บทที่ 14
ในทุ่งนาเสียงเครื่องจักรคำรามลั่นทุ่ง ชาวบ้านต่างทำงานไปพลางพูดคุยกันไป ขณะที่กองหญ้าและต้นไม้ป่าที่พูนไว้บนคันนากำลังสูงขึ้นเรื่อยๆ ดินสีน้ำตาลที่ไม่ได้ไถมานานมีกลิ่นชื้นโชยออกมา สัมผัสกับแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ส่องประกายเจิดจ้า
หมู่บ้านกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
หวังลี่เฟินเปิดห้องเก็บของที่มุมลานบ้านซึ่งปิดตายเป็นเวลานานแล้ว มันเป็นห้องที่สร้างขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อนตอนเธอเพิ่งคลอดลูกสาว หวังลี่เฟินจำได้แม่นว่าในปีนั้นซ่งโหย่วเต๋อก็รับอาสาร่วมกับพี่น้องนำดินเหนียวมาปั้น ตัดฟางข้าว แล้วตีอิฐทีละก้อนเพื่อสร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมาอย่างช้าๆ
ตอนแรกที่นี่เป็นบ้านหลังหลักของพวกเขา กระทั่งต่อมาเมื่อลูกๆ เริ่มเติบโตอายุมากขึ้น บ้านหลังใหม่ที่ทำจากอิฐและกระเบื้องก็สร้างเสร็จ ห้องนี้จึงกลายสภาพเป็นที่เก็บข้าวสารและฟ่อนฟาง จวบจนกระทั่งเลิกทำนาห้องนี้ก็กลายเป็นห้องเก็บของไปโดยปริยาย
เฉียวเฉียววิ่งเข้ามา "ย่า! ย่า!"
หวังลี่เฟินเพิ่งหยิบกระบุงใส่ของออกมาจากห้อง เมื่อได้ยินเสียงก็ตอบ "เฉียวเฉียวว่าไงลูก"
ไม่นานนัก เฉียวเฉียวก็โผล่หัวที่ตัดทรงสกินเฮดมาให้ย่าตกใจเล่น "ย่า พี่สาวบอกเดี๋ยวจะพาไปทำนา ขอยืมตะกร้าเล็กๆ หน่อย"
หวังลี่เฟินหัวเราะคิกคัก แล้วหยิบตะกร้าเล็กๆ ให้เขา จากนั้นก็คิดอยู่ชั่วครู่แล้วฉีกเชือกฟางมาพันหลายๆ ทบ ก่อนจะมัดเป็นปมไว้ที่เอวหลานชายเพื่อกระชับกางเกงไม่ให้หลุดก้น "เฉียวเฉียวของเราจะได้ทำนาแล้ว"
ซ่งเฉียวเชิดอกอย่างภาคภูมิใจ พอสายตาเหลือบไปเห็นอะไรแปลกๆ ก็อดสงสัยถามไม่ได้ "ยาย หนึ่ง สอง สาม... แปด เก้า... แปดอัน... เอาไว้ทำอะไรเหรอ"
"อันนี้เหรอ อันนี้เอาไว้ให้แม่ไก่ฟักไข่"
ตาเฉียวเฉียวเป็นประกาย "เฉียวเฉียวก็อยากฟักไข่"
หวังลี่เฟินหัวเราะยิ้มในใจ เด็กคนนี้มักชอบทำอะไรน่ารักเหมือนเด็กสองสามขวบอยู่เรื่อย
โชคดีที่เด็กเล็กชอบเล่นตามเด็กโต สมัยก่อนซ่งเฉียวอายุสามขวบก็ชอบเล่นตามพี่สาวที่อายุแปดขวบแล้ว แต่พอเวลานี้ซ่งเฉียวอายุสิบแปดแล้ว...... คงไม่รู้จะหาเพื่อนเล่นที่ไหนให้เหมาะกับตัวเองได้ ดังนั้นควรหาเด็กที่โตกว่ามาเล่นด้วยเผื่อสมองเขาจะเริ่มมีพัฒนาการมากขึ้น
"แล้วหลานจะไปปลูกพืชกับพี่สาว หรือกลับมาฟักไข่ไก่กับย่า"
คำถามแบบนี้สำหรับซ่งเฉียวค่อนข้างยากเกินไป เขาคิดอยู่นาน สุดท้ายก็มองไปทางบ้าน "ผมจะไปปลูกพืชกับพี่สาว" แต่พอตอนจะไปจริงก็ยังทำท่าลังเลเล็กน้อย "ย่า ย่าคุยกับแม่ไก่ อย่าเพิ่งฟักเร็วเกินไปนะ รอให้ผมกลับมาก่อน"
จนกระทั่งเจ้าตัวแสบออกไปแล้ว หวังลี่เฟินจึงขนกระด้งสี่ใบไปวางไว้ในโกดัง ด้านล่างรองด้วยหญ้าแห้งหนาๆ แล้วนับไข่ยี่สิบถึงสามสิบฟองใส่ลงไปในแต่ละกระด้ง จากนั้นก็ไปจับแม่ไก่สี่ตัวจากกรงมาขังไว้ข้างในโกดัง
