MDB ตอนที่ 469 ชิงลงมือก่อน
ชูโกวตกใจจนแทบจะสติแตก และในชั่วพริบตาต่อมา รูม่านตาของเขาก็ขยายออกเพราะมีอีกคนปรากฏตัวในห้องโดยที่เขาไม่รู้ตัว
เขาไม่เคยพบกับชายคนนี้มาก่อน
แต่เขาเคยเห็นภาพวาดของเขา
ทันใดนั้น หัวใจของเขาก็เต้นรัว ความกลัวปรากฏไปทั่วใบหน้าของเขา
“หละ หลินจิน ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่!?”
เนื่องจากไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ชูโกวจึงพูดจาติด ๆ ขัด ๆ เขาคาดไม่ถึงว่า บุคคลที่ปรากฏตัวขึ้นในบ้านของเขาอย่างกะทันหันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลินจิน
คนหลังคอยสะกดรอยตามเขามาตลอดเวลา ดูเหมือนว่าความอดทนของเขาจะได้ผล เพราะเขาเพิ่งถูกพาเข้าไปในรังของชูโกว
หลินจินจิบชาที่เตรียมไว้บนโต๊ะแล้วยิ้ม
“อาจารย์ชู หัวหน้าห้องโถงแห่งความมืดของสมาคมผู้ประเมินมาร แม้ว่าเจ้าจะมีตำแหน่งที่สูงส่งถึงเพียงนั้น แต่ข้าก็ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะอาศัยอยู่ในสถานที่ที่ซอมซ่อเช่นนี้ บ้านหลังเล็ก ๆ แห่งนี้มีเพียงสองห้อง ช่างน่าสมเพชจริง ๆ”
นิ้วของชูโกวเริ่มสั่น
เขาไม่ใช่คนโง่
การเลื่อนตำแหน่งของเขาให้เป็นหัวหน้าห้องโถงแห่งความมืดเพิ่งเกิดขึ้นวันนี้เอง ไม่มีใครควรจะรู้เรื่องนี้เลยนอกจากกลุ่มของทูตดำและผู้อาวุโสเย่
แล้วหลินจินรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?
คำตอบนั้นก็ชัดเจนมาก หากอีกสามคนไม่ขายเขาออกไป ก็แสดงว่าหลินจินคงคอยสะกดรอยตามเขามาตลอด แม้แต่ตอนที่พวกเขากำลังทานอาหารเย็นอยู่
‘ทำไมเรื่องถึงกลายเป็นแบบนี้!? เขาทำได้อย่างไร!?’
ชูโกวไม่กล้าเดาคำตอบ เขารู้ว่าตอนนี้ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตราย และอาจมองไม่เห็นแสงสว่างของวันพรุ่งนี้
“ผะผู้ประเมินหลิน ระเรามาคุยกันดี ๆ เถอะ...”
ชูโกวพูดตะกุกตะกัก เพื่อร้องขอความเมตตา
แม้ชูโกวจะโหดร้าย แต่เขาก็กลัวความตายอย่างมาก
หลินจินไม่ได้ดำเนินการทันที หากเขาต้องการ เขาสามารถทำลายอวัยวะภายในของชูโกวได้ในทันทีที่เขายิงเข็มนั้นออกไปก่อนหน้านี้ ชายคนนี้ได้รับอนุญาตให้มีชีวิตอยู่ได้เพียงตอนนี้เท่านั้น เพราะหลินจินยังคงมีคำถามที่ต้องการคำตอบ
“บอกทุกสิ่งที่เจ้ารู้เกี่ยวกับสมาคมผู้ประเมินมารมาให้ข้า หากเจ้าคิดจะปกปิดความลับใด ๆ จากข้า หรือพยายามหลอกข้า เจ้าคงจะรู้ดีว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”
หลินจินเล่นกับถ้วยชาในมือของเขา แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะดูซอมซ่อ แต่สิ่งของหลายชิ้นในบ้านนี้ก็มีค่ามาก แม้แต่ถ้วยชาชิ้นนี้ก็เป็นสมบัติที่มีมูลค่าอย่างน้อยหลายร้อยเหรียญ
ดูเหมือนว่าอาจารย์ชูจะเป็นผู้ชายที่เพลิดเพลินกับสิ่งของฟุ่มเฟือย แม้ตัวเขาเองจะอยู่ในบ้านหลังโทรมก็ตาม
ชูโกวลังเล แม้ว่าเขาจะรู้หลายอย่างเกี่ยวกับสมาคมผู้ประเมินมาร แต่เขาก็รู้ถึงกฎขององค์กรเช่นกัน หากศัตรูได้ยินอะไรจากเขา เขาก็คงตายอย่างทรมาน
หลินจินแทงเข็มเงินเข้าไปในร่างของชูโกวด้วยรอยยิ้มเยาะ ในขณะนั้น เส้นเลือดเส้นหนึ่งของเขาปูดขึ้นมา
ความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสทำให้ชูโกวเหงื่อออกมากมาย ในขณะที่ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
มีสัตว์เลี้ยงของเขาอยู่ในร่างกายของเขา แต่ชูโกวไม่สามารถใช้พลังของพันธสัญญาโลหิตของมันได้ในตอนนี้ ราวกับว่ามันตายไปแล้ว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นฝีมือของหลินจิน
ในขณะที่ร่างกายของเขาสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ในที่สุด ชูโกวก็ตระหนักได้ว่าชีวิตของเขาอยู่ในมือของหลินจิน หากเขาต้องการมีชีวิตอยู่ต่อ เขาต้องให้ข้อมูลบางอย่าง ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจข้ามผ่านคืนนี้ไปได้
อย่างไรก็ตาม ชูโกวก็ตระหนักเช่นกันว่าเขาอาจไม่ได้รับการปล่อยตัวแม้จะเผยข้อมูลไปแล้วก็ตาม สิ่งสำคัญคือเขาสามารถซื้อเวลาได้ด้วยการพูดคุย แต่ถ้าเขาไม่พูด สิ่งที่รอเขาอยู่ก็คือความตายอย่างแน่นอน ดังนั้น ชูโกวจึงได้เปิดเผยความลับนี้ออกมาด้วยความกลัว
หลินจินตั้งใจฟังอย่างตั้งใจ เมื่อรวมกับสิ่งที่เขาได้ยินในห้องส่วนตัวของร้านอาหาร ตอนนี้หลินจินก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับสมาคมผู้ประเมินมารมากขึ้น
องค์กรนี้ใหญ่กว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก และรากฐานของมันลึกซึ้งกว่าที่เขาคาดไว้
ชูโกวเพิ่งจะกลายเป็นหัวหน้าห้องโถงแห่งความมืด เขารู้เพียงแค่ว่าผู้บริหารระดับสูงขององค์กรหลายคนอยู่ในเมืองเกลียวสวรรค์ หนึ่งในนั้นก็คือ ‘ทูตดำ’
สำหรับทูตขาวกับประมุขของสมาคมผู้ประเมินมารนั้น ชูโกวก็ไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน
คนเหล่านี้เป็นคนลึกลับอย่างเหลือเชื่อ แม้ว่าชูโกวจะได้พบกับทูตดำแล้ว แต่คนหลังกลับสวมหน้ากากผีสีดำ ดังนั้น เขาจึงไม่รู้ว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง อายุยังน้อยหรือแก่ชรากันแน่
อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยเขาก็รู้ที่ตั้งของสาขาหนึ่งของห้องโถงแห่งความมืดอยู่ในเมืองเกลียวสวรรค์
ชูโกวถูกบังคับให้ต้องคายข้อมูลทั้งหมดที่เขารู้ออกมา แต่กระบวนการนี้ไม่ได้ราบรื่นนัก หลินจินไม่แน่ใจว่าคำพูดของเขาเป็นความจริงหรือไม่? เท่าที่เขารู้ มันอาจเป็นกับดักที่วางไว้สำหรับคนอย่างเขาก็ได้
“พอแค่นั้นแหละ!”
หลินจินวางถ้วยชาลง เมื่อมองดูพระจันทร์ข้างนอก เขาจึงรู้ว่ามันดึกมากแล้ว และคืนนี้ยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก หลินจินไม่สามารถเสียเวลาที่นี่ต่อไปได้อีก
ตอนนี้เครื่องรางระเบิดสารพัดพิษของชูโกวอยู่ในความครอบครองของหลินจินแล้ว นี่เป็นสิ่งของที่ไม่ธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด และเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการหลินจิน
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ตกอยู่ในมือของเขาแล้ว
แถมเขายังได้เรียนรู้วิธีเปิดใช้งานเครื่องรางจากชูโกวอีกด้วย
หลินจินก้าวออกจากบ้านโดยไม่หันกลับไปมองชูโกวด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นเช่นนี้ เขาก็รู้สึกยินดีในใจโดยคิดว่าเขาเพิ่งหนีจากโศกนาฏกรรมมาได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อหลินจินอยู่ข้างนอก ชูโกวก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงในหัวของเขา และร่างกายของเขาก็ชักกระตุกก่อนจะล้มลงกับพื้น ก่อนจะสิ้นใจในเวลาต่อมา
เข็มเงินพุ่งออกมาจากร่างกายของเขา เจาะทะลุหน้าต่าง และกลับเข้าไปในแขนเสื้อของหลินจิน
เข็มเงินเหล่านี้เป็นของที่หลินจินสร้างขึ้นมา และพวกมันมีอยู่เพียงร้อยกว่าเล่มเท่านั้น
ตอนนี้ผู้วางแผน ชูโกว ถูกกำจัดไปเรียบร้อยแล้ว และหลินจินก็ไม่รู้สึกว่าเขาลงมือรุนแรงเกินไป เพราะถ้าเขาไม่ฆ่าชูโกว ก็จะเป็นชูโกวเองที่ฆ่าเขา
ที่พักอาศัยแห่งนี้เงียบสงบมากจนศพของชูโกวอาจพบได้เฉพาะตอนฟ้าสว่างเท่านั้น
หลินจินเองก็ไม่ได้พยายามซ่อนร่างของชูโกวด้วย เนื่องจากสมาคมผู้ประเมินมารตั้งใจที่จะเป็นศัตรูกับเขา ทำไมเขาไม่ประกาศสงครามที่นี่ และปล่อยให้เกมเริ่มต้นขึ้นกันล่ะ?
