลักษณ์มากเลย เวลาอยู่ในกองถ่ายเขาเป็นยังไงเหรอ?"
"อืม พอดูเขาแสดงแล้ว มันก็ทำให้รู้สึกสับสนมากเลยแหละ เพราะสำหรับทุกคน เขาดูเหมือนเป็นน้องใหม่ที่เพิ่งเดบิวต์เมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่สำหรับฉัน เขาดูเหมือนคนที่อยู่ในวงการแสดงมาอย่างน้อยหนึ่งทศวรรษ ไม่สิ บางทีเขาคงมีประสบการณ์มาจากที่ไหนสักแห่ง"
"เขาเป็นคนลึกลับขนาดนั้นเลยเหรอ? มากจนกระทั่งนายก็ตัดสินไม่ได้เนี่ยนะ?"
"แปลกใช่ไหมล่ะ? เขาเหมือนวิญญาณ สามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อนายดูเขาอยู่ ก็จะสับสนว่าตอนนี้เขากำลังเป็นนักแสดงหรือตัวละครกันแน่"
"ว้าว"
"แต่เขาบอกว่าเขาเรียนการแสดงด้วยตัวเอง เขาพูดเองระหว่างการอ่านบทเลย"
"อะไรนะ? หมายความว่ายังไง?"
นักแสดงรุ่นเก่าที่เป็นเพื่อนสนิท หรือคนที่เจอกันในงานสังสรรค์ นักแสดงจากบริษัทเดียวกัน และทีมงานฝ่ายผลิต ถึงบางคนจะไม่ได้รู้จักและไม่ได้ทำงานร่วมกัน แต่คำพูดของพวกเขาก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่ว
ทั้งหมดเกิดขึ้นจากความกังวลและอยากรู้อยากเห็น
สถานการณ์ของ 'พ่อค้ายาเสพติด' ตอนนี้เลวร้ายมาก แถมข้อมูลของคังวูจินนั้นหายากพอสมควร ถ้าเขาได้รับเลือกแสดงตั้งแต่แรก พวกเขาคงจะพอรู้จักคังวูจินมากกว่านี้ แต่เพราะเขาถูกเพิ่มเข้ามาอย่างกะทันหัน พวกเขาจึงต้องการหาข้อมูลทุกอย่างเท่าที่พวกเขาจะหาได้
"คังวูจิน? ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยแฮะ แต่เรื่องพลังกายของเขาน่ะน่าทึ่งมาก ทุกคนเหนื่อยล้าสายตัวแทบขาดตั้งแต่ช่วงกลางจนถึงช่วงท้ายของการถ่ายทำ แต่เขาเป็นคนเดียวที่ปกติเลย ตั้งแต่เช้ามืดจรดค่ำ ตารางงานแน่นมาก แต่การแสดงของเขาไม่สะดุด เขาน่ะเหมือนเป็นปีศาจจริงๆ นะ แบบเป็นปีศาจตัวจริงเสียงจริงไปเลย"
"เขาเป็นหน้าใหม่จริงใช่ไหม? ตอนนั้นไม่มีใครรู้จักเขาเลยนิ"
"ไว้ดูด้วยตาตัวนายเองเถอะ ตอนแรกฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ยิ่งฉันเห็น ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาเหมือนเป็นนักแสดงมืออาชีพมากกว่า"
ด้วยเหตุนี้ จำนวนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ ‘พ่อค้ายาเสพติด’ เริ่มติดเชื้อความเข้าใจผิดเรื่องของคังวูจินเพิ่มมากขึ้น
"เขาอาจจะดูเย็นชาไปหน่อย แต่สายตาเขาเฉียบแหลมมากเลยนะ แบบถ้าเป็นหน้าใหม่คนอื่นคงแบบ ทางไหนครับ? อ๋อ! กล้องทางนี้เหรอครับ? เขาเหมือนจะดูแปลก ๆ หน่อยนะ แต่ดูใจดี เป็นคนแบบไม่ค่อยพูด อีกอย่างคือ เหมือนแบบต่อให้เขาไม่มอง เขาก็เห็นทุกอย่าง"
"ทั้งที่เป็นหน้าใหม่ตอนถ่ายทำนิติจิตวิทยาเสเพลเลย แต่เขาผ่อนคลายได้ขนาดนั้นเชียว?"
