ตอนที่แล้วMDB ตอนที่ 469 ชิงลงมือก่อน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปMDB ตอนที่ 471 การต่อสู้ด้วยศิลปะการต่อสู้อันดุเดือด

MDB ตอนที่ 470 ผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้


“เกิดอะไรขึ้น!? ทำไมเทียนถึงดับ!? ไอ้โง่คนไหนลืมปิดประตู!”

เจ้าของร้านเว่ยรู้สึกวิตกกังวลเล็กน้อย ไม่เพียงแต่เพราะความมืดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเสียงที่เขาเพิ่งได้ยินด้วย

เขาภาวนาในใจอย่างลับ ๆ ว่าจะได้ยินคำตอบจากลูกน้องของเขา

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้หัวใจของเขาจมดิ่งลงไปก็คือความเงียบงันอันน่าขนลุกที่เกิดขึ้นหลังจากการคำถามของเขา ราวกับว่าเขาเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ในห้องนี้

ปฏิกิริยาแรกของเจ้าของร้านเว่ยคือการสลัดความคิดของเขา

ในห้องมีลูกน้องของเขามากกว่าสิบคน และพวกเขาล้วนเป็นผู้ชายร่างกำยำ เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีตั้งแต่เทียนดับลง มันไม่น่าจะทำอะไรพวกเขาทั้งหมดได้

ถึงแม้ว่าบางอย่างจะเกิดขึ้น เขาก็ควรจะได้ยินเสียงสักอย่างบ้าง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ส่งเสียงใด ๆ ออกมาเลย

นี่อาจเป็นครั้งแรกของเขาที่ได้ประสบกับเหตุการณ์แบบนี้ แต่สัญชาตญาณของเจ้าของร้านเว่ยบอกเขาว่ามีบางอย่างผิดปกติอย่างแน่นอน เขาอดไม่ได้ที่จะเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง

ห้องนี้มีประตูเพียงบานเดียวและปิดสนิท ดังนั้นแหล่งกำเนิดแสงของพวกเขาคือเทียนไขที่ดับลงอย่างกะทันหัน

ความจริงที่ว่าลูกน้องของเขาไม่มีใครส่งเสียงใด ๆ ก็บ่งบอกว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

สัตว์เลี้ยงของเจ้าของร้านเว่ย สุนัขล่าเนื้อเขี้ยวดาบ มันกำลังรออยู่ข้างนอก เขาพยายามใช้พันธสัญญาโลหิตเพื่อเรียกมันมา แต่เช่นเดียวกับลูกน้องอขงเขา เขาไม่ได้รับการตอบสนองใด ๆ จากสัตว์เลี้ยงของเขาเลย แม้เขาจะสั่งมันอย่างเด็ดขาดก็ตาม

ตอนนี้เจ้าของร้านเว่ยกลัวจนไม่กล้าจะขยับตัวใด ๆ

เขาไม่อยากหายใจแรงเกินไปด้วยซ้ำ เขาเคยคิดที่จะกระโดดขึ้นและรีบวิ่งไปที่ประตูเพื่อหลบหนี แต่เขากลัวเกินกว่าจะทำมัน

ใครก็ตามที่ดับเทียนไขของพวกเขา ได้จัดการลูกน้องของเขาทั้งหมดแล้ว และแม้กระทั่งทำให้สัตว์เลี้ยงของเขาหมดสติข้างนอก กล่าวอีกนัยหนึ่ง ศัตรูของเขาคือคนที่เจ้าของร้านเว่ยไม่สามารถจัดการได้เพียงลำพัง

อย่างน้อยเขาก็รู้แค่นั้น

‘เดี๋ยวนะ!’

การรอคอยกับสิ่งที่ไม่รู้จัก มันเป็นวิธีการที่ทรมานที่สุด และเขารู้ดีว่ามีบางอย่างเลวร้ายอยู่ตอนท้ายของการรอคอยนี้

หลังจากความเงียบสั้น ๆ ประกายไฟก็ปรากฏขึ้นและตกลงบนเทียนที่ดับแล้ว มันถูกจุดขึ้นอีกครั้ง

ห้องที่มืดสนิทสว่างขึ้นอีกครั้ง

เจ้าของร้านเว่ยสังเกตเห็นทันทีว่าพี่น้องของเขาทุกคนนอนอยู่บนพื้น โดยไม่ขยับเขยื้อน สิ่งที่เขากลัวที่สุดกลับกลายเป็นเรื่องจริง ลูกน้องของเขาทั้งหมดถูกจัดการภายในไม่กี่วินาทีในความมืด

‘ช่างเก่งกาจเหลือเกิน’

เมื่อมองไปข้างหน้า ก็มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น

ครึ่งตัวบนของร่างกายของชายคนนี้ซ่อนอยู่ในความมืด ทำให้ไม่สามารถรูปลักษณ์ของเขาได้อย่างชัดเจน ขณะนี้เขากำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะพนันอีกฝั่งของห้อง

ช่างเป็นภาพที่น่ากลัว เจ้าของร้านเว่ยอาจจะเป็นนักเลงในพื้นที่ แต่จากประสบการณ์ที่สะสมมาหลายปี มีบางอย่างบอกเขาว่าเขาควรยอมแพ้ทันที เขาพูดทันทีว่า

“ข้า เว่ยโย่วไช่ ข้าเปิดธุรกิจการพนัน และบางครั้งทำให้คนอื่นขุ่นเคืองเพราะเรื่องนี้ แต่ถ้าข้าทำอะไรให้ท่านต้องขุ่นเคือง ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย พี่ชาย อนุญาตให้ข้าขอโทษท่าน ท่านสามารถเอาเงินทั้งหมดที่ท่านต้องการจากโต๊ะเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพของข้าได้ ถ้าเรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องอื่น ได้โปรดแจ้งให้ข้าทราบ ถ้ามันอยู่ในความสามารถของข้า ข้าจะปฏิบัติตามคำสั่งของท่านอย่างแน่นอน”

คำพูดของเขาทั้งรัดกุมและสมเหตุสมผล

อย่างที่คาดไว้จากหัวหน้าแก๊งในเมืองเกลียวสวรรค์ เจ้าของร้านเว่ยรู้ดีว่าเมื่อใดควรมีเรื่องและเมื่อใดควรยอมแพ้

ชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามห้องไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลินจิน

สำหรับเขา เว่ยโย่วไช่ ไม่มีความสำคัญและมีค่าอะไรเลย หลินจินมาที่นี่เพื่อถามถึงที่อยู่ของนายน้อยผู้ร่ำรวยเท่านั้น

นั่นคือเป้าหมายเดียวของเขา

หลินจินจำได้ว่าเว่ยโย่วไช่เรียกชายคนนั้นว่า ‘เจ้านาย’

“เจ้านายของเจ้าอยู่ที่ไหน?”

หลินจินถาม

เว่ยโย่วไช่หยุดชะงักอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างรุนแรง

หลินจินกล่าวเสริมว่า

“เจ้ามีโอกาสพูดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ดังนั้นอย่าเสียโอกาสนี้ไป”

เม็ดเหงื่อเริ่มไหลลงมาจากหน้าผากของเว่ยโย่วไช่

นี่เป็นเรื่องของชีวิตและความตาย

เขารู้ดีว่าเขาจะต้องเผชิญกับอะไรหากเขาโกหกหลินจิน หรือหากเขาตอบแบบเดิมว่า ‘ข้าไม่รู้’

ความตายคงจะมาเยือนเขาอย่างแน่นอน

และเว่ยโย่วไช่ไม่อยากตาย

แม้ว่าเขาคงจะไม่ดีถ้าหากเขาทรยศเจ้านายของตัวเอง แต่มันคือการเลือกระหว่างการตายตอนนี้หรือตายพรุ่งนี้ นอกจากนี้ ยังมีเวลาอีกสองสามชั่วโมงก่อนจะรุ่งสาง ดังนั้นเขาน่าจะใช้เวลาหลบหนีได้

เนื่องจากชายคนนี้กำลังตามหาเจ้านายของเขา นั่นหมายความว่าตัวเขาไม่ใช่เป้าหมาย

นี่เป็นสิ่งที่ดี

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว หลังจากรวบรวมความกล้า เขาก็ถามว่า

“ท่านชายขอรับ ท่านตั้งใจจะแก้แค้นเจ้านายของเราใช่หรือไม่?”

“นั่นเกี่ยวข้องกับเจ้าหรือเปล่า?”

“คฤหาสน์ของเจ้านายเราอยู่ที่ไหนสักแห่งในบริเวณนี้ ท่านเลี้ยวขวาที่นอกประตูแล้วมุ่งหน้าไปที่ปลายเลนที่สามของถนนนั้น คฤหาสน์อยู่สุดทางและมีรูปปั้นหินของจักรพรรดิอู่อยู่ที่ประตู ท่านคงจะสังเกตเห็นมันได้ในทันที”

เว่ยโย่วไช่เพิ่งทรยศเจ้านายของเขาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

เมื่อทราบว่าเจ้านายจะไม่มีวันให้อภัยเขาที่เปิดเผยข้อมูลนี้ เว่ยโย่วไช่จึงตัดสินใจว่าจะหลบหนีไปในยามค่ำคืน โชคดีที่เขาได้เตรียมการสำหรับเหตุการณ์นี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว มันเป็นเวลาหลายปีแล้วที่เขาได้วางแผนเส้นทางหลบหนีไว้สำหรับตัวเอง เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องวิ่งอย่างไร้ทิศทางแบบไก่หัวขาด หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น

“อย่าคิดโกหกจะดีกว่า เพราะไม่ว่าเจ้าจะหนีไปที่ไหน ความตายก็จะมาเคาะประตูบ้านเจ้าได้ทุกเมื่อ”

จากนั้น แสงเทียนได้สั่นไหว และทันใดนั้นเอง ชายที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็หายตัวไป

เว่ยโย่วไช่ลุกขึ้นทันที เขากลัวเกินกว่าจะมองพี่น้องที่นอนอยู่บนพื้น เมื่อรู้ว่าเงินยังอยู่บนโต๊ะ เขาจึงมัดพวกเขาไว้เป็นมัดกับผ้าปูโต๊ะแล้วรีบออกไปข้างนอก

เขาต้องหลบหนีไปในยามค่ำคืน และยิ่งเขาไปไวเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

แม้ว่าเขาจะไม่รู้เลยว่ายังมีเข็มซ่อนอยู่ในร่างกายของเขา หลินจินยังไม่คิดจะดึงมันออกมา เผื่อว่าเว่ยโย่วไช่ได้โกหกเขา

อย่างไรก็ตาม สัญชาตญาณของหลินจินบอกเขาว่าเว่ยโย่วไช่ไม่ได้โกหก

นักเลงข้างถนนอย่างเขาอยู่จุดต่ำสุดของห่วงโซ่อาหารในสังคมมนุษย์ แม้จะพร่ำเพ้อเกี่ยวกับความเป็นพี่น้องกันตลอดทั้งวัน แต่พวกเขาจะไม่มีวันตายเพื่อใคร เขาคือตัวอย่างของคำพูดที่ว่า 'ทุกคนต้องพึ่งตนเอง' ได้อย่างชัดเจน

ในไม่ช้าหลินจินก็มาถึงสถานที่ที่เว่ยโย่วไช่พูดถึง

เขาพบบ้านที่ปลายสุดของตรอก และแน่นอนว่ามีรูปปั้นหินของจักรพรรดิอู่อยู่ที่ประตู

จักรพรรดิอู่เป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ในตำนานที่มีชีวิตอยู่เมื่อหลายร้อยปีก่อน ในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังค้นคว้าเกี่ยวกับสัตว์วิเศษและพันธสัญญาโลหิต จักรพรรดิอู่กลับเบี่ยงเบนไปในเส้นทางอื่น และฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ จนประสบความสำเร็จในการเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลก

ตั้งแต่นั้นมา เขาก็ได้รับการขนานนามว่าเป็นจักรพรรดิอู่ ผู้ที่ชื่นชอบศิลปะการต่อสู้หลายคนวางรูปปั้นหินของเขาไว้ที่ทางเข้าบ้านเพื่อแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเท และความเคารพต่อศิลปะการต่อสู้

บนถนนในเช้าวันนั้น เมื่ออาจารย์กู่ต่อสู้กับนายน้อยผู้ร่ำรวย หลินจินสามารถบอกได้ว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้

น่าจะเป็นอย่างที่เขาคาดไว้ เพราะว่ามีเพียงผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้เท่านั้นที่จะอาศัยอยู่ในสถานที่แบบนี้

หลินจินเคยเรียนศิลปะการต่อสู้มาบ้าง อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของเขาคือการเสริมสร้างร่างกาย ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่ผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้แบบเต็มตัว

เมื่อเปิดใช้งานคาถาเร้นกาย หลินจินก็ก้าวขึ้นไปบนก้อนเมฆและลอยเข้าไปในลานบ้าน

ลานบ้านกว้างขวาง แต่ไม่มีฝุ่นแม้แต่น้อยในสายตา หลังจากที่เขาลงจอด หลินจินก็เห็นบ้านหลังหนึ่งและเดินเข้าไป คฤหาสน์หลังนี้ไม่มีสัตว์วิเศษคอยเฝ้า ดังนั้นจึงสามารถผ่านได้อย่างสบาย ๆ

แต่ไม่นาน หลินจินก็รู้ว่าตัวเขาประมาทอีกฝ่ายมากเกินไป

เมื่อเขาขึ้นบันได เขาก็ไปสัมผัสอะไรบางอย่างโดยบังเอิญซึ่งทำให้กลไกกระดิ่งดังขึ้น

‘มันต้องเป็นกับดักใยแมงมุมแน่นอน’

ในชั่วพริบตาต่อมา แสงวาบพุ่งออกมาจากบ้าน พุ่งเข้าหาใบหน้าของหลินจิน ความเร็วของมันเร็วมากจนเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะตอบสนองได้ทันเวลา

โชคดีที่หลินจินรู้แล้วว่าเขาทำพลาดเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง ดังนั้นเขาจึงรีบหลบไปด้านข้าง ลูกศรเฉียดแก้มของเขาไปเพียงเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าความตายมาเข้าใกล้ตัวเขามากแค่ไหน

“เกือบไปแล้ว!”

หลินจินยังไม่ทันได้ทรงตัวดี จู่ ๆ ก็มีแสงวาบอีกสองดวงถูกยิงออกมาจากบ้าน รอบนี้อันตรายกว่ามากเพราะร่างเงาของมนุษย์พุ่งออกไปทางหน้าต่างพร้อมกับมัน

ทั้งคู่เป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นหากเขาเข้าใกล้เกินไป หลินจินจะไม่มีเวลาร่ายคาถา

“เสี่ยวฮั่ว!”

หลินจินร่ายคาถาและสะบัดแขนเสื้อในเวลาเดียวกัน ส่งเข็มเงินหลายสิบเล่มออกไปเพื่อต่อสู้กับอาวุธที่เข้ามา เขาได้ยินเสียงดังกึกก้องสองครั้งและมีดสั้นสองเล่มตกลงสู่พื้นหลังจากที่ปะทะกับเข็ม

หากเขาช้ากว่านี้ หลินจินคงโดนใบมีดบาดไปแล้ว

เสี่ยวฮั่วกระโดดขึ้นจากกองไฟเพื่อปราบร่างเงา

ช่างเป็นสถานการณ์ที่อันตรายจริง ๆ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด