บทที่ 7 ผู้เข้าร่วม
"แซลลี่! มาร์แลน!" บริดเจ็ท อบีดิสโบกมือแล้วเรียกนักรบหญิงสองคนที่สนามฝึกซ้อมให้เข้ามา ในเวลาเดียวกัน เธอก็แนะนำให้เซารอนรู้จัก "ผู้มีผมสีดำคือรองหัวหน้าและเจ้าหน้าที่ประจำธง(เสนาธิการกองทัพ)ของข้า มาร์แลน และอีกคนคือ แซลลี่ ไวท์เมน เลขานุการกิลด์ของเรา พวกเขาทั้งหมดเป็นพี่น้องของข้า สำหรับการฝึกอบรมเบื้องต้นและอะไรก็ตามที่นายไม่เข้าใจก็ถามพวกเขาได้ แต่คืนนี้พ่อของข้าจะมาคุยเรื่องการฝึกอบรมกับนายอย่างเป็นความลับ "
เซารอนเข้าใจสิ่งที่เธอหมายถึง แม้ว่าพวกเธอจะเป็นคนสนิท แต่กับเรื่องกองทัพแนวหน้าแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาพูดกันกับใครก็ได้
อัศวินที่สวมเกราะหนาทั้งสองคนถือหมวกไว้ในอ้อมแขนและยืนต่อหน้าเซารอนพร้อมกับดาบหนักอยู่ในมือ คลื่นความร้อนแผ่ออกมาจากใบหน้าของพวกเธอ เห็นได้ชัดว่าความเข้มข้นของการฝึกฝนในตอนนี้เข้มข้นเพียงใด แม้แต่ผ้าคลุมไหล่ของพวกเธอก็ยังเปียกไปด้วยเหงื่อและติดอยู่ที่แก้ม แถมยังมีไอน้ำลอยขึ้นมาจากด้านบนของศีรษะอีก ดูจากอายุแล้ว ทั้งคู่อายุไม่มากไปกว่าเซารอน ในอีกโลกหนึ่ง พวกเธอเป็นเด็กสาวมัธยมปลาย เป็นเรื่องยากมากที่จะจินตนาการว่าพวกเธอมีกล้ามเนื้อที่น่ากลัวอยู่ใต้ชุดเกราะเพื่อรองรับชุดเกราะหนักที่ติดอาวุธครบมือเช่นนี้ได้อย่างไร
“แซลลี่ เมื่อตอนที่เธอได้เปรียบ เธออย่าใช้พลังแห่งฟ้าร้อง พยายามใช้พลังแห่งไฟเพื่อทำให้ลมหายใจของเธอมั่นคง มาร์แลน ทักษะของเธอดูจะขึ้นสนิมไปหน่อยนะ หากพลังแห่งน้ำของเธอเกิดขึ้นได้ด้วยการบิดดาบมากกว่า 20 ครั้งแล้วล่ะก็ ถ้าเธอถูกล้อมจะต้องตายแน่ๆ! นี่เธอคิดจะตัดหัวตัวเองผูกติดกับธงทหารแทนรึไง?” อบีดิสเลิกคิ้วและสาปแช่ง สองสาวแลบลิ้นออกมา ด้วยคำพูดที่จี้ตรงจุดเช่นนี้ทำให้พวกเธอไม่กล้าที่จะแก้ตัวออกมา
“ตอนนี้ข้ายังปกป้องพวกเธอได้อยู่ก็จริง แต่เมื่อข้าเรียนจบและเข้าร่วมกองทัพในช่วงปลายปี มาดูกันว่าพวกเธอจะยังทำตัวขี้เกียจได้อีกแค่ไหน!” อบีดิสจ้องมองพวกเธอ ก่อนจะตบไหล่เซารอนอย่างตั้งใจ และเกือบจะทำให้เขาล้มลงกับพื้น“นี่คือผู้มาใหม่ คนรับใช้คนใหม่ของข้า เซารอน เขาไม่ใช่คนในพื้นที่ ช่วยลงทะเบียนให้เขาและสอนการหายใจขั้นพื้นฐานให้เขาด้วย”
"เอาล่ะงั้นก็...ห้ะ การหายใจขั้นพื้นฐานงั้นเหรอ?" รองหัวหน้าแซลลี่กระพริบตาปริบๆ และมองตอบบริดเจ็ทด้วยตาสีแดงเหมือนกระต่าย ก่อนจะมองดูเซารอนด้วยความสงสัย เขาที่ทำไม่ได้แม้แต่การหายใจขั้นพื้นฐาน ไม่ใช่คนท้องที่ แถมเมื่อดูจากวิธีที่เขาถือหอกเหมือนชาวนา โดยพื้นฐานแล้วเขาเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญอย่างที่สุด แล้วตระกูลอบีดิส ไปยอมรับเขาเป็นคนรับใช้ได้อย่างไรกัน?
