ตอนที่ 528 มันต้องมีอะไรสักอย่าง (ฟรี)
(ตอนเดียวครับวันนี้ สายเน็ตที่บ้านขาดช่างพึ่งมาต่อให้ตอน 4 โมง แปลไม่ทันครับขออภัยด้วย)
งั้มๆ
ที่ชั้น 5 ของเนินสูงซูจีกำลังนั่งกินซุปเนื้ออย่างเอร็ดอร่อย (ขอเปลี่ยนจากเซวจีเป็นซูจีแทนนะครับ)
วันนี้เป็นวันหยุดของเธอ ทำให้ไม่ต้องออกไปสอนการแสดงที่ในเมือง
“มีมื้อเช้าให้กินแบบไม่คิดเงินแบบนี้ เจ้าเมืองนี้ใจดีจริงๆ”
ซูจีเคี้ยวแก้มตุ้ยพร้อมกับเอ่ยปากชม
เธอตื่นตั้งแต่เช้าตรู่หลังจากที่อาบน้ำล้างหน้าเธอก็มากินข้าวที่โรงอาหาร
“กินแค่นี้ดีกว่า เดี๋ยวเราไปซื้อกินเพิ่มที่ถนนการค้า ได้ยินมาว่ามีหลายร้านเปิดใหม่”
ซูจีดูดนิ้วและเช็ดมือก่อนที่จะคิดแผนของวันนี้ว่าจะไปทำอะไรบ้าง
แล้วเธอก็ลุกขึ้นโดยที่ไม่สนใจอะไร และตั้งใจจะไปถนนการค้า
และระหว่างที่เดินออกไปอยู่เธอก็หยุดเท้าลงและพูดขึ้น
“ไปเดินเล่นในเขตเมืองชั้นในก่อนดีกว่า แล้วค่อยไปกินมื้อเที่ยงที่ถนนการค้า”
ตั้งแต่ซูจีเข้าเมืองเต่าทมิฬมาเธอไม่เคยไปเที่ยวชมเขตเมืองชั้นในเลย ทุกๆ วันเธอจะไปกลับแค่โรงฝึกซ้อมละครเท่านั้น
ทำให้เธอกลับไปห้องพักของเธอและขี่จักรยานคันใหม่ของเธอออกไป
ซูจีขี่ไปตามทางที่ดูหรูหราของเนินสูง และไม่นานก็ออกจากเนินสูงไป
ซูจีขี่จักรยานเล่นไปในเขตเมืองและเที่ยวชมดูหลายอย่าง
“หนังสือพิมพ์!!!”
ซูจีหยุดตรงหน้าแผงขายหนังสือพิมพ์
“เอานี่ค่าหนังสือพิมพ์”
ซูจีส่งเงินให้คนขายอย่างระมัดระวัง
“ประกาศจากส่วนกลาง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผู้ที่อาศัยในเขตเมืองชั้นในจะต้องทำบัตรประชาชน…”
ซูจีอ่านทุกบรรทัดในหนังสือพิมพ์โดยไม่พลาดสักคำเดียว
“คำตัดสิน หวังเอ๋อ ได้ก่อคดีลักขโมยจักรยาน ถูกปรับเป็นเงิน 300 ทมิฬ และถูกลงโทษให้ทำงานในเหมืองเกลือครึ่งปี….”
