บทที่ 6 อารมณ์ตอนตื่นนอน
"นี่มันอะไรกันเนี่ย? ทำไมต้องมาอีหรอบนี้อีกแล้ว? ข้อกำหนดการเข้าสำนักก็เข้มงวดมากพอแล้วนะ ตอนนี้ยังจะมาเก็บค่าสนามโน้มถ่วงแพงขนาดนี้ ไม่ได้หมายความว่าตัดโอกาสของศิษย์ไปอีกหรือ? หรืออนาคตข้าจะต้องรับแต่คนรวยเพียงถ่ายเดียว?"
ถึงแม้เหวินผิงจะบ่นอุบอิบ แต่ระบบก็ยังคงนิ่งเฉย แถมยังพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า [โฮสต์ ท่านต้องจำไว้นะว่า ไม่มีของฟรีในโลก อะไรที่ได้มาง่ายเกินไป จะทำให้ผู้คนไม่รู้จักคุณค่า]
"พูดแบบนั้นก็ถูก แต่ถ้าใช้กฎแบบนี้ ข้าเกรงว่าสำนักอมตะจะรับศิษย์ได้ไม่ถึงสองคนต่อปีหรอกใช่ไหม? ถ้าพวกเขารู้ว่าค่าธรรมเนียมแรกเข้าพันตำลึงทองