บทที่ 41 สาวน้อยแสนหวานไป๋เยว่เอ๋อร์
สวี่ชิวเหวินยังค้นพบว่าคุณภาพโดยรวมของเด็กสาวในชั้นเรียนค่อนข้างสูง
เมื่อเขาเข้ามหาวิทยาลัยครั้งแรก เด็กสาวส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าจะแต่งหน้าอย่างไร แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังเห็นผู้หญิงสองสามคนที่มีรูปร่างหน้าตาหกหรือเจ็ดแต้ม แน่นอนว่าคะแนนเต็มคือสิบ
สวี่ชิวเหวินเชื่อว่าระบบการให้คะแนน 100 แต้มเหมาะสำหรับสาวสวยเหล่านั้นโดยเฉพาะ
เพราะระบบสิบแต้มยังไม่ละเอียดเพียงพอ เช่น หญิงสาวที่มีคะแนน 8 เท่ากัน อาจยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ ระบบร้อยแต้มสามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์นี้ได้
สวี่ชิวเหวินมองไปยังเด็กสาวอย่างยับยั้งชั่งใจ เขาไม่เหมือนหยางไป่ซานและหลิวจื้อฮ่าวที่มีดวงตาสดใสจนน่ากลัว
จินฮ่าวหนานเตือนพวกเขาสองครั้งด้วย แต่เนื่องจากไม่มีผล เขาจึงหยุดพูดถึงมัน
ผู้ชายกลุ่มหนึ่งมองดูเด็กสาวในชั้นเรียนอย่างหิวโหยและแอบมองหาเหยื่อ
ในเวลานี้ จู่ๆหลายคนก็เดินเข้ามาจากประตูหน้าห้องเรียน ซึ่งดึงดูดความสนใจของเด็กผู้ชายทุกคนในทันที
สวี่ชิวเหวินก็ตกตะลึงเช่นกันเมื่อเห็นการปรากฏตัวของหญิงสาวคนหนึ่ง
เสิ่นหมินเหยา!
ภรรยาคนที่สองของเขาในชีวิตก่อน
เธอยังเป็นนักศึกษาในสาขานี้ด้วย?
สวี่ชิวเหวินรู้สึกเหลือเชื่อ
อันที่จริง เขาไม่รู้จักวิชาเอกของเสิ่นหมินเหยาในชีวิตก่อนหน้านี้ เขาถามหลายครั้งแต่เธอไม่ยอมบอก เขาจึงหยุดถามไปโดยปริยาย
สวี่ชิวเหวินจึงไม่รู้ว่าเธอมาจากมหาวิทยาลัยอะไรหรือสาขาวิชาเอกไหน
หากรู้ เขาคงไม่เลือกวิชาเอกเดียวกันกับเธอ
เมื่อเห็นเสิ่นหมินเหยาเข้ามาในห้องเรียน ครู่หนึ่งที่สวี่ชิวเหวินรู้สึกอยากวิ่งหนี
โชคดีที่เขาควบคุมตัวเองได้
เนื่องจากทั้งสองมาจากสาขาวิชาเดียวกันจึงต้องรู้จักและข้องเกี่ยวกัน ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงพวกเขาได้
สวี่ชิวเหวินหวังว่าวันนั้นจะเป็นภายหลัง
สิ่งที่เขาทำได้คือพยายามเก็บตัวให้มากที่สุดและไม่ดึงดูดความสนใจของเสิ่นหมินเหยา
แต่สวี่ชิวเหวินเพิกเฉยต่อรูปร่างหน้าตาของตัวเอง
รูปลักษณ์ของเขาได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นด้วยเสื้อผ้าและทรงผมในชีวิตนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สวี่ชิวเหวินอาจไม่ได้สังเกต แต่ในชีวิตนี้เขาแสดงความมั่นใจจากภายในสู่ภายนอก
ผู้ชายอย่างเขามักจะโดดเด่นเป็นพิเศษในกลุ่มเด็กผู้ชายที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย
ดังนั้นเสิ่นหมินเหยาจึงสังเกตเห็นเขาทันทีที่เธอเข้าห้องเรียน
ที่สำคัญกว่านั้น จู่ๆซือเซียงหมิงก็ตะโกนออกมาอย่างกะทันหัน ทำให้เขาไม่ทันระวัง
“เยว่เอ๋อร์ เราอยู่ที่นี่”
มีเด็กสาวสามคนอยู่ข้างๆเสิ่นหมินเหยา หนึ่งในนั้นคือ “เยว่เอ๋อร์” จากปากของซือเซียงหมิง
หลังจากได้ยินเสียงของซือเซียงหมิง หญิงสาวก็มองมาและยิ้มเบาๆ
รูปร่างหน้าตาที่สวยงามและรอยยิ้มแสนหวานของเธอทำให้เด็กผู้ชายบางประเภทเป็นลมได้อย่างง่ายดาย
จุดสนใจของหยางไป่ซานและหลิวจื้อฮ่าวในเวลานี้ไม่ใช่ความสวยงามของหญิงสาว แต่ทำไมซือเซียงหมิงถึงรู้จักเธอ?
ซือเซียงหมิงรู้สึกถึงการจ้องมองของเพื่อนร่วมห้อง และในที่สุดเขาก็อดหัวเราะไม่ได้ “เฮ้ เยว่เอ๋อร์เป็นคู่หมั้นของฉัน”
“อะไรนะ?”
“ไป๋เยว่เอ๋อร์เป็นคู่หมั้นของคุณ?”
หยางไป่ซานและหลิวจื้อฮ่าวแตกสลายเป็นชิ้นๆทันที
พวกเขาทั้งสองไม่สามารถยอมรับความจริงข้อนี้ได้เลย
หวังจวิ้นไฉยังมองไปที่ซือเซียงหมิงและไป๋เยว่เอ๋อร์ด้วยสีหน้าประหลาดใจ และเกือบจะพูดว่า “แม่งเอ๊ย”
ในวันแรกของมหาลัย ซือเซียงหมิงบอกทุกคนว่าเขามีคู่หมั้น แต่ไม่มีใครจริงจังกับเรื่องนี้
แม้ซือเซียงหมิงจะยืนกรานว่าคู่หมั้นของเขาสวยมาก แต่ก็ไม่มีใครเชื่อจนกว่าพวกเขาจะได้พบเธอด้วยตนเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หวังจวิ้นไฉคิดเสมอว่าซือเซียงหมิงโง่เขลาและเชื่อว่าความงามในดวงตาของเขาคือระดับความงามของหมู่บ้าน ใครจะคิดว่าคู่หมั้นของเขาไม่เพียงแค่เป็นสาวงามเท่านั้น แต่ยังไม่ได้เลวร้ายไปกว่าซ่งซือหยูอีกด้วย
หวังจวิ้นไฉน่าจะเป็นคนที่หดหู่ที่สุดในหอพัก 412 เวลานี้!
นอกจากเสิ่นหมินเหยาและไป๋เยว่เอ๋อร์แล้ว ยังมีผู้หญิงอีกสองคนอยู่ข้างหลังพวกเธอ
เด็กสาวคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าเรียบๆ โดยก้มหัวลง และมีผมหน้ายาวมากจนปิดเกือบครึ่งหน้า สวี่ชิวเหวินเคยพบเธอมาก่อนและรู้ว่าชื่อของเธอคือ “เว่ยเว่ย”
คนสุดท้ายเป็นหญิงสาวสวมแว่นตาขอบดำและผมหางม้า เธอดูไม่มีอะไรพิเศษและให้ความรู้สึกเหมือนผู้หญิงธรรมดาๆ ชื่อคือซูหยานหยานซึ่งสวี่ชิวเหวินทราบในภายหลัง
เดาได้ไม่ยากว่าเสิ่นหมินเหยา ไป๋เยว่เอ๋อร์ เว่ยเว่ย และซูหยานหยานอยู่ในหอพักเดียวกัน
หลังจากที่เด็กสาวทั้งสี่เข้ามาในห้องเรียน พวกเขาก็นั่งลงด้านหลังเยื้องไปทางซ้ายของสวี่ชิวเหวินและคนอื่นๆ
เมื่อพวกเขาเดินผ่านหน้าสวี่ชิวเหวินเมื่อสักครู่นี้ เขาก็ตรวจดูชุดของเสิ่นหมินเหยาอย่างระมัดระวัง
ผมของเธอยังคงเป็นลอนอยู่ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนโดยเฉพาะในหมู่เด็กสาว
ท่อนบนสวมแจ็กเก็ตหนังสีดำเซ็กซี่ แต่ก็ดีกว่าครั้งแรกที่เห็นมาก อย่างน้อยสะดือก็ไม่โผล่ออกมา ส่วนตัวท่อนล่างเป็นกางเกงยีนส์รัดรูป
ไป๋เยว่เอ๋อ คู่หมั้นของซือเซียงหมิงแต่งตัวเหมือนนักศึกษาหญิงธรรมดาๆ ไม่มีอะไรพิเศษ
สิ่งที่ทำให้เธอพิเศษจริงๆคือรอยยิ้มแสนหวาน ให้ความรู้สึกเหมือนได้กัดลูกแพร์หวานๆในช่วงกลางฤดูร้อน
สวี่ชิวเหวินมองไปที่ไป๋เยว่เอ๋อร์ และรู้สึกว่าเธอดูเหมือนอากินะ นากาโมริ นักร้องหญิงของประเทศญี่ปุ่น
แต่มีความแตกต่างเล็กน้อยในดวงตาซึ่งส่งผลให้เกิดบรรยากาศที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
เด็กสาวชื่อเว่ยเว่ยพันตัวเองแน่นตั้งแต่หัวจรดเท้า เหตุผลที่เขาพูดแบบนี้เพราะเขาไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลยแม้ว่าเธอจะเดินผ่านไปก็ตาม
เธอไม่สูงเกินไป ประมาณเดียวกับเสิ่นหมินเหยา อาจจะราวๆ 1.65 เมตร
ไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงคนสุดท้าย ซูหยานหยาน แว่นตาขอบดำและผมหางม้า ไม่มีอะไรจะเรียบง่ายไปกว่านี้แล้ว
เช่นเดียวกับหยางไป่ซานและหลิวจื้อฮ่าว เขาจะไม่ด่วนสรุปทันทีหลังจากมองพวกเขาเพียงครั้งเดียว
สวี่ชิวเหวินค้นพบรายละเอียดบางอย่าง
ผิวของหญิงสาวนั้นสดใสและขาวมาก รูปร่างจมูกและขนาดริมฝีปากก็ดีมากเช่นกัน
สวี่ชิวเหวินอยากรู้ว่าเธอจะดูดีขึ้นไหมถ้าถอดแว่นกรอบดำอันใหญ่ออกแล้วปล่อยผมที่มัดลงมา
และจุดสำคัญอีกประการหนึ่งคือมิติหน้าอกของหญิงสาวนั้นน่ากลัวจริงๆ
เด็กสาวคนนั้นดูสูงเพียง 1.6 เมตร หน้าอกเชิดขึ้น และเขาเดาว่าอาจจะถึง D
หลังจากสาวๆนั่งลงที่ด้านหลังเยื้องไปทางซ้าย สวี่ชิวเหวินก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองเสิ่นหมินเหยาอย่างเงียบๆ
เขายังไม่เข้าใจว่าทำไมเสิ่นหมินเหยาถึงแตกต่างจากชีวิตก่อนหน้าของเธอตอนที่อยู่ในมหาวิทยาลัย ราวกับว่าพวกเขาเป็นสองคนที่แตกต่างกัน
ผลก็คือ ทันทีที่หันกลับไป เขาเห็นเสิ่นหมินเหยากำลังมองมาที่เขา และดวงตาของพวกเขาก็สบกันด้วยซ้ำ
สวี่ชิวเหวินหันศีรษะกลับมาทันทีราวกับเห็นเสือ ยืดตัวตรงพร้อมกับมองไปข้างหน้า
โชคดีที่ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว อาจารย์ที่ปรึกษาก็เดินเข้าห้องเรียนตรงเวลา
ที่ปรึกษาของสวี่ชิวเหวินคืออาจารย์คนเดียวกับตอนลงทะเบียน เขามีผมสีขาวและดูเหมือนชายชราอายุหกสิบเศษ
ทุกคนคุ้นเคยกับเขาเพราะเคยเจอเมื่อตอนลงทะเบียนมาก่อน
อาจารย์ที่ปรึกษาแนะนำตัวเอง แซ่ของเขาคือกวน และชื่อคือฉงซาน
กวนฉงซานไม่เพียงแค่แนะนำตัวเองเท่านั้น แต่ยังให้คำแนะนำสั้นๆเกี่ยวกับสถาบันเจียงหลิงและประวัติความเป็นมา ต่อมาก็จัดแจงงานและส่งต่อประกาศของมหาวิทยาลัย
เช่นการฝึกทหารจะเริ่มบ่ายโมงของวันพรุ่งนี้ เวลานั้นตัวแทนชั้นเรียนตงจุนจะแจ้งให้หัวหน้าหอพักทราบถึงสถานที่รวมตัวสำหรับการฝึกทหาร
นอกจากนี้ยังมีเรื่องการขอเงินทุนสำหรับนักศึกษายากจนด้วย กวนฉงซานเตือนนักศึกษาที่ต้องการสมัครให้เตรียมเอกสารทั้งหมดโดยเร็วที่สุด
ในขณะที่กวนฉงซานกำลังพูด นักศึกษายังคงเข้ามาในห้องเรียนอย่างต่อเนื่องทั้งชายและหญิง
กวนฉงซานไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์นักศึกษาที่มาสายและปล่อยให้พวกเขาเข้ามาด้วยการโบกมือ ทำให้นักศึกษาที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยรู้สึกแตกต่างออกไปมาก
ถ้าเป็นสมัยมัธยมปลาย และคนที่ยืนอยู่บนแท่นคือครูประจำชั้น นักเรียนที่มาสายจะต้องพูดอะไรบางอย่างกับครูประจำชั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อาจเป็นเพราะทัศนคติที่เรียบง่ายของกวนฉงซาน นักศึกษาหญิงจำนวนมากจึงเริ่มกระซิบกระซาบกัน ซึ่งค่อยๆทำให้ห้องเรียนที่เงียบสงบแต่เดิมกลายเป็นเสียงดัง
อย่างไรก็ตาม กวนฉงซานยังคงเพิกเฉยต่อพวกเขา และหลังจากจัดการสิ่งที่ต้องพูดทั้งหมดแล้ว เขาก็จากไปอย่างรวดเร็ว
/////