ไก่บ้านชนบทตัวผอม ขาเรียวยาว จิกก็เจ็บ ปกติจะจับก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไก่ที่เนื้อแน่นในปัจจุบันสมองมันจะเฉื่อยชา ไล่ไปสองก้าวก็ขี้เกียจวิ่งพาลนั่งลงเสียดื้อๆ แต่ไม่ว่าจะไข่หรือกินก็สู้ไก่บ้านไม่ได้ ชนะแค่เรื่องขนาดตัว แล้วเพื่อที่จะจับพวกมัน หวังลี่เฟินจึงตั้งใจไม่เปิดกรงไก่ตั้งแต่เช้าตรู่ ข้างในส่งเสียง "กระต๊าก กระต๊าก" มาทั้งเช้า
แม่ไก่สี่ตัวถูกใส่ในกระด้งที่มีรูพรุนแล้วคว่ำกระด้งอีกใบทับไว้ปิดให้แน่น ทนแบบนี้ไปไม่กี่วันแม่ไก่ก็จะเริ่มเตรียมฟักไข่ รอประมาณยี่สิบถึงสามสิบวันลูกไก่ก็จะเจาะเปลือกออกมา ช่วงนั้นจะพอดีกับตอนปลายเดือนมีนาคม อากาศก็อบอุ่น ทุกอย่างเจริญเติบโต เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการเติบโตของลูกไก่
หลังจากซ่งถานจัดการต้นโอ๊กเป็นเวลากว่าสองวันเต็มๆ วันนี้ก็จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนแปลงเจ็ดแปลงวันนี้เหลือแค่สองแปลงสุดท้ายที่ยังว่างเปล่า ซ่งถานเห็นสภาพอากาศไม่เลวนัก จึงตั้งใจพาซ่งเฉียวไปหว่านเมล็ดถั่วม่วง พลางคิดในใจ ‘สองสามวันก่อนตอนกระตุ้นพลังลมปราณครั้งแรก ฉันไม่ได้สังเกตเลยว่าเมล็ดพันธุ์พวกนี้ก็ได้รับพลังจิตวิญญาณไปด้วย จนตอนนี้เกือบจะงอกออกมาแล้ว’
อู่หลานพอได้ยินลูกสาวมาบอกว่าจะเตรียมหว่านเมล็ดพันธุ์ ในใจยังคงลังเล "ช่วงนี้อากาศตอนเช้าและเย็นยังหนาวมากเลยนะลูก..." อุณหภูมิแตกต่างกันมาก อาจทำให้ต้นอ่อนตายได้ง่ายๆ อย่างน้อยก็ควรจะรออีกครึ่งเดือน
น่าเสียดายที่ซ่งถานมีประสบการณ์ทำไร่ในโลกนี้ยังไม่มากพอ จึงไม่รู้ว่าสำหรับพืชที่นี่ล้วนต้องการพลังวิญญาณมากน้อยแค่ไหน เลยอาจจะเผลอกระตุ้นพลังลมปราณเกินไปจนส่งผลกระทบให้เมล็ดพันธุ์พวกนี้เจริญเติบโตไวกว่าปกติไปมาก แต่หากรออีกถึงสองวันก็กลัวว่าพลังจิตวิญญาณในเมล็ดพันธุ์จะเหือดแห้งไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงแสดงความดื้อรั้น "แม่ ถั่วม่วงไม่ใช่ข้าวสารนะ จะไปเรื่องมากอะไรนักหนา มันต้องอยู่ได้แน่ๆ ไม่ตายหรอก"
แล้วก็ยื่นมือเรียก "เฉียวเฉียว เมล็ดพันธุ์พร้อมหรือยัง ถ้าพร้อมแล้วเราไปที่ไร่กันเถอะ"
ซ่งเฉียวไม่สนใจว่าจะเป็นฤดูอะไรหรือว่าจะงอกเมื่อไหร่ เขานำถุงใหญ่ๆ ที่เต็มไปด้วยเมล็ดถั่วม่วงอ่อนซึ่งผสมกับทราย พาดไว้กับไหล่เตรียมพร้อมปฏิบัติภารกิจอย่างเต็มที่
เขาดูยินดีและเต็มไปด้วยความคาดหวัง "พี่สาว วันนี้ผมจะปลูกผัก"
"เฉียวเฉียวเก่งมาก พี่สาวรู้ว่าหนูจะปลูกได้"
พี่น้องทั้งสองจึงออกจากบ้านไปเหมือนคนไร้หัวใจที่ไม่ได้ฟังเสียงห้ามปรามจากแม่เธอ
เมื่อยืนอยู่บนไร่ กลิ่นคาวของดินก็พัดมาปะทะจมูก เนื่องจากดินที่ถูกไถกลับด้านยังคงพลิกคว่ำอยู่ และยังมองเห็นหญ้าป่าที่งอกรากสีขาวอยู่ภายใน
ซ่งถานกินอาหารบ้านเกิดมาหลายวันแล้วแม้จะยอมรับว่ารสชาติดีกว่าในเมืองมากมายนัก เนื่องจากฝีมือของอู่หลานก็ต้องบอกว่าไม่มีอะไรจะติได้ แต่เมื่อพลังลมปราณของเธอพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งทนต่อสิ่งเจือปนไม่ได้มากขึ้นเท่านั้น สิ่งที่กินเข้าไปทุกวันหลังจากฝึกฝนทั้งคืน วันรุ่งขึ้นก็ยังต้องไปเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายจากสิ่งสกปรกเจือปนเหล่านั้นอีก...
โอ๊ย…
โดยสรุปแล้วไม่ได้เกี่ยวข้องกับนักบำเพ็ญเพียรที่กินลมกินน้ำและมีร่างกายใสสะอาดราวแก้วแม้แต่น้อย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ซ่งถานก็รู้สึกเร่งรีบขึ้นมา เมล็ดพันธุ์สองถุงใหญ่ที่ถืออยู่ในมือก็อดใจรอที่จะงอกงามไม่ไหวเช่นกัน แม้จะมองผ่านถุงก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังจิตวิญญาณที่กระฉับกระเฉงของเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น ซ่งถานไม่ลังเลอีกต่อไป เธอหยิบเมล็ดพันธุ์ขึ้นมาหนึ่งกำแล้วโปรยออกไปอย่างรวดเร็ว เมล็ดพันธุ์ที่เปียกชื้นหลังจากแช่น้ำก็โปรยปรายลงบนดินอย่างเงียบๆ และกลมกลืนไปกับดินสีน้ำตาลอย่างรวดเร็วจนยากที่จะแยกออกด้วยตาเปล่า
พื้นผิวที่ไม่มีใครสังเกตเห็น พลังชีวิตอันทะเยอทะยานก็พุ่งพล่านออกมา เมล็ดพันธุ์ที่ไม่ทันสังเกตก็เริ่มแตกออกจากด้านในเป็นรอยแยกเล็กๆ ทีละเส้น รอเพียงน้ำค้างยามเช้าที่ชุ่มฉ่ำและแสงแดดที่เหมาะสม ไม่จำเป็นต้องกลบดิน พวกมันก็สามารถเจริญเติบโตได้อย่างอิสระและอุดมสมบูรณ์
ความมีชีวิตชีวาอันล้นเหลือนี้ทำให้คนที่จ้องมองรู้สึกสงบสุขมาก ซ่งถานก้มลงดูเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นแล้วตัดสินใจว่าเมื่อหว่านเสร็จ จะใช้ประโยชน์จากความร้อนในตอนกลางวันแอบขอนำเครื่องพ่นหมอกมาเพิ่มเติมเพื่อกดเมล็ดพันธุ์ลงไปในดิน
เพียงหนึ่งเดือนต่อมา รับประกันที่นี่จะมีทุ่งสีม่วงบานสะพรั่งเป็นผืนใหญ่
ก้าวแรกในการคืนทุนของเธอเริ่มต้นจากเมล็ดพันธุ์ถั่วม่วงเหล่านี้ และด้วยความเชื่อมั่นที่จะคืนทุนได้โดยไว ซ่งถานจึงหว่านเมล็ดพันธุ์เสร็จในเวลาไม่นานนัก จากนั้นก็เตรียมย้ายไปแปลงถัดไป แต่จังหวะนั้นเธอเหลือบไปเห็นเฉียวเฉียวซึ่งหมอบอยู่ที่คันนาพอดี ในใจก็นึกสงสัยว่าน้องชายเธอกำลังตรวจสอบเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นอย่างละเอียดเพื่ออะไร
“เฉียวเฉียว หนูทำอะไรอยู่”
ปรากฏว่าเฉียวเฉียวตอบกลับมาอย่างจริงจังว่า “พี่สาว หว่านแบบนั้นไม่ได้นะมันต้องขุดหลุม ใส่เมล็ดพันธุ์ทีละสองเมล็ดแล้วกลบดิน”
ซ่งถานตกใจไปครู่หนึ่ง แล้วก็คิดได้ในทันทีว่านั่นมันไม่ใช่วิธีปลูกข้าวโพดหรอกเหรอ
สรุปคือเฉียวเฉียวรู้จักแต่การปลูกข้าวโพดเท่านั้นเนี่ยนะ! แล้วเมล็ดพันธุ์เป็นถุงเมื่อไหร่จะเสร็จกัน!