ตอนที่ 136 ไร้ซึ่งอิสระ!
แม้จะไม่มีความก้าวหน้าในวิชามังกรแท้ แต่คืนนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีสิ่งใดสำเร็จเลย
ด้วยโอสถสามดาวสองเม็ด ทำให้ร่างกายของหลัวเฉิงแข็งแกร่งขึ้นอย่างชัดเจน
การหายใจเข้าของเขาเพิ่มมากขึ้นและมีพลัง ระหว่างหายใจเขารู้สึกว่าปอดตนนั้นคล้ายดั่งถุงลมขนาดใหญ่ที่กักเก็บอากาศได้ปริมาณมาก อีกทั้งมวลกระดูกในร่างก็ยังรู้สึกชาเล็กน้อย
“ดูเหมือนว่า คงอีกไม่นานที่ข้าจะทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสี่!”
ครั้นนึกได้เช่นนี้ ดวงตาของหลัวเฉิงก็เผยให้เห็นถึงความสุขล้นพ้น
ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสี่นั้น ปราณแท้ของผู้ฝึกยุทธ์จะแทรกซึมเข้าสู่กระดูก ตัดต่อและชะล้างไขกระดูก ทำให้ไขกระดูกบริสุทธิ์ดุจน้ำแข็งค้าง ซึ่งมีพลังเทียบเท่ากับวัวเก้าตัวและเสือสองตัว!
เมื่อฝึกฝนมาจนถึงขั้นนี้ ร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งพลังโจมตีและการป้องกันจะเพิ่มขึ้นอย่างทวีมหาศาล!
เมื่อเห็นว่ายามนี้เป็นเวลาเช้า หลัวเฉิงก็จัดเตียงแล้วเดินออกไปข้างนอก
“ศิษย์พี่หลัวเฉิง!”
ศิษย์บำรุงสำนักคนใหม่สองคนเดินผ่านมา และทำความเคารพด้วยใบหน้าแข็งทื่อเมื่อเห็นหลัวเฉิง
ในใจพวกเขานั้นต่างรู้สึกเหยียดหยาม เพราะหลัวเฉิงเป็นเพียงผู้ปลุกวิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมาเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้เห็นเหตุการณ์เมื่อวานนี้ พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะโอหังต่อหน้าหลัวเฉิงเลยแม้แต่น้อย
หลัวเฉิงพยักหน้าแล้วเดินออกไป แต่ยังไม่ไกลนักก็พบกับจางเหลียน
จางเหลียนเดินเข้ามาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ข้าจะพาเจ้าไปเดินดูรอบๆ จะได้รู้จักมักคุ้นกับสถานที่ที่เจ้าจะต้องรับผิดชอบ”
“ตกลง!”
ทั้งสองเดินลึกเข้าไปในอาคารที่ซับซ้อนมากขึ้น
ระหว่างทาง จางเหลียนได้แนะนำหลายสิ่งอย่างเกี่ยวกับศิษย์บำรุงสำนักให้หลัวเฉิงฟัง
มีศิษย์บำรุงสำนักของสำนักซวนหยวนมากกว่าแสนคน และพวกเขาจะแบ่งออกเป็นพื้นที่ตามยอดเขาที่พวกเขาอาศัยอยู่
ยอดเขาที่พวกเขาอยู่นั้นเรียกว่ายอดเขาจื่ออวิ๋น ซึ่งมีศิษย์บำรุงสำนักมากกว่าสามพันคนที่รับผิดชอบด้านอาหารและงานอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกศิษย์และผู้อาวุโสฝ่ายนอกในบริเวณใกล้เคียง การดูแลเรื่องสมุนไพร การเลี้ยงสัตว์อสูรและงานบ้านทั่วไป
สรุปก็คือ ศิษย์บำรุงสำนักมีหน้าที่เป็นเพียงคนรับใช้สำนักเท่านั้น
หลัวเฉิงถึงกับก่นด่าในใจลับๆ นี่มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนรับใช้ในตระกูลเขาแม้แต่น้อย
จางเหลียนยิ้มแล้วกล่าวว่า “แม้มันจะเป็นงานหนัก แต่ค่าตอบแทนนั้นดีทีเดียว”
“นอกเหนือจากเคล็ดวิชาฝึกปราณแล้ว ศิษย์บำรุงสำนักยังได้รับโอสถเลือดลมตามระดับฝึกฝนของตนในทุกๆ เดือนอีกด้วย ทั้งยังมีผู้อาวุโสมาคอยสั่งสอนในทุกเดือน! แม้เจ้าจะไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเขตแดนลึกลับ และถูกขับออกจากสำนักภายในสามปี ก็ยังไม่มีผู้ใดกล้าคิดจะดูถูกแม้แต่น้อย”
หลัวเฉิงพยักหน้า
ด้วยตำแหน่งศิษย์ของสำนักซวนหยวน จะไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกไม่ว่าไปหนแห่งไหนก็ตาม
“ศิษย์พี่จางเหลียน ข้าจะสามารถล่าสัตว์อสูรได้ที่ไหน?”