"ไม่นะ...มันเกินกว่าจะเรียกว่าผ่อนคลายเสียตัว เขาไม่ทำตัวเหมือนมือใหม่เลย แต่เขากลับเป็นคนที่ทำตัวสบายสุดในกองถ่าย ทำเหมือนอยู่บ้าน บางทีอาจเป็นเพราะเขาได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมต่างชาติล่ะมั้ง เขาเลยดูแตกต่างจากนักแสดงคนอื่น"
"วัฒนธรรมต่างชาติ?"
ข้อสันนิษฐานที่ไม่มีมูลความจริงนี้กำลังแพร่สะพัดไปทั่ว
สองวันต่อมา ในช่วงบ่ายของวันที่ 8 ภายในรถตู้ของคังวูจิน
ประมาณ 6 โมงเย็น รถตู้สีดำกำลังแล่นอยู่บนทางหลวง ภายในรถตู้มีคังวูจินและทีมงานทั้งหมดของเขา จางซูฮวานจดจ่ออยู่กับการขับรถ ขณะที่ชเวซองกุนคุยโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา และฮันเยจองกำลังดูสมุดประสานงานของวูจินอย่างตั้งใจ
อีกด้านหนึ่ง คังวูจินพับแขนเสื้อเชิ้ตที่มีลายตารางหมากรุกขึ้น กำลัง...
"......"
– ฟึบ
กำลังอ่านบท หน้าตาเคร่งเครียดมาก อาจเป็นเพราะบุคลิกที่เขาจงใจวางท่าด้วยล่ะมั้ง มันเลยทำให้ดูสมจริงมากขึ้นไปอีก
ส่วนสิ่งที่เขากำลังดูคือบทภาพยนตร์เรื่อง 'พ่อค้ายาเสพติด'
เหตุผลนั้นง่ายมาก ในตอนนี้ คังวูจินกำลังเดินทางไปยังสถานที่ถ่ายทำ 'พ่อค้ายาเสพติด' ในซุนชอน เริ่มตั้งแต่วันนี้ คังวูจินกำลังเริ่มถ่ายทำ 'พ่อค้ายาเสพติด' อย่างเป็นทางการ ตารางงานกำหนดไว้ประมาณ 2 สัปดาห์ แต่อาจจะสั้นกว่าหรือยาวกว่านั้นก็ได้
ซึ่งไม่ว่ามันจะเป็นยังไง..
– ฟึบ
คังวูจินอ่านบทต่อไป มันให้ความรู้สึกเหมือนการอ่านทบทวนมากกว่า เขาอ่านมันหลายครั้งแล้ว แถมเขายังอ่านบทบาทที่มีปฏิสัมพันธ์กับตัวละครของวูจิน 'อีซังมัน' หมดแล้วด้วย ในใจของคังวูจิน โลกของ 'พ่อค้ายาเสพติด' คล้ายผุดขึ้นในใจเขา เขาอาจจะสามารถพรรณนามันได้มีชีวิตชีวามากกว่าผู้เขียนบท และผู้กำกับคิมโดฮีเสียอีก
มันเหมือนกับว่าเขาเป็นเจ้าของเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ตัวละคร 'อีซังมัน' แต่เป็นทุกอย่างในเรื่อง 'พ่อค้ายาเสพติด'
ฉากหลังของภาพยนตร์ 'พ่อค้ายาเสพติด' คือปูซานในปี 1999 หลังจากเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงิน เกาหลีใต้ต้องเผชิญกับวิกฤต แต่ในทางกลับกัน จำนวนอาชญากรค้ายาเสพติดเพิ่มขึ้น จำนวนคนที่มองหายาเสพติดก็พุ่งสูงขึ้นเช่นกัน
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ตลาดยาเสพติดกำลังเฟื่องฟู
มันเหมือนเป็นโอกาสท่ามกลางวิกฤต ทว่า ต่างประเทศก็เข้ามาในตลาดนี้ด้วย รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น และทุกประเทศ ที่ไหนมีความต้องการ อุปทานก็เพิ่มขึ้น ยาเสพติดที่ผลิตจากที่ต่างๆ ทั่วโลกจึงกำลังหลั่งไหลเข้ามาในประเทศ
กรมตำรวจปูซานจนปัญญา
ยาเสพติดทวีคูณอย่างไม่สิ้นสุด และอาชญากรค้ายาเสพติดก็เพิ่มขึ้นเหมือนปรสิต ทางตำรวจเองก็เลวร้ายไม่แพ้กัน เพราะพวกเขาเข้าไปอยู่ในเงามืด หากพวกเขาพลาด ปัญหาจะใหญ่เกินกว่าจะรับมือก็จะถาโถมเข้ามาใส่ ยิ่งไปกว่านั้น การทุจริตยังแพร่หลายภายในกรมตำรวจ
บางคนถึงกับจับมือกับแก๊งค้ายาด้วยซ้ำไป
จนในท้ายที่สุด นายตำรวจระดับสูงหลายคนก็มารวมตัวกันและตัดสินใจ พวกเขาตัดสินใจที่จะปลอมตัว พวกเขาตัดสินใจที่จะแทรกซึมเข้าไปในตลาดยาเสพติดด้วยการส่งตำรวจนอกเครื่องแบบไป ทว่า มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เกี่ยวกับปฏิบัติการนี้ สาเหตุที่ไม่บอกทั้งหมดในกรมตำรวจ เพราะมันมีการทุจริตภายในกรมตำรวจอยู่
จากตรงนั้นเอง ตัวละคร 'จองซองฮุน' จึงกลายเป็นตัวละครที่เป็นทั้งผู้ค้ายาและนักสืบ
เขาเป็นนักสืบที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอันธพาลอยู่แล้ว เขาจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่ทางจองซองฮุนก็ได้แต่เอียงศีรษะด้วยความสับสน ทำไมต้องเป็นเขา? ทำไมเขาต้องเข้าไปยุ่งกับงานที่น่ารำคาญเช่นนี้?
แต่ก็เพราะเรื่องพฤติกรรมในอดีตของเขา และสัญญาจากนายตำรวจระดับสูง ที่บอกว่าเขาจะได้รับรางวัลเมื่อสำเร็จปฏิบัติการนี้ จองซองฮุนจึงตกลงที่จะรับหน้าที่นี้ เริ่มต้นด้วยการ…ถูกจำคุกในคุก
เป้าหมายของเขาคือเอาชนะใจเจ้าพ่อค้ายา 'ชเวจุนโฮ' ที่อยู่ในคุกนั้น
การเป็นสมาชิกแก๊งค้ายาเสพติดของชเวจุนโฮคือจุดสำคัญ แต่การจะทำเช่นนั้นได้ เขาจำเป็นต้องใช้อุปนิสัยอันธพาลที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาและความร่วมมือจากกรมตำรวจ ถึงกระนั้น จองซองฮุนเกือบจะไม่สามารถเข้าร่วมแก๊งของชเวจุนโฮได้ด้วยซ้ำ ต่อมา ด้วยการสนับสนุนของเจ้าพ่อค้ายา จองซองฮุนจึงได้รับการปล่อยตัวและเริ่มปฏิบัติการค้ายาเสพติดในปูซาน ในขณะเดียวกัน เขาก็แอบให้ข้อมูลเกี่ยวกับอาชญากรค้ายาแก่ตำรวจ
ณ จุดนี้ เขาได้พบกับ 'คิมฮยอนซู' หรือที่รู้จักกันในชื่อ 'ศาสตราจารย์คิม'
ศาสตราจารย์คิมเป็นผู้ผลิตยาเสพติด จองซองฮุนร่วมกับเขา จนตัวจองซองฮุนเติบโตเป็นผู้จัดจำหน่ายยาเสพติดรายใหญ่ที่สุดในปูซาน จากตรงนี้ ความขัดแย้งกับตำรวจเริ่มเกิดขึ้น เมื่อคนได้รับเงินในมือมา คนย่อมเปลี่ยนไป พอได้รับเงินจำนวนมหาศาล ตัวจองซองฮุนผู้ทะเยอทะยานก็เริ่มจับตามองตลาดญี่ปุ่น
แต่ทำยังไง? เขาจะขยายไปญี่ปุ่นได้ยังไง?
นี่คือจุดที่ 'อีซังมัน' ที่รับบทโดยคังวูจินเข้ามามีบทบาท เขาเป็นหัวหน้าแก๊งอันธพาลที่ใหญ่ที่สุดในปูซาน 'แก๊งซังมัน' เนื่องจากมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับยากูซ่าญี่ปุ่น จองซองฮุนจึงทำข้อตกลงกับอีซังมันและสามารถขยายไปยังญี่ปุ่นได้สำเร็จ
ดังนั้น 'พ่อค้ายาเสพติด' จึงเป็นหนังระทึกขวัญอาชญากรรม ที่อัดแน่นไปด้วยเรื่องราวมากมาย
จังหวะหนังรวดเร็ว มีการทรยศ ต่อสู้ เลือดสาด และอีกมากมาย ซึ่งตัวบทบาทของ 'อีซังมัน' ที่วูจินจะแสดง มันจะกลายเป็นบันไดสู่ฉากหลังของญี่ปุ่น เป็นบทบาทสำคัญที่ยกระดับความตึงเครียดและความคาดหวังในช่วงต้นกับกลางของพล็อตเรื่อง
ซึ่งมันคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะคังวูจินเตรียมตัวไปครึ่งทางแล้ว
'เฮ้อ- การถ่ายทำภาพยนตร์เป็นอะไรที่น่ากังวลมากเลยแฮะ ครั้งล่าสุดที่ฉันแสดงในหนัง มันก็เรื่อง 'สำนักงานนักสืบ' กับนักแสดงที่ไม่รู้จัก แค่นี้ก็น่ากังวลมากแล้วไม่ใช่เหรอ? แต่ดูจากรายชื่อที่พวกเขาส่งมาเนี่ยสิ มีนักแสดงระดับท็อปหลายคนเข้าร่วมด้วย…'
ถึงกระนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น ไม่สิ แทบทุกการถ่ายทำ เขาก็รู้สึกตื่นเต้นมาตลอดเลยไม่ใช่เหรอ? วงการบันเทิงแห่งนี้ ไม่ว่าจะถ่ายทำไปสักเท่าไร มันก็รู้สึกกว้างใหญ่และไม่คุ้นเคยเลยสักนิด
'เฮ้อ-'
คังวูจินหายใจเข้าลึก ๆ อยู่คนเดียว ตั้งปณิธานกับตัวเองว่าเขาจะต้องนิ่งเข้าไว้ ทำตัวให้เย็นชา ยิ่งในกองถ่ายต้องห้ามพลาดเด็ดขาด
'พูดให้น้อยที่สุด จะได้ไม่งุ่มง่ามต่อหน้านักแสดงที่ไม่รู้จัก เดี๋ยวมันอาจมีคนที่รู้จักฉันโผล่มาเหมือนตอนประชุมโฆษณาก็ได้'
ขณะตั้งใจที่จะพยายามขับความเย็นชาออกมาให้มากที่สุด ชเวซองกุนก็พูดกับวูจิน
รอยยิ้มบางๆ พลันผุดบนใบหน้าของเขา
"วูจิน อีก 10 นาทีก็ถึง เตรียมตัวให้พร้อมนะ"