“ข่าวทั่วไป สายการบินเต่าทมิฬจะออกเดินทางในอีกสามวัน หากใครต้องการเดินทางไปกับสายการบินให้ไปซื้อตั๋วได้ที่ถนนการค้า”
“เวลาผ่านไปเร็วจัง แป๊บๆ สายการบินก็จะออกอีกแล้ว”
ซูจีถอนหายใจเมื่ออ่านถึงตรงนี้
ตั้งแต่เธอเข้าเมืองมางานของเธอก็ยุ่งมาก จนเวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเธออ่านหนังสือพิมพ์จบแล้วเธอก็ทิ้งลงในถังขยะซึ่งมีเฉพาะหนังสือพิมพ์ สำหรับหนังสือพิมพ์พวกนี้จะถูกนำกลับไปเข้ากระบวนการใช้ซ้ำอีกครั้งเพื่อลดขยะ
แล้วตอนนั้นเองที่เสียงระฆังก็ดังขึ้น
แกร็งๆ
เสียงระฆังดัง 11 ครั้งบอกเวลา 11 นาฬิกา
“ไปกินหมี่เปรี้ยวเผ็ดดีกว่า แล้วค่อยหาอย่างอื่นกิน”
ซูจียิ้มและหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะปั่นจักรยานออกไป
15 นาทีต่อมาเธอก็มาถึงถนนการค้า ซึ่งตอนนี้ยังเป็นถนนร้างอยู่ มีคนเดินไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจากเขตเมืองชั้นใน หรือพวกพ่อค้าที่ยังไม่ได้ออกจากเมือง
“ยังเงียบเหงาอยู่เลย”
ซูจีบ่นเบาๆ
ก่อนที่เธอจะปั่นไปหอสามดวงดาว และจอดจักรยานไว้ที่ลานจอด
“เสี่ยวเฟิง ฝากรถหน่อยนะ”
ซูจีทักทายกับพนักงานต้อนรับที่นั่งอยู่หลังเคาเตอร์
เสี่ยวเฟิงเป็นพนักงานใหม่ที่มาแทนซูจี
“ได้เลย”
เสี่ยวเฟิงตอบด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“ขอบคุณ”
ซูจีกล่าวขอบคุณ ก่อนที่จะเดินออกไป และมุ่งหน้าไปยังร้านบะหมี่
เธอเดินเข้าไปในร้านอย่างคุ้นเคยก่อนที่จะนั่งลงและสั่งหมี่เปรี้ยวเผ็ด
ก่อนที่เธอจะจ่ายเงินซูจีก็นึกอะไรขึ้นมาได้และหยิบบัตรใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า
“เจ้าสิ่งนี้ใช้ได้ใช่ไหม”
บัตรนั้นถูกเคลือบด้วยผลึกแก้ว และมีชื่อของเธอเขียนอยู่บนบัตรพร้อมกับตัวหนังสือสีทองที่เขียนว่าลด 20 เปอร์เซ็น”
นี้คือบัตรส่วนลดที่เอาไว้ใช้กับถนนการค้า
ซึ่งบัตรนี้ออกให้กับบุคคลากรเฉพาะกลุ่ม ทำให้พวกเขาสามารถเพลิดเพลินไปกับการจับจ่ายในถนนการค้าได้
“ค่ะ ใช่ได้ค่ะ”
คนขายเห็นบัตรก็ยิ้มให้ และดูกระตือรือร้นขึ้น
“หลังจากหักส่วนลดแล้ว จะเหลือ 3 ทมิฬ 2 เหรียญค่ะ”
คนขายยิ้มและบอกราคาให้
“นี่”
ซูจีจ่ายเงินทมิฬให้ครบจำนวน
“รอสักครู่นะค่ะ ลูกค้าหมี่เปรี้ยวเผ็ดจะมาส่งในไม่ช้า”
คนขายเก็บเงินไปและเดินเข้าไปในครัว
“หลังจากกินเสร็จแล้ว ไปดูร้านหนังสือดีกว่าเพื่อจะมีหนังสือใหม่ๆ ออกมาขายบ้าง”
ในขณะที่ซูจีกำลังคิดอะไรเพลินๆ เธอสังเกตเห็นว่ามีคนสองคนเดินเข้ามาในร้านบะหมี่
“ขอหมี่เปรี้ยวเผ็ดสองที่”
ยูเหมิงตะโกนเสียงดัง
“นั่งเลยค่ะ”
เสียงของคนขายดังออกมาจากครัว
“น้องนั่งสิ”
ยูเทียนดึงเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง
ยูเหมิงลูบท้องของเธอและบ่นเบาๆ
“หิวจะตายอยู่แล้วเนี่ย”
หลังจากที่เธอกับพี่ชายไปชักชวนกลุ่มโจรที่เมืองจันทร์ดับได้สำเร็จ ทั้งคู่ก็กลับมาเมืองเต่าทมิฬและเตรียมการสำหรับแผนต่อไป
“พี่น้องยูนี้ พวกนั้นมาทำอะไรที่นี่”
สายตาของซูจีหรี่ลงและมอง
เธอรู้จักสองพี่น้องยู และเคยอยู่ในกลุ่มหัวขโมยเดียวกันสมัยที่อยู่เมืองยูทู่
ซึ่งเธอยังใช้ใบหน้าเดิมกับที่เคยเจอสองพี่น้องคู่นี้อยู่
ความตกใจเต็มใบหน้าของซูจี ก่อนที่เธอจะใช้มือปิดหน้าและเปลี่ยนหน้าอย่างรวดเร็ว
ตอนนั้งเองที่ยูเหมิงสังเกตเห็นและมองซูจีก่อนที่จะขยี้ตาสองสามครั้ง
“มีอะไรงั้นหรอ”
ยูเทียนถาม
“ไม่มีอะไร..ฉันแค่คิดว่า…ผู้หญิงตรงนั้นหน้าตาคุ้นๆ แต่คงตาฝาดไป”
ยูเหมิงอธิบายอย่างสบายๆ
เมื่อได้ยินแบบนั้นยูเทียนก็หันไปมองซูจี และไม่รู้สึกคุ้นเคยกับผู้หญิงคนนี้เลย
“ใช่ น้องคงตาฝาด”
ยูเทียนเห็นด้วย
เขาและน้องสาวนั้นอยู่ด้วยกันมาตลอด เพราะงั้นคนที่น้องสาวรู้จักเขาก็ต้องรู้จักด้วย
แต่อย่างที่รู้กันซูจีนั้นเปลี่ยนใบหน้าได้
ถึงแม้ว่าทั้งสามคนจะเคยพบเจอกันมาก่อน แต่นั้นก็ใช่ว่าทั้งสองพี่น้องจะจำซูจีได้ในทันที ไม่งั้นเธอคงไม่คู่ควรกับฉายาแม่มดพันหน้า
“ฟูวว”
ซูจีถอนหายใจเมื่อได้ยินทั้งสองพูด
แต่เธอก็ยังสงสัยอยู่ว่า ทำไมยูเหมิงกับยูเทียนถึงมาอยู่ในเมืองเต่าทมิฬ
หรือว่าทั้งคู่คิดจะขโมยอะไรในเมืองรึเปล่า
ซูจีสีหน้าจริงจังขึ้น และเริ่มคาดเดาอย่างไม่แน่ใจ
เธอมองไปยังยูเทียนและยูเหมิงด้วยความคิดมากมาย
แต่จากที่เธอรู้จักสองพี่น้องคู่นี้ เธอก็มั่นใจได้ว่าทั้งคู่ไม่ได้มาแค่เที่ยวเล่นเมืองเต่าทมิฬแน่ๆ
ซูจีเลยตัดสินใจจะเอาเรื่องนี้ไปรายงานเจ้าเมือง
“ลูกค้าค่ะ หมี่เปรี้ยวเผ็ดได้แล้ว”
คนขายยกชามบะหมี่มาให้ที่โต๊ะซูจี
“เอ๊ะ?”