หลัวเฉิงนึกถึงวิชามังกรแท้จึงรีบเอ่ยถาม
หากต้องการทะลวงระดับของวิชามังกรแท้ เขาจำต้องกลืนวิญญาณสัตว์อสูร
“ล่าสัตว์อสูรงั้นรึ? ข้าเกรงว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากศิษย์บำรุงสำนักไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากสำนักไปตามอำเภอใจ”
จางเหลียนส่ายศีรษะขณะทอดสายตามองยังหุบเขาหนึ่งจากระยะไกลที่ซุ่มซ่อนอยู่ใต้เมฆหมอกและกล่าวด้วยความอิจฉา
“ข้าอิจฉาศิษย์ฝ่ายนอกเหล่านั้นจริงๆ ตราบใดที่พวกเขาทำภารกิจของสำนักบรรลุในทุกเดือน พวกเขาจะสามารถออกไปฝึกฝนภายนอกได้ ช่างต่างจากเราที่ไร้ซึ่งอิสระ”
“เป็นเช่นนี้เองหรือ...”
หลัวเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
ตอนนี้การที่จะทำให้วิชามังกรแท้เลื่อนระดับ กลับกลายเป็นเรื่องยากขึ้นมาเสียแล้ว
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังสนทนาอยู่นั้น ก็ได้เดินลัดเลาะไปตามถนนในเชิงเขา ไม่นาน จัตุรัสหยกสีขาวก็ปรากฏขึ้นมาในคลองจักษุ
“ศิษย์พี่จางเหลียน!”
“ไม่ทราบว่าคนผู้นี้คือ?”
ศิษย์บำรุงสำนักสามคนกำลังทำความสะอาดเส้นทางบนหุบเขา เมื่อเห็นว่าผู้ที่มาคือจางเหลียน จึงรีบเข้ามาหาแล้วกล่าวทักทายทันที จากนั้นมองยังหลัวเฉิงด้วยสีน่าสงสัย
จางเหลียนรีบแนะนำว่า “นี่คือศิษย์พี่หลัวเฉิง เขาจะเข้ามาทำหน้าที่แทนหลี่ฮุ่ยนับแต่นี้ไป”
“คำนับศิษย์พี่หลัวเฉิง!”
“สวัสดีศิษย์พี่หลัวเฉิง!”
ทั้งสามคนคำนับหลัวเฉิงอย่างกระตือรือร้นทันที
สำนักซวนหยวนมีศิษย์บำรุงสำนักหลายแสนคน ซึ่งกำลังยุ่งอยู่กับการฝึกฝนของตนเอง ดังนั้นจึงเป็นปกติที่พวกเขาจะขี้เกียจและไม่อยากทำหน้าที่ของศิษย์บำรุงสำนัก
ซึ่งผู้มีหน้าที่ตรวจสอบเช่นหลัวเฉิงและจางเหลียน ถือว่าเป็นผู้มีอำนาจ เพียงกล่าวประโยคเดียว ก็สามารถตัดสินใจได้ว่าจะให้ศิษย์บำรุงสำนักผู้นี้อยู่ต่อหรือไม่
หลัวเฉิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ต้องฝากตัวด้วย พวกเจ้าแยกย้ายกันกลับไปทำหน้าที่ของตนเองเถิด”
ขณะที่หลัวเฉิงกำลังจะจากไป จู่ๆ ศิษย์บำรุงสำนักอีกสองคนก็มาล้อมเขาไว้ โดยแต่ละคนหยิบโอสถเลือดลมออกมาสองเม็ด แล้วยัดไว้ในมือของหลัวเฉิงด้วยความเคารพ
“พวกเจ้าทำอะไร?”
หลัวเฉิงมองยังโอสถเลือดลมในมือของตน จึงเกิดความสงสัยว่าไฉนพวกเขาจึงทำเช่นนี้
ฟึบ!
ระหว่างนั้นเอง จู่ๆ ศิษย์บำรุงสำนักอีกคนก็คุกเข่าลงเบื้องหน้าหลัวเฉิง แล้วอ้อนวอนขอความเมตตาด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“ศิษย์พี่หลัวเฉิง ท่านช่วยยืดเวลาผ่อนผันของเดือนนี้ให้ข้าสักสองสามวันได้หรือไม่”