บทที่ 224 ก้อนหินแปลก ๆ
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[ลงแบบราคาถูกแค่ใน my-novel แต่จะลงช้ากว่าThai-novel 100 ตอน]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
บทที่ 224 ก้อนหินแปลก ๆ
ภายในทะเลทรายของภูมิภาคลอปนูร์ มีหินขนาดมหึมาที่สลักอักษรไซเบอร์ตรอนเนียนโบราณอยู่
ย้อนกลับไปสมัยที่ยังร่วมมือกับบาริเคด ซุนเฉิงได้เจาะระบบอินเทอร์เน็ตหลายครั้งเพื่อค้นหาร่องรอยเกี่ยวกับเมกะทรอนและออลสปาร์ค
เขาพบข้อมูลเกี่ยวกับไซเบอร์โทรตรอนโบราณที่เคยมาเยือนโลกในอดีต พวกเขาทิ้งจารึกไว้มากมาย สัญลักษณ์เหล่านี้มีความเชื่อมโยงอย่างมากกับดาวเคราะห์ไซเบอร์ตรอนของเขา
จารึกบางส่วนนั้นเก่าแก่มาก อาจย้อนไปได้ถึงหลายพันปี พวกมันมักถูกพบอยู่ท่ามกลางภาพเขียนโบราณที่สื่อถึงเทพเจ้าต่าง ๆ
ซุนเฉิงนึกถึงภาพถ่ายที่ถ่ายโดยอดีตนักสำรวจโซเวียตในพื้นที่ลอปนูร์ ซึ่งเขาเคยเห็นภาพของหินที่มีตัวอักษรไซเบอร์ตรอนสลักอยู่ ตัวอักษรยังคงถูกเก็บไว้ในแกนหลักของเขา แต่เนื่องจากเป็นอักษรโบราณ ซุนเฉิงจึงไม่สามารถถอดความหมายได้
"มันแปลก แปลกมากจริงๆ ! ดาวเคราะห์อันห่างไกลที่ตั้งอยู่บริเวณขอบของกาแล็กซีทางช้างเผือก ไกลจากไซเบอร์ตรอนมาก ทำไมชาวไซเบอร์ตรอนถึงมาเยือนโลกตั้งแต่ในสมัยโบราณ? และจากปริมาณแล้ว คงไม่ใช่แค่กลุ่มเล็กๆ หรือคนเพียงไม่กี่คน พวกเขาอาจจะกำลังตามหาออลสปาร์อยู่งั้นเหรอ? หรือมีสิ่งอื่นซ่อนอยู่บนโลกจนดึงดูดพวกเขามา?”
ตั้งแต่มาถึงลอปนูร์ คำถามเหล่านี้ก็หยั่งรากลึกในใจของเขา
ยิ่งไปกว่านั้น การได้พบกับไซด์เวย์และเดวาสต้าโตยังทำให้เขารู้ข้อมูลของท่านฟอลเลน และการค้นหาเมททริกซ์แห่งจิตพลังผู้นำ
ตั้งแต่นั้นมา ซุนเฉิงก็เริ่มให้ความสนใจกับหินก้อนมหึมาที่ตั้งอยู่ในทะเลทรายลอปนูร์
การเดินทางไปยังประเทศจีนและรัสเซียของพวกเขาประสบความสำเร็จ และเขาก็สามารถหาสิ่งที่เขาต้องการได้เกือบทั้งหมด
เขารู้เลยว่าในอนาคตอันใกล้นี้ เขาคงจะยุ่งมากแน่
ด้วยเวลาที่มีอยู่ในตอนนี้ และโอกาสอันหาได้ยากที่ได้อยู่ในลอปนูร์ ซุนเฉิงจึงตัดสินใจค้นหาหินที่สลักด้วยอักษรโบราณ โดยหวังว่าจะค้นหาเบาะแสที่อาจเป็นไปได้
โชคดีที่อดีตนักสำรวจโซเวียตที่ถ่ายภาพหินได้ทิ้งพิกัดทางภูมิศาสตร์ไว้ในบันทึกด้วย
ซุนเฉิงเปรียบเทียบพิกัดกับภาพถ่ายดาวเทียมและระบุตำแหน่งพื้นที่ทะเลทรายที่ตั้งของหินได้อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขาลอยลงมาจากท้องฟ้า คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
เบื้องหน้าของเขาคือทะเลทรายอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา มองเผิน ๆ ก็เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
ทะเลทรายแห่งนี้เหลือลักษณะเด่นอยู่น้อยมาก การทดสอบนิวเคลียร์ครั้งก่อน การทำลายล้างที่เกิดจากชนเผ่าเร่ร่อนและการเกษตรในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมาได้กำจัดร่องรอยของพืชพันธุ์ทั้งหมด มีเพียงต้นไม้แห้งๆ เพียงไม่กี่ต้นอย่าง ต้นยูเฟรติสและหญ้าฮาโลไซลอนที่เหลืออยู่เท่านั้น
"ดูเหมือนว่าพิกัดบนรูปถ่ายคงไม่อาจใช้บอกได้ทั้งหมด..."
หลังจากขมวดคิ้วครู่หนึ่ง ซุนเฉิงก็ผ่อนคลายและเริ่มเดินอย่างไร้จุดหมายไปทั่วผืนทราย
ถึงข้อมูลในภาพจะถูกต้อง แต่อย่าลืมว่านักสำรวจโซเวียตคนก่อนด้มาถึงลอปนูร์ในช่วงทศวรรษที่ 1940 ด้วยอุปกรณ์สำรวจและเทคนิคการสำรวจที่มีอยู่ในขณะนั้น พวกเขาทำได้เพียงประมาณค่าละติจูดและลองจิจูดเท่านั้น การหาหินในทะเลทรายอันกว้างใหญ่นี้จึงอาจต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
แถมมันยังมีอีกเงื่อนไขหนึ่ง…นั่นคือมันต้องยังไม่ได้ถูกทําลาย
หลังจากเดินเตร็ดเตร่อย่างไร้จุดหมายไปสักพัก ความอดทนของซุนเฉิงก็เริ่มจะหมดลง
เขาเรียกหุ่นยนต์ต่อสู้ทั้งเจ็ดตัวอีกครั้ง เขาส่งภาพถ่ายของศิลาที่บันทึกไว้ในแกนหลักของเขาไปให้พวกมันและออกคำสั่งค้นหา ในเวลาเดียวกัน ซุนเฉิงก็ลอยขึ้นไปในอากาศหลายสิบเมตร เปิดใช้งานแกนหลักเพื่อสำรวจทะเลทรายโดยรอบหลายสิบกิโลเมตรอย่างละเอียด
ความพยายามของเขาในที่สุดก็ได้ผลลัพธ์ เมื่อทำการค้นหาไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ 17 กิโลเมตร แกนหลักได้สแกนเนินทรายแห่งหนึ่งในทะเลทรายเบื้องล่างโดยบังเอิญ ซึ่งมีวัตถุแปลกปลอมขวางกั้นการทะลุทะลวงของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ข้อมูลป้อนกลับระบุว่าเป็นวัตถุรูปร่างผิดปกติ สูงประมาณหกเมตร และหนักประมาณเจ็ดสิบถึงแปดสิบตัน
ซุนเฉิงลดระดับลงจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว วนรอบเนินทราย และเริ่มรู้สึกมั่นใจ
"มันควรจะอยู่ที่นี่สิ..."
หลังจากเพิ่มกำลังขับของแกนหลัก คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แรงกว่าก็ปล่อยออกมาจากร่างเครื่องจักรของเขาอย่างต่อเนื่อง ทะลุทะลวงลงไปใต้เนินทราย
ในไม่ช้า ข้อมูลที่ป้อนกลับอย่างต่อเนื่องโดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็ถูกสร้างเป็นแบบจำลองภายในแกนหลัก ดวงตาของซุนเฉิงเบิกกว้างด้วยความยินดี
ในที่สุดเขาก็เจอก้อนหินขนาดใหญ่ที่เขาต้องการหาแล้ว
"เพราะเวลาผ่านไปนานมากแล้วสินะ...เม็ดทรายที่พัดพามาโดยสายลมแรงจึงได้ก่อตัวขึ้นรอบก้อนหินอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดก็กลายเป็นเนินทรายแห่งนี้..."
เนินทรายสูงตระหง่าน ซึ่งน่าจะสูงถึงยี่สิบหรือสามสิบเมตร ประกอบด้วยเม็ดทรายนับพันตัน...
