ตอนที่ 1 : ชีวิตฉัน ฉันกำหนดเอง!
“หยวนหยวน ลูกเป็นคนเดียวในครอบครัวของเราที่สามารถช่วยพี่ชายของลูกได้ในตอนนี้ เห็นแก่แม่เถอะนะ ช่วยพี่ชายของลูกด้วยเถอะ!” เว่ยกุ้ยฉินยิ้มเอาใจและวางชิ้นเนื้อลงในชามของลูกสาว
ซูฮั่นหยวนมองท้องหมูในชามแล้วตอบด้วยรอยยิ้มว่า “แม่คะ เรื่องนี้หนูช่วยไม่ได้ แม่ไปขอร้องคนอื่นเถอะค่ะ”
หญิงชราตกตะลึง ลูกสาวคนเล็กซึ่งเชื่อฟังมาโดยตลอดกลับดื้อด้านขึ้นมาเสียอย่างนั้น
เธอเข้าใจว่าลูกสาวไม่เต็มใจ แต่เพื่อความสุขของลูกชาย เธอจึงต้องเสียสละผลประโยชน์ของลูกสาว
ท้ายที่สุดแล้วลูกสาวก็ต้องแต่งงานออกไปไม่ช้าก็เร็ว ลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกไปเป็นครอบครัวของคนอื่น มีเพียงลูกชายเท่านั้นที่จะอยู่เคียงข้างครอบครัวซูตลอดไป!
ความแตกต่างระหว่างลูกชายและลูกสาวเธอเข้าใจมันดี
“เห็นใจพี่ชายของลูกสักหน่อยไม่ได้เหรอ ลูกก็รู้ว่าพี่ชายลูกชอบหลินจื่อชิวแค่ไหน ในที่สุดหลินจื่อชิวก็ยอมตอบตกลงแล้ว เธอไม่ได้ต้องการของหมั้นหรือสิ่งของใด ๆ สิ่งที่เธอต้องการคืองาน ลูกจะไม่ช่วยให้พวกเขาสมปรารถนาหน่อยเหรอ”
“แล้วหนูล่ะ” ซูฮั่นหยวนเงยหน้าขึ้นมองหญิงชรา “หนูตั้งใจทำงานขนาดนี้ แต่แม่อยากให้หนูทิ้งงานไปแบบนั้นเหรอคะ”
เว่ยกุ้ยฉินคิดว่าลูกสาวของเธอกำลังจะยอมแล้วจึงยิ้มเอาใจ “ดูพูดเข้าสิ พี่ชายของลูกจะไม่ดูแลลูกได้ยังไง ไม่ใช่ว่าพี่เขาหาครอบครัวดี ๆ ให้ลูกแต่งเข้าไปแล้วหรือ รู้จักตระกูลโจวไหม พวกเขาค่อนข้างมีฐานะทีเดียวและยังมีลูกชายแค่คนเดียว ถ้าลูกแต่งงานกับเขา ชาตินี้ก็สุขสบายไปทั้งชาติแล้ว”
สุขสบายไปทั้งชาติ?
นี่กำลังหลอกใครไม่ทราบ!
ซูฮั่นหยวนตระหนักดีถึงส่วนลึกของเรื่องนี้และรู้ถึงชะตากรรมของทุกคนในอนาคตด้วยซ้ำ
เธอไม่ได้มีความสามารถในการทำนายอนาคตหรอก บังเอิญว่าเธอทะลุมิติเข้ามาอยู่ในนิยายน่ะสิ!
พูดไปใครจะเชื่อ
เมื่อไม่กี่วันก่อนในงานเลี้ยงเธอเมามากเกินไปจึงถูกส่งตัวกลับวิลล่า เมื่อตื่นขึ้นมา เธอก็พบว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในนิยายที่มีฉากของเรื่องในช่วงปี 1980 และกลายเป็นตัวละครเสริมในเรื่อง ‘ซูฮั่นหยวน’
หลังจากนึกถึงเนื้อเรื่องในนิยาย เธอก็พบว่าไม่มีบทบรรยายเกี่ยวกับตัวละครของเธอมากนัก อย่างไรก็ตามมีเพียงไม่กี่ฉากที่บรรยายถึงความพลิกผันและความขมขื่นของชีวิตอันแสนสั้นของเธอ
คนที่พี่ชายคนที่สามของซูฮั่นหยวนอยากจะมอบหัวใจให้คือหลินจื่อชิว ตัวเอกหญิง หลังจากเรียนจบมัธยมปลาย เธอไม่ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยและอยู่บ้านเพื่อดูแลพ่อที่ป่วยกระเสาะกระแสะถึงสองปี
สองปีต่อมาพ่อของเธอเสียชีวิต แม่ของเธอมีอาการซึมเศร้าและสูญเสียแขนขณะทำงานในโรงงานเครื่องจักร เนื่องจากต้องดูแลแม่ เธอจึงพลาดโอกาสงานที่ถูกคนอื่นรับช่วงต่อ
ครอบครัวของเธอไม่สามารถมีชีวิตรอดหากไม่มีเงิน ดังนั้นเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ เธอจึงตกลงที่จะแต่งงานกับซูจิ่งรุ่ย นักเลงประจำตรอกที่ไล่ตามจีบเธอมาเป็นเวลาสองปี เงื่อนไขเดียวคือเธอต้องการงานทำ!
การหางานในยุคนี้ง่ายซะเมื่อไหร่
งานที่มีส่วนใหญ่ก็จะเปิดให้ญาติพี่น้องตัวเองก่อน หากอยากได้จริง ๆ ก็ต้องใช้เงินจำนวนมาก ครอบครัวปกติที่ไหนจะสามารถจ่ายเงินได้มากขนาดนี้?
อย่างไรก็ตามซูจิ่งรุ่ยชอบเธอมากและเว่ยกุ้ยฉินให้ความสำคัญกับลูกชายคนที่สามมากที่สุด เธอยังชอบลูกสะใภ้ในอนาคตคนนี้ด้วย สำหรับเธอแล้ว หญิงสาวที่เอวคอดสะโพกใหญ่จะคลอดบุตรได้ดี ภรรยาของลูกชายคนโตของเธอไม่เคยคลอดหลานชายให้เธอได้เลย ดังนั้นเธอจึงฝากความหวังไว้กับคู่หมั้นของลูกชายคนที่สาม
เนื่องจากหลินจื่อซิวต้องการงาน จึงมีคนต้องสละงานเพื่อเธอ
ด้วยเหตุนี้เว่ยกุ้ยฉิวจึงตั้งเป้าไปที่ลูกสาวคนเล็ก แน่นอนว่าเธอไม่เคยอยากให้ลูกสาวออกจากงาน หากออกจากงานก็จะทำให้แต่งงานลำบากขึ้นไปอีก ดังนั้นเธอจึงตอบตกลงตามข้อเสนอของตระกูลโจว
ชีวิตอันน่าสลดสังเวชของซูฮั่นหยวนเริ่มต้นหลังจากที่แต่งเข้าบ้านตระกูลโจว สามีทารุณกรรมเธอแทบทุกวัน ไม่มีส่วนไหนของร่างกายที่ไม่มีรอยฟกช้ำ เธอร้องขอความช่วยเหลือจากครอบครัวแต่กลับถูกเพิกเฉยอย่างเย็นชา
สุดท้ายเธอก็ตายอย่างอนาถ
หลินจื่อซิวหย่าร้างกับซูจิ่งรุ่ยหลังจากนั้นและได้พบกับรักแท้ของตัวเอง ภายใต้การคุ้มครองดูแลของเขา เธอเปิดร้านค้าและในที่สุดก็ร่ำรวยขึ้นถึงจุดสุดยอดของชีวิต
ดังนั้นซูฮั่นหยวนจึงเป็นเพียงตัวละครเล็ก ๆ ที่มีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงสองหมื่นคำหรือไม่เกินสิบบท อนิจจา น่าสมเพชเหลือเกิน
หลังจากที่เธอทะลุเข้ามาอยู่ในนิยายเรื่องนี้ เธอก็คิดกับตัวเองว่า
เวร นี่มันเรื่องบ้าอะไร?
เธอเป็นถึงแก้วตาดวงใจของพ่อแม่และเป็นสมบัติล้ำค่าของปู่ย่าตายาย การดำรงอยู่ของเธอถือว่าเป็นของขวัญจากสรวงสวรรค์สำหรับครอบครัว
ไม่เคยมีวันไหนที่เธอไม่อยากมีชีวิตอยู่
ตอนนี้ไม่เพียงแต่เธอติดอยู่ในชีวิตของคนอื่นเท่านั้น แต่ยังเป็นชีวิตที่น่าเศร้าอีกด้วย! เป็นไปได้ยังไง?
นี่มันชีวิตเธอทั้งชีวิต ดังนั้นเธอจะต้องเป็นคนกำหนดชีวิตตัวเองเท่านั้น!
เว่ยกุ้ยฉินยังคงโน้มน้าวลูกสาวต่อไปจนกระทั่งปากคอเริ่มแห้ง แต่สาวน้อยคนนี้กลับเริ่มฝันกลางวันแทน และไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“ฟังแม่พูดอยู่หรือเปล่า”
“ฟังอยู่ค่ะ” ซูฮั่นหยวนวางชามและตะเกียบลง ยืดแผ่นหลังตั้งตรงและเม้มริมฝีปาก “หนูไม่อยากมีชีวิตสุขสบายอย่างที่แม่พูดถึงหรอกค่ะ หนูอยากจะหาเลี้ยงชีพด้วยสองมือของตัวเองเท่านั้น”
เมื่อลูกสาวไม่เห็นด้วย ใบหน้าของเว่ยกุ้ยฉินก็มืดลง “เด็กคนนี้ ทำไมมองเจตดีของแม่ไปในทางที่ผิดล่ะ ในฐานะคนเป็นจะกล้าทำร้ายลูกตัวเองได้ยังไง”
“ถึงอย่างนั้นหนูก็ไม่ออกจากงาน” ซูฮั่นหยวนปฏิเสธเสียงแข็ง “ใครจะแต่งงานก็แต่งไป หนูไม่เกี่ยว!”
“เด็กคนนี้” เว่ยกุ้ยฉินกำลังจะตะคอก แต่ก็ยั้งตัวเองไว้ได้และพูดอย่างอดทนแทนว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน ลูกยกงานของลูกให้หลินจื่อซิวไปเถอะ แล้วแม่จะหางานดีกว่านี้ให้ลูกเอง ช่วงนี้ลูกก็อยู่บ้านไม่ต้องทำอะไรเลย แม่จะดูแลลูกเอง ก่อนหน้านี้ลูกสนใจเสื้อคลุมขนสัตว์ที่ห้างโหยวอี้ไม่ใช่เหรอ ถ้าลูกออกจากงานแล้วแม่จะซื้อให้”
ซูฮั่นหยวนรู้สึกขบขันที่เห็นเว่ยกุ้ยฉินปฏิบัติต่อเธอเหมือนคนโง่ เดิมทีเธอก็ไม่ใช่เจ้าของเดิมของร่างกายนี้อยู่แล้ว จะยอมให้คนอื่นบงการง่าย ๆ ได้อย่างไร
งานของเธอดีกว่าใคร ๆ เธอทำงานในแผนกประชาสัมพันธ์ของโรงงานกระจายสินค้าแห่งหนึ่ง ในวันปกติเธอจะจัดทำโฆษณากระดานดำและจัดกิจกรรมให้กับสมาชิกในกลุ่ม งานของเธอไม่ต้องตัวเปื้อนฝุ่นหรือเหนื่อยแทบร่างขาด และเงินเดือนก็ไม่ได้ต่ำเช่นกัน มีกี่คนที่จ้องงานของเธอตาเป็นมัน
หากเธอปล่อยมันไป เธอจะสูญเสียแหล่งรายได้เพียงแหล่งเดียวของเธอ!
ยิ่งกว่านั้น เมื่อต้องอยู่ร่วมกับครอบครัวที่ไม่น่าเชื่อถือเช่นนี้ เธอจะอยู่รอดได้อย่างไรถ้าไม่มีเงินเป็นของตัวเอง
“ทำไมแม่ไม่มอบงานที่ดีกว่างานของหนูให้กับลูกสะใภ้ในอนาคตของแม่ล่ะคะ!” เธอยิ้มแล้วผลักชามและตะเกียบไปทางหญิงชรา “หนูเหนื่อยแล้ว ขอตัวกลับห้องก่อนนะคะ”
ซูจิ่งรุ่ยที่แอบมองเข้ามาจากนอกบ้านไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ผลักประตูเข้ามาอย่างแรง
แรงสั่นสะเทือนทำให้หิมะบนหลังคาตกลงมา และดอกบ๊วยสีแดงที่อยู่บนพื้นก็ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นหิมะสีขาว
ซูฮั่นหยวนสะดุ้งด้วยความตกใจ “จะทำเสียงดังทำไม! ทำฉันตกใจแทบแย่!”