แต่เธอไม่มีเวลาคิดมากเกินไป "เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ พี่สาว มีคนจาก ยอดหอกเหล็ก เพิ่งส่งจดหมายถึงพี่เพื่อเชิญพี่เข้าร่วมการต่อสู้ มันบอกว่าจะรออยู่ที่สนามแข่งม้า"
"ข้าถูกมันพูดยุยงสี่กิลด์ให้ต่อสู้กับข้า แต่ในที่สุดข้าก็ขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ด้วยตัวเอง มันเป็นคนร้ายกาจมาก ได้ แล้วข้าจะรีบไปหามันเดี๋ยวนี้เลย" บริดเจ็ทพูดอย่างเด็ดขาด หันหลังกลับ และจากไป "มาร์แลนจะเป็นผู้นำทีมและมากับข้า ระวังตัวด้วย" ของพวกนังตัวแสบจาก กลุ่มราชสีห์ ที่เล่นลูกไม้สกปรกพวกนั้น"
"ดี พี่สาว! ไปกันเถอะ! ไปต่อสู้ด้วยกัน ฮ่าฮ่า แซลลี่ อยู่บ้านและฝึกฝนผู้มาใหม่ไปนะ!" มาร์แลนพูดเสร็จก็ไปเรียกอัศวินที่อยู่รอบๆ ก่อนจะเริ่มทำหน้าตาบูดบึ้ง และฉีกเสื้อผ้าที่พันรอบตัวเธอออกราวกับอดทนไม่ไหวอีกต่อไป นี่ทำให้ตะปูผ้าฝ้ายผสมดีดกระเด็นออกมา เนื่องจากชั้นกันกระแทกแกนฝ้ายภายในเกราะป้องกันนั้นอับชื้นเกินไป เธอจึงสวมเพียงชุดบอดี้สูทผ้าไหมสีดำที่มีลักษณะคล้ายไหมแมงมุมที่ถักอยู่ใต้ชุดเกราะ ในเวลานี้ ผิวหนังติดอยู่กับผิวหนังอย่างสมบูรณ์โดยมีเหงื่อไปทั่วร่างกายทำให้ดูเป็นหลุมเป็นบ่อและนูน รูปร่างที่ละเอียดอ่อนและสง่างามของเธอก็เผยออกอย่างเต็มที่และยังมีไอความร้อนออกมาอีกด้วย
เซารอนซึ่งอยู่ในระยะใกล้ถูกคลื่นความร้อนและกลิ่นเหงื่อกระทบจมูกของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นของฮอร์โมนเพศตรงข้ามและเขาก็มองออกไปด้วยความเขินอายอยู่พักหนึ่ง
นักรบคนอื่นๆ รอบตัวเขาก็เริ่มเปลี่ยนชุดเกราะด้วยเช่นกัน และเซารอนสังเกตเห็นว่าอัศวินทั้ง 20 คนนี้เป็นผู้หญิง มาร์แลนยังคงดูดี แต่คนอื่นเหลือเพียงกางเกงในกันหมด นี่มันอะไรกัน! นี่เขาเข้าร่วมชมรมที่มีแต่เด็กผู้หญิงอย่างงั้นเหรอ?