คนขายชะงักไปและจำได้ว่าคนที่สั่งไม่ใช่คนคนนี้ แต่ทำไมถึงมานั่งตรงนี้ได้
“ของฉันเอง”
ซูจียิ้มและรับชามบะหมี่มา
“คะ ค่ะ….นี่หมี่เปรี้ยวเผ็ดที่สั่งค่ะ กินให้อร่อยนะคะ”
คนขายดูมึนงงและเดินออกไปอย่างช้าๆ
ระหว่างที่เธอเดินไปก็บ่นออกมาเบาๆ
“แปลกๆ แฮะ…ชุดก็ทรงผมก็ใช้ แต่ทำไมหน้าไม่เหมือนคนที่สั่งตอนแรกเลย…หรือว่าฉันจำผิดคน…”
หลังจากนั้นเธอก็เดินไปหาสองพี่น้องยู
“หมี่เปรี้ยวเผ็ดสอง”
เมื่อยูเทียนเห็นก็ส่งผลึกสัตว์อสูรให้
คนขายรับผลึกมาก่อนที่จะกลับเข้าไปในห้องครัวเพื่อทำหมี่เปรี้ยวเผ็ด
ซูด…
ซูจีก้มหน้าลงไปกินหมี่เปรี้ยวเผ็ด ในขณะที่หูคอยฟังสิ่งที่สองพี่น้องพูดกัน
เธอกินหมี่เปรี้ยวเผ็ดหมดไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ได้ลิ้มรสชาติความอร่อยของมันเลยเพราะมัวแต่สนใจสองพี่น้องยู
“อร่อยจัง”
ยูเหมิงเช็ดปากและเดินออกไปจากร้านอย่างช้าๆ พร้อมกับพี่ชายของเธอ
หลังจากที่ทั้งคู่ออกไปแล้วซูจีก็ลุกตามและแอบมองอยู่ห่างๆ
เธอเห็นว่าทั้งคู่กลับไปที่หอสามดวงดาวเธอจึงเริ่มตามไปทันที
“พี่ซูจี”
เสี่ยวเฟิงลุกขึ้นทักทาย
“ขอถามอะไรหน่อย ผู้หญิงกับผู้ชายที่เข้ามาก่อนหน้านี้พักที่นี่งั้นหรอ”
ซูจีถามด้วยน้ำเสียงต่ำ
“ใช่”
เสี่ยวเฟิงพยักหน้า
ซูจีมองไปรอบๆ เพื่อมั่นใจว่ามีแค่เธอกับเสี่ยวเฟิงเท่านั้น ก่อนที่จะถามต่อ
“พวกเขาเข้ามาพักตั้งแต่เมื่อไร”
เสี่ยวเฟิงทำหน้าครุ่นคิดก่อนที่จะเปิดหนังสือบันทึก
“พวกเขาเข้ามาพักเมื่อสี่วันก่อน”
“สี่วันที่แล้วงั้นหรอ….หนังสือพิมพ์บอกว่าสายการบินจะออกในอีกสามวัน…….นั้นแปลว่าพวกเขามาพร้อมกับสายการบินรอบก่อน”
ซูจีพูดคนเดียว
“ราวๆ ครึ่งเดือนก่อนพวกเขาก็เคยเข้ามาพักแล้วครั้งหนึ่ง”
เสี่ยวเฟิงพูดเสริมขึ้น
“เธออยู่มากี่วัน”
ซูจีถามอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวเฟิงก้มหน้าและนับนิ้ว
“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ 7 วันแล้ว”
ซูจีหรี่ตาลงและพูดออกมาอย่างคาดเดา
“พวกมันต้องมีจุดมุ่งหมายแน่”
พี่น้องยูเคยมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง นั้นแปลว่าพวกเขาต้องมีแผนการบางอย่าง
“พี่ซูจีมีอะไรงั้นหรอ”
เสี่ยวเฟิงถามอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไร แล้วก็ทำเป็นว่าฉันไม่เคยมาด้วยนะ”
ซูจีโบกมือให้และกลับไปขึ้นรถจักรยานทันที ก่อนที่จะกลับไปยังเนินสูงเพื่อรายงานทุกอย่างให้มู่เหลียงฟัง
“แปลกจัง…”
เสี่ยวเฟิงมองดูซูจีออกไปด้วยความสงสัย