ตอนที่ 135 ท้องฟ้าและหุบเหว!
เมื่อเห็นว่า จางเหลียนเริ่มบันดาลโทสะ ไค่หยวนก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี แล้วกล่าวอย่างเร่งรีบ
“ศิษย์พี่จางเหลียน ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น…”
จางเหลียนมิใช่หลัวเฉิง ดังนั้นเขาจึงไม่กล้ากระทำการใดให้ขุ่นเคือง
จางเหลียนโบกมือปัดพลางกล่าวว่า “รีบพาพวกเขาออกไป”
ศิษย์บำรุงสำนักหลายคนรีบก้าวไปข้างหน้าและอุ้มไค่หยวนและคนอื่นๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว
หลัวเฉิงเหลือบมองจางเหลียนด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เดิมทีเขาคิดว่าการกระทำของเขาในครั้งนี้อาจมีปัญหาก็เป็นได้ กระทั่งคาดว่าจะถูกลงโทษด้วยซ้ำ แต่ไม่คิดเลยว่าปัญหากลับจบได้อย่างง่ายดายถึงปานนี้
จางเหลียนคล้ายดั่งจะรู้ว่าหลัวเฉิงกำลังคิดสิ่งใดอยู่ในหัว จึงกล่าวด้วยท่าทางสุขุม
“ข้ามิได้ช่วยเจ้า ในเมื่อเจ้าเป็นฝ่ายชนะก็นับว่าสิ่งที่เจ้ากล่าวนั้นเป็นความจริง แต่หากเจ้าเป็นฝ่ายแพ้ มิแน่ว่าข้าอาจจะรายงานเรื่องนี้ให้ผู้อาวุโสเหอทราบ”
หลัวเฉิงพยักหน้าเล็กน้อย หลังได้ประสบกับเหตุการณ์ ณ ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายของคำว่า ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้รับความเคารพ
มีเพียงความแข็งแกร่งเท่านั้น ที่เป็นความจริงอันนิรันดร์
หากความแข็งแกร่งของตนนั้นไม่สูงพอ วาจาที่กล่าวอ้างไปก็ล้วนไร้เหตุผล ไร้ซึ่งน้ำหนัก
“ข้าจะต้องแข็งแกร่งให้เร็วกว่านี้!”
หลัวเฉิงพลันนึกถึงฉินต้าวหยวน จินหมิน ซุนหยิงหยางกับบุตรชายเขา และตระกูลจี...
จางเหลียนเปิดปากกล่าวว่า “เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ ที่เหลือข้าจะจัดการเอง ไว้ข้าจะพาเจ้าไปตระเวนทุกพื้นที่เพื่อทำความคุ้นเคย”
“ขอบคุณมาก”
หลัวเฉิงหันหลังจากไป
ศิษย์บำรุงสำนักคนอื่นๆ ที่เพิ่งเห็นหลัวเฉิงได้เลื่อนตำแหน่งกลายเป็นผู้คุมกฎ ก็ต่างมองเขาด้วยแววตาริษยายิ่งนัก
เนื่องจากพวกเขายังต้องทำงานอีกมาก แต่หลัวเฉิงกลับไม่ต้องทำอะไรเลย
ความแตกต่างอันยิ่งใหญ่นี้ เทียบเท่ากับท้องฟ้าและหุบเหว!
อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งของหลัวเฉิงที่ได้แสดงให้ประจักษ์เห็นก่อนหน้า ต่อให้พวกเขาไม่พอใจอย่างไรก็ตาม แต่ก็มิกล้ากล่าวค้านแต่อย่างใด
หลัวเฉิงกลับไปเก็บสัมภาระของตนออกจากกระท่อมไม้ไผ่ แล้วมายังเรือนพักศิษย์บริเวณที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสามอาศัยอยู่ จากนั้นจึงเลือกห้องที่มีความเงียบสงบที่สุด
ห้องนี้มีขนาดกว้างยาวกว่าสามจั้ง เครื่องเรือนภายในมีเพียงเตียงเดียวและโต๊ะเห็นอีกหนึ่งตัว
แม้มันจะดูค่อนข้างเรียบง่าย แต่อย่างไรมันก็อยู่สบายกว่ากระท่อมไม้ไผ่หลายเท่านัก
หลังจากเก็บสัมภาระแล้ว หลัวเฉิงก็เตรียมตัวฝึกฝนทันที
เป้าหมายปัจจุบันของเขานั้นชัดเจน นั่นคือทะลวงเข้าสู่ขั้นเขตแดนลึกลับ และกลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอกให้เร็วที่สุด!
เขาหยิบเม็ดโอสถระดับสามออกมาแล้วกลืนมันลงไปทันที
ไม่ช้า ฤทธิ์โอสถก็สำแดง พลังปราณพลุ่งพล่านกระจายไปทั่วร่างอย่างฉับพลัน ความอบอุ่นจากโอสถแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์
พัฟ!
ระหว่างที่เปิดจุดชีพจรวิชามังกรแท้แล้วโคจรมัน ปราณมังกรที่แหวกว่ายในวังวนของตันเถียนก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง และความเร็วในการหมุนวนของวังวนปราณในตันเถียนก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ...
ในตอนกลางดึก พลังของโอสถสามดาวก็ค่อยๆ เจือจางลง
โดยไม่ลังเล หลัวเฉิงคว้าโอสถสามดาวออกมาอีกเม็ดแล้วใส่มันเข้าปากทันที
หากผู้ใดอยู่ใกล้แล้วเห็นฉากเช่นนี้ จำต้องตกตะลึงจนกล่าวสิ่งใดไม่ออกเป็นแน่
สมุนไพรสามดาวทั่วไปก็มีมูลค่ามากกว่าสองแสนตำลึงอยู่แล้ว หากเป็นโอสถยาลูกกลอนระดับสามดาวก็มีมูลค่าหกถึงเจ็ดแสนตำลึง!
เว้นแต่จะเป็นลูกหลานหรือทายาทของตระกูลขุนนาง แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถกระทำการเช่นนี้ได้อย่างหลัวเฉิง
พวกเขาจะยึดคำว่า ความคุ้มค่ามาเป็นอันดับสอง
ผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสามทั่วไป จะไม่กลืนโอสถระดับสามดาวเข้าร่างอย่างต่อเนื่องเช่นนี้
มิฉะนั้น พลังของโอสถและปราณในร่างจะต่อต้านกัน ซึ่งมันจะกระทบต่อผลลัพธ์การบ่มเพาะและทำให้พลังของโอสถที่กลืนไปนั้นไร้ประโยชน์ทั้งยังฟุ่มเฟือย
หากพลังของโอสถและปราณแท้ในร่างมากเกินไป มันอาจทำให้เส้นลมปราณรับไม่ไหวจนอาจขาดสะบั้นได้ ซึ่งนับว่าเป็นความเสี่ยงที่มากทีเดียว
แต่ทว่า หลัวเฉิงกลับไม่มีความกังวลในเรื่องเหล่านั้น
เนื่องจากเขาได้ฝึกฝนจนทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาขั้นสุดยอด ผสานกับการฝึกฝนวิชามังกรแท้ ความแข็งแกร่งทางกายเขาจึงเหนือกว่าผู้ฝึกยุทธ์ในระดับเดียวกันมากโขทีเดียว!
ฤทธิ์ของโอสถอันบริสุทธิ์ซึ่งได้รับการหลอมจากเกล็ดเก้าสี ยังช่วยลดผลข้างเคียงที่จะตามมาหลังกลืนโอสถเหล่านั้นเพื่อบ่มเพาะอีกด้วย
ค่ำคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ครั้นรุ่งสาง หลัวเฉิงจึงหยุดการบ่มเพาะพลัง
เมื่อลืมตาขึ้น หลัวเฉิงขมวดคิ้วทันที
ปราณมังกรในกระแสวังวนแห่งปราณแท้ ยังคงนิ่งเงียบไม่แสดงให้เห็นถึงสัญญาณแห่งการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
เดิมทีหลัวเฉิงคิดว่าการฝึกฝนครั้งนี้ อาจทำให้ปราณมังกรมีการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สอง และวิชามังกรแท้จะสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับสองได้!
แต่ทว่า หลังจากบ่มเพาะพลังมาตลอดทั้งคืน ปราณมังกรกลับยังคงนิ่งเงียบไม่มีการเปลี่ยนแปลง
“หรือว่า ข้าจะต้องกลืนวิญญาณสัตว์อสูรและวิญญาณยุทธ์เท่านั้น! วิชามังกรแท้จึงจะสามารถทะลวงได้อย่างรวดเร็ว”
หลัวเฉิงเริ่มนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่ผ่านมา
หลังจากกลืนกินวิญญาณยุทธ์ในครั้งที่แล้ว วิชามังกรแท้ของเขาก็ได้ทะลวงเข้าสู่ระดับแรกได้สำเร็จ!
“ดูท่า ข้าคงต้องหาโอกาสกลืนวิญญาณสัตว์อสูรและวิญญาณยุทธ์เสียแล้ว”
หลัวเฉิงขบคิดเรื่องนี้ในใจเงียบๆ