อาจเป็นเพราะเซารอนยังดูเป็นเด็กน้อยในเวลานี้ อัศวินหญิงของกุหลาบโลหิตจึงค่อนข้างไม่ระวังตัวและไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง พวกเธอสวมชุดเกราะเบาและเสื้อเจอร์ซีย์เสื้อยืดคอกลมอย่างไม่ระมัดระวัง ก่อนจะพากันออกจากป้อมปราการทั้งทีมราวกับฝูงม้าเลี้ยงที่ได้ออกไปวิ่งเล่นในทุ่งโล่งแล้วพากันติดตาม บริดเจ็ท และ เบลซซิ่งโรส บินขึ้นไปบนท้องฟ้า
ในไม่ช้าก็มีเพียงสองคนคือแซลลี่ ไวท์เมนและเซารอนหลังจากที่คนอื่นออกจากป้อมปราการไป แซลลี่ยังเปลี่ยนเสื้อผ้าลำลอง ที่คล้ายกับชุดว่ายน้ำวันพีซ และชุดเกราะหนังสีอ่อนที่ดูคล้ายกับคอร์เซตที่ให้ความรู้สึกว่ามันไม่มีผลต่อการป้องกันอะไรเลย แขนและขาสีขาวของเธอไม่ได้รับการปกป้องและเปิดเผยอย่างสิ้นเชิง
“เอาล่ะ สมาชิกใหม่ มาลงทะเบียนเป็นสมาชิกกันเถอะ” แซลลี่ก้มลงหยิบกองกระดาษออกมาจากตู้หนังสือในห้องโถงด้านข้าง เธอนอนลงบนเก้าอี้โยกโดยยกต้นขาขึ้นแล้วเหยียดลิ้นสีชมพูออกมาเลียปลาย ของปากกาขนนก “ชื่อ เพศ เชื้อชาติ สถานที่เกิด...”
เซารอนจ้องมองน่องขาวของแซลลี่แล้วกลืนลงไป “เอ่ออออ ขอถามหน่อยได้ไหม?”
“ไม่มีการเดท ข้าชอบพี่สาว คนที่มีหัวคิดแบบนั้น หรือไม่ก็ผู้ชายมีกล้าม คนที่สูงกว่าข้ายี่สิบเซ็นติเมตร และสามารถกดข้าชิดกำแพงได้ด้วยมือเดียว” แซลลี่ล้อเซารอนด้วยรอยยิ้ม
“...เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว แต่ที่ข้าอยากจะถามเธอสักหน่อยก็คือ ทำไมเธอถึงไม่มีกล้ามเลยล่ะ?” เซารอนพิจารณาคำพูดของตนก่อนหน้าก่อนจะพูดต่อ “ข้าหมายถึง เธอเป็นมนุษย์หรือเปล่า ทำไมเธอถึงสวมชุดเกราะหนักและเหวี่ยงดาบหนักทั้งๆ ที่เธอไม่มีกล้ามเนื้อเลย เธอใช้เวทมนตร์เหรอ มันเป็นเวทย์มนต์แบบไหนล่ะ?”
แซลลี่ยักไหล่ “แน่นอนว่ามันเป็นเวทย์มนตร์ การฝึกฝนโดยไม่ใช้เวทย์มนตร์มันต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กันล่ะ ถึงจะเป็นนักรบที่มีคุณสมบัติเหมาะสม แค่การฝึกกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียวก็ใช้เวลายี่สิบหรือสามสิบปีใช่ไหม โอ้ ข้าเข้าใจความหมายของพี่สาวแล้ว นายไม่มีรากฐานเลยจริงๆ นายคงถูกลักพาตัวไปจักรวรรดิเมื่อเร็วๆ นี้สินะ นี่นายเกิดที่ไหนมาก่อนล่ะ?”