...
บ่อนการพนันเรียงรายอยู่ข้าง ๆ กันบนถนนในเมืองเกลียวสวรรค์ แม้ว่าข้างนอกจะดึกแล้ว แต่นักพนันหลายคนยังคงมารวมตัวกันรอบแสงเทียน เพลิดเพลินกับความตื่นเต้นของการพนัน
บนโต๊ะมีแท่งเงิน แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นชิ้น ๆ แต่ก็มีแท่งโลหะและแท่งทองด้วย ดูเหมือนว่าจะมีมูลค่าหลายเหรียญบนโต๊ะนี้ นักพนันที่เปลือยอกถือชามดินเผาสองใบเข้าด้วยกันในขณะที่เขย่าลูกเต๋าอย่างบ้าคลั่ง ชายหัวโล้นคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก
“เจ้าของร้านเว่ย กลับมาแล้ว”
“ขอคารวะ เจ้าของร้าน”
ลูกค้าหลายคนในร้านทักทายเขาในทันที แต่เจ้าของร้านหัวโล้นคนนี้กลับไม่กระตือรือร้นเท่าที่ควร เขาตะคอกใส่พวกเขา
“ตอนนี้ดึกมากแล้ว คืนนี้คงพอแค่นี้ก่อน พวกเจ้ากลับไปได้แล้ว!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ พนักงานรักษาความปลอดภัยของร้านก็เริ่มไล่ลูกค้าออกไป โดยรู้ว่าเจ้าของร้านมีงานมอบหมายให้พวกเขาทำ
“ไปรวบรวมพี่น้องของเรามาทั้งหมด!”
ไม่นาน ชายร่างกำยำกว่าสิบคนก็ถูกอัดแน่นอยู่ในห้องเล็ก ๆ นี้ แสงเทียนสลัว ๆ ไม่เพียงพอที่จะเผยให้เห็นใบหน้าของทุกคน เจ้าของร้านหัวโล้นอธิบายโดยไม่เสียเวลา
“เจ้านายจะออกเดินทางไกลในวันพรุ่งนี้ และข้าก็จะเดินทางไปด้วย เรายังต้องการคนอีกสองสามคนที่เก่งเรื่องการต่อสู้ ใครอยากไปกับพวกเราบ้าง?”
ชายฉกรรจ์เหล่านั้นต่างตกตะลึง และไม่มีใครพูดอะไรเลยอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เนื่องจากเจ้าของร้านกำลังจะออกไปปฏิบัติภารกิจ ความท้าทายนั้นต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน ดังนั้นการอยู่ที่นี่ดูเหมือนจะปลอดภัยกว่า
เจ้าของร้านหัวโล้นดูไม่สะทกสะท้านกับคำตอบของพวกเขา
“เนื่องจากไม่มีใครพูดอะไร ข้าจะเป็นคนเลือกเอง เหล่าซาน ออกมา” เมื่อเจ้าของร้านหัวโล้นกล่าว ชายผิวสีแทนในมุมหนึ่งพยักหน้า
“ขอรับ เจ้าของร้าน!”
“เหล่าเซว่ เจ้าด้วย”
“ขอรับ!”
“เอ๋อร์ฉิง เจ้าด้วย”
ชายหนุ่มพยักหน้า
“ในขณะที่เจ้านายและข้าไม่อยู่ พวกเจ้าช่วยกันดูแลร้านและอย่าก่อปัญหาใด ๆ แม้ว่าจะมีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้น ก็รอพวกเรากลับมาก่อน”
“เข้าใจแล้วขอรับ เจ้าของร้าน!”
ทันใดนั้น สายลมพัดมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ และเทียนในห้องก็ดับลงอย่างกะทันหัน
ทันใดนั้น ห้องก็มืดสนิท
เจ้าของร้านเว่ยกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็มีเสียงทึบ ๆ ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้เขานึกถึงเสียงร่างของมนุษย์ที่กระแทกลงกับพื้น...