เมื่อพิจารณาจากขนาดมหึมาของมัน หากเขาต้องขุดมันด้วยตัวคนเดียว คงต้องใช้เวลาสักพักเลยทีเดียว ซุนเฉิงรีบออกคำสั่งรวมพลแก่หุ่นยนต์ต่อสู้ทั้งเจ็ดตัว
แต่ว่า…หุ่นยนต์ต่อสู้ที่อยู่ใกล้ที่สุดนั้นอยู่ห่างจากเขาไปห้ากิโลเมตร
ดังนั้นหลังจากออกคำสั่งรวมพลแล้ว เขาจึงเริ่มลงมือขุดเนินทรายนั้นด้วยตนเอง
กระบวนการนี้ดำเนินต่อไปนานกว่าสองชั่วโมง จนกระทั่งหุ่นยนต์ต่อสู้ทั้งเจ็ดตัวมาถึง ซุนเฉิงและทีมของเขาในที่สุดก็เจาะทะลุเนินทราย เผยให้เห็นก้อนหินขนาดมหึมาที่ถูกฝังอยู่ข้างใต้โดยสมบูรณ์
"ฟิ้ว.."
เขาได้แต่ถอนหายใจออกมา ถึงแม้ร่างกายจักรกลของดีเซปติคอนจะไม่รู้สึกเหนื่อยล้า แต่การขุดทรายที่น่าเบื่อหน่ายและยาวนานเช่นนี้ก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย
เขาโบกมือสั่งให้หุ่นยนต์ต่อสู้ทั้งเจ็ดที่ล้อมรอบเขาถอยออกไป ซุนเฉิงก็ถอยหลังไปสองสามก้าวเช่นกัน จ้องมองก้อนหินที่เขาขุดขึ้นมาจากใต้เนินทรายอย่างตั้งใจ ซึ่งมันเป็นผลมาจากความพยายามอย่างมหาศาลของเขา
ก้อนหินก้อนนี้เป็นก้อนเดียวกับที่ซุนเฉิงเคยเห็นบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งมันถูกถ่ายภาพโดยนักสำรวจโซเวียตในอดีต โดยมีอักขระไซเบอร์ตรอนสลักอยู่บนนั้น
ก้อนหินตั้งตระหง่าน ตัดสินจากสีและลวดลายของมัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือหินแกรนิตขนาดมหึมา
สายตาของเขาหยุดอยู่ครู่หนึ่งตรงส่วนของหินที่มีอักขระไซเบอร์ตรอน ซึ่งมันมีลักษณะคล้ายกับดวงตาขนาดยักษ์สลักอยู่ ใบหน้าของซุนเฉิงเต็มไปด้วยความครุ่นคิด
ไม่น่าแปลกใจเลยที่นักสำรวจโซเวียตคนแรกที่ค้นพบมันจะคิดว่ามันเป็นของชนเผ่าแถวลอปนูร์ เพราะอักขระไซเบอร์ตรอนที่สลักไว้นั้นมีลักษณะคล้ายกับดวงตาขนาดใหญ่ สิ่งที่มันดูแปลกตามากกว่านั้น คงเป็นเรื่องที่มันถูกสลักไว้บนหินที่สูงประมาณสี่เมตรจากพื้นดิน
"หรือว่า...ความสูงระดับนี้จะถูกสลักโดยดีเซปติคอนที่เคยมาเยือนโลกเมื่อนานมาแล้ว และมาถึงยังสถานที่แห่งนี้? หรือว่า...มันอาจจะถูกทำขึ้นโดยพวกออโต้บอตส์กัน?"
ซุนเฉิงจำอักขระไซเบอร์ตรอนที่คล้ายกับดวงตาบนก้อนหินไม่ได้ เขาเคยถามบาริเคดมาก่อน และตามที่อีกฝ่ายบอกมา มันคืออักขระของเหล่าเอลเดอร์ส ซึ่งเป็นระบบการเขียนที่สร้างขึ้นโดยเหล่าผู้นำระดับสูงในช่วงสภาโบราณ มันเป็นภาษาที่ทั้งลึกลับและเก่าแก่ นอกจากเหล่าผู้นำและนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งจากดาวเคราะห์ไซเบอร์ตรอนแล้ว แทบจะไม่มีใครรู้ความหมายที่แท้จริงของมันเลย