พูดตามตรง การลักพาตัวและค้าเด็กในอาณาจักรของเธอนั้นบ่อยเกินไป มันบ่อยเสียจนทุกคนคุ้นชินกับมันแล้ว
เซารอนนึกถึงหมู่บ้านเล็กๆ ก่อนหน้านี้ เขาถูกขายให้กับผู้ค้ามนุษย์เพียงสองวันหลังจากการเดินทางข้ามเวลา อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่เขาจำได้ นั่นคือ "แกรนด์เวสแลนด์ของแฟรนนี่"
"นั่นคืออาณาจักรของแฟรนนี่" แซลลี่พยักหน้า "เอาล่ะ มาเริ่มกันที่พื้นฐานกันดีกว่า เซารอน นายรู้จัก กองทัพแวนการ์ด ไหม?"
เมื่อเร็วๆ นี้หูของข้าเริ่มมีผิวด้านก็เพราะคำๆ นี้แหล่ะ
“นายคงรู้จักตำนานนี้ดี สถานะของมนุษย์ยุคแรกในโลกนี้ต่ำมากเพราะว่าร่างกายอ่อนแอ อายุขัยสั้น และการรับรู้เวทมนตร์ต่ำ พวกเขาอยู่ที่ด้านล่างของห่วงโซ่อาหาร” แซลลี่พูดในขณะกรอกเอกสาร "ต่อมา พวกเอลฟ์และไททันส์ได้ทำสงคราม ดัดแปลงอาวุธชีวภาพต่างๆ และในที่สุดก็สร้างกองทัพนักรบเวทมนตร์แนวหน้าของมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด นั่นคือที่มาของโรงเรียนศิลปะการต่อสู้โบราณที่สืบทอดมาจากกองทัพแนวหน้า ตอนนี้มาวและข้ากำลังศึกษารูปแบบดาบอยู่ แม้มันจะใช้แค่ในการฝึก แต่ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นศิลปะการต่อสู้โบราณที่สืบทอดมาจาก กองทัพแนวหน้า แน่นอนว่านี่เป็นทักษะขั้นสูง นายเพียงแค่รับฟังประดับความรู้ไว้ก่อนก็พอ”
เซารอนพยักหน้า เขาไม่ได้รู้เรื่องนี้เลยจริงๆ รีบๆ หน่อยก็ดี เพราะเขาอาจจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ในตอนเย็น
“อีกโรงเรียนหนึ่งคือศิลปะการต่อสู้เวทมนตร์สมัยใหม่ จริงๆ แล้วมันก็เหมือนกับนักรบเวทย์มนตร์และอัศวินมังกรในพวกเอลฟ์ ที่เสริมด้วยทักษะเวทย์มนตร์ในการต่อสู้ นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนศิลปะการต่อสู้เวทย์มนตร์หลายแห่งในอาณาจักรพลังจิต และผู้ฝึกก็คือลิช ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งหน่วยดวงจันทร์เหล่าที่หนึ่ง ราชาแห่งสงคราม อุลดริส ห้ะ เกิดอะไรขึ้น? นายดูเหมือนปวดท้องเลยนะ? ไปเข้าห้องน้ำไหม?”
“ไม่ ไม่ แค่พูดต่อไป…” ทำไมมันต้องเป็นไอ้ตัวโกงนั่นอีกแล้วล่ะ
“หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากม้วนหนังสือ อุปกรณ์เวทย์มนต์ หรือช่องใส่คาถา การร่ายมนตร์ของมนุษย์ต้องใช้พิธีกรรมและคาถามากมายจึงจะสำเร็จ”
"และลิชผู้นี้ ในระหว่างสงครามครั้งที่สาม ได้ใช้การผสมผสานระหว่างเวทมนตร์และทักษะการต่อสู้ในทางปฏิบัติมากมาย แม้กระทั่งความตายธรรมดาๆ ของอัศวินก็ยังสามารถใช้นำมาใช้การท่วงท่าของศิลปะการต่อสู้ที่เรียกได้ว่าจำเพาะอย่างยิ่ง มันคือทักษะการต่อสู้ที่ใช้พิธีกรรมเป็นอาวุธ และใช้อุปกรณ์เวทย์มนต์ในการแสดงผลทักษะการโจมตีจากเวทย์มนตร์อันทรงพลัง แน่นอนว่า นี่เองก็เป็นทักษะการต่อสู้ด้วยเวทย์มนตร์ขั้นสูงด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น…”
แซลลี่ยกมือขวาขึ้นและตะโกนเสียงดังว่า "หมัดแห่งพลังเวทย์มนตร์!"
ข้อมือขวาของเธอจนถึงข้อศอกดูเหมือนจะถูกปกคลุมไปด้วยเกราะป้องกันพลังเวทย์มนตร์ที่หุ้มเกราะ แสดงเงาหมัดเหล็กโลหะในอากาศ "นายเองก็ทำได้นะ ข้าได้ร่ายมนตร์ลงบนแขนของข้าในเวลานี้ และข้าสามารถใช้เอฟเฟกต์เวทย์มนตร์เพื่อยกของหนักๆ ได้ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถขยับได้อย่างสมบูรณ์… ”
ปรากฎว่าจู่ๆเซารอนก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง “หมัดแห่งพลังเวทย์มนตร์ !”
เหล็กสีเงินส่องประกาย พลังเวทย์มนตร์หลากสีสันไหลออกมาจากรูขุมขนและกระดูกของแขนขวาของเซารอน ควบแน่นเป็นถุงมือเวทย์มนตร์ เซารอนค้นพบว่าเขาสามารถขยับถุงมือเวทมนตร์ได้ตามต้องการ และเขายังสามารถควบคุมมันจากระยะไกลได้อีกด้วย เขาสามารถหยิบดาบหนักที่ฝึกฝนบนสนามฝึกซ้อมด้วยถุงมือแล้วเหวี่ยงไปรอบๆ โดยไม่รู้สึกถึงน้ำหนักเลย
โอ้ มันค่อนข้างใช้งานง่าย แต่นี่ยังเรียกได้ว่าเป็นนักรบอยู่อีกงั้นรึ? ไม่ว่ามองยังไงมันก็เป็นนักเวทย์ไม่ใช่หรือไง?
เขาหันศีรษะไปพบว่ากรามของแซลลี่เกือบจะหลุดออกจากคาง เธออ้าๆหุบๆพะงาบๆอยู่สามสี่ทีก่อนจะตะโกนว่า "นายทำได้ยังไง? นายได้เรียนรู้เทคนิคการใช้หมัดพลังเวทย์มนตร์แล้วอย่างงั้นเหรอ? ถ้าไม่อย่างงั้นแล้วนายจะร่ายมันได้ยังไงกัน ดูสิ ข้ายังไม่ได้กรอกข้อมูลอะไรเลยนะ ! นายใช้พลังเวทย์มนตร์ของตัวเองหรือเปล่า ช่อง...คาถางั้นเหรอ ?? นายจะบอกว่าแค่เห็นข้าทำแล้วนายก็เอามันใส่ไว้ในช่องคาถาของนายได้แล้วเนี่ยนะ !!?? “
เธอดูเหมือนเธอจะบ้าไปแล้ว
เซารอนก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน พลางนึกไปว่ามันน่าแปลกใจด้วยงั้นเหรอ? เขาทำได้แค่ยักไหล่ “ข้าต้องมีพรสวรรค์แน่ๆ”
แม้ว่าเขาจะถูกปฏิเสธจากการรับสมัครเพราะเขาเป็นผู้ชายก็เถอะ…
“...เป็นไปไม่ได้ ลองใหม่อีกครั้ง ความรวดเร็วของเสือดาว!” แซลลี่ กระโดดขึ้นจาก ที่นอนเอนและตะโกนพร้อมทำท่าทางกระโจนออกไป
เซารอนมองเห็นรัศมีจางๆ คล้ายกับแมวตัวใหญ่ที่กะพริบบนร่างของเธอ ร่างกายของเธอถูกดีดออกมาราวกับลูกธนูจากเชือก และเธอก็รีบวิ่งไปยังอีกด้านของสนามฝึกทันทีซึ่งอยู่ห่างออกไปกว่าสิบเมตร เกือบ สู่อากาศ เหลือเพียงภาพติดตา
“ว้าว เวทมนตร์นี้ใช้ได้ดีทีเดียว” เซารอนพยายามเลียนแบบการเคลื่อนไหวของอาลักษณ์(อักขระเวทย์มนต์)แล้วดีดตัวออกมาในท่าวิ่ง “ความรวดเร็วของเสือดาว!”
จากนั้นเขาก็ตระหนักว่าเขาได้ทำอะไรโง่ๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นการเร่งความเร็วเป็นเส้นตรง ทักษะ และดูเหมือนว่าเอฟเฟกต์ที่คงอยู่จะไม่สิ้นสุดในสองหรือสามวินาที แต่ขึ้นอยู่กับผู้ร่ายเอง ดังนั้นก่อนที่จะชนเข้ากับกำแพงป้อมปราการ เซารอนทำได้เพียงตะโกนอีกครั้งว่า "หมัดแห่งพลังเวทย์มนต์!"
รองหัวหน้าแซลลี่ ไวท์แมนตกตะลึงในขณะที่เขาดูเซารอนเรียกหมัดวิเศษและทุบกำแพงป้อมปราการกิลด์ด้วยหมัดเดียว กำแพงป้อมปราการหายไป และภาพหลังจากนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็วจนลับตา
หลังจากรอประมาณสิบนาที เซารอนก็กลับมา แต่เขาไม่ได้วิ่งกลับ แต่ใช้การขี่ม้าศึกอันเดดแทน พาหนะนี้ดีจริงๆ ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาตกเขาไป เขาก็นึกว่าจะแย่แล้วเหมือนกัน
แซลลี่จ้องไปที่ม้าอันเดดของเซารอนโดยไม่ปิดกราม
“โอ้ นี่คือสิ่งที่หัวหน้าอบีดิสให้ข้ายืมมาน่ะ มันถูกอัญเชิญมาด้วยม้วนหนังสือ” เซารอนอธิบาย
“ข้าจำมันได้ โอเค ข้ายังจำวิธีเรียกเขาออกมาได้ด้วย... โอเค โอเค ข้าเข้าใจ นายเก่งมาก” แซลลี่ลูบขมับของเธอจนดูเป็นการแสดงออกที่แปลกประหลาด
“เอ่อ รองไวท์เมน ทำไมเธอไม่สอนทักษะการต่อสู้ด้วยเวทย์มนตร์เพิ่มเติมให้ข้าล่ะ” เซารอนพยายามถาม
“ข้ามีช่องคาถาเพียงสองช่องเท่านั้นและช่องเหล่านั้นก็ใช้หมดแล้ว” แซลลี่อธิบายว่า “ข้าแค่สาธิต ทักษะการต่อสู้ด้วยศิลปะการต่อสู้ที่จำเป็นต้องใช้จากช่องคาถา ให้นายดูเท่านั้น ผู้ที่สามารถใช้เวทย์มนต์ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงช่องคาถาก็คือ ลิชและอัศวินแห่งความตายที่แท้จริง มีเพียงนายกลายเป็นพวกเขาเท่านั้นถึงสามารถใช้มันได้ตามใจชอบ”
"แต่ก่อนหน้านี้นายไม่เคยใช้หมัดพลังเวทย์สวมชุดเกราะหนักมาก่อนเลยสินะ?"
"ไม่น่าจะใช่นะ เพราะนายแสดงผลของมันออกมาได้ในทันที" แซลลี่เหลือบมองเซารอน "ผู้ที่อยู่ระดับนายพลจะมีช่องคาถาเพียง 3 หรือ 4 ช่องเท่านั้น ข้าใช้หมัดแห่งพลังเวทย์มนตร์ไปกับเวทย์มนต์สถิตย์ร่างไปแล้ว...นายมีช่องคาถากี่ช่องกันแน่?”
แค่หนึ่งช่องไม่ใช่เหรอ?
“ลืมมันซะถ้านายไม่บอกข้า” ไวท์เมนกลอกตาให้เขา “ในที่สุดข้าก็เข้าใจความหมายของพี่ใหญ่แล้ว นายไม่ต้องการคำแนะนำจากข้าเกี่ยวกับทักษะการต่อสู้ขั้นสูง ข้าแค่ต้องสอนนายเกี่ยวกับการหายใจและการหายใจขั้นพื้นฐานที่สุดก็เพียงพอแล้ว ใช่แล้ว กรอกแบบฟอร์มนั่นเพื่อลงทะเบียนก่อนแล้วเซ็นด้วยเลือดที่นี่”
กระดาษใบหนึ่งถูกส่งมอบจากมือของไวท์เมน มันคือม้วนสัญญาข้อความเวทย์มนตร์ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นเอกสารการรับราชการทหาร
“หลังจากลงนามในสัญญา นายจะกลายเป็นสมาชิกของกิลด์อัศวิน 'กุหลาบโลหิต' นายจะเป็นอัศวินสำรองของ กองกำลังม้าสีเลือดซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดกองทหารของ อัศวินแห่งความตาย ของจักรวรรดิ นายจะได้รับทรายทองสิบห้ากรัม ต่อเดือนเป็นเงินเดือน และนายจะสามารถจัดหาอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัยและการขนส่งได้ที่ ฐานที่มั่นกิลด์ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย แถมยังมีอำนาจในการใช้เครือข่ายเวทย์มนตร์ของกิลด์และสามารถเติมไอเท็มเวทย์มนตร์ได้ที่ ฐานที่มั่นของกิลด์”
ไวท์เมนอธิบายข้อกำหนดของสัญญาทีละฉบับ และยื่นถุงเงินใบเล็กๆ ให้เขา
“ทรายสีทองเหรอ มันคือเหรียญทองไม่ใช่เหรอ?” เซารอนมองดูอนุภาคทองคำที่มีลักษณะคล้ายเมล็ดสนในถุงเงิน
“นายหมายถึงอะไร ทองคำมักใช้แทนเงินในประเทศต่างๆ สำหรับการทำธุรกรรมอย่างเป็นทางการนั้นจะถูกหลอมเป็นทรายทองคำและชั่งน้ำหนักเป็นตาชั่ง อ้อ นายหมายถึงเหรียญทองของชารอนเหรอ?” ไวท์เมน อธิบายว่า “ทองคำคือ วัตถุดิบพื้นฐาน และหลังการร่ายมนตร์ อุปกรณ์เวทย์มนตร์ที่ใช้ในการอัญเชิญสิ่งต่างๆ จากโลกอื่นก็คล้ายคลึงกับคัมภีร์ระดับสูง นักเล่นแร่แปรธาตุจะทำมันบ้างเป็นครั้งคราวและส่งไปที่ลานซื้อขายเพื่อประมูล มันเป็นเรื่องของ โชคลาภ แน่นอนว่ามันแพงมาก ถ้าแลกเป็นทรายทองล้วนๆ ราคาประมาณสองกิโลกรัมต่อหนึ่งชิ้น”
เหรียญทองนั้นดูเหมือนหนึ่งหยวนและหนักห้าหรือหกกรัมใช่ไหม? แต่มันต้องแลกด้วยทรายทองถึงสองกิโลกรัมเนี่ยนะ?
เซารอนส่ายหน้าลับๆ ค่าจ้างทหารสิบห้ากรัมในมือนั้นเบาจนแทบไม่รู้สึกอะไรเลย หนักขนาดนี้เลยเหรอ ค่าใช้จ่ายของเวทย์มนตร์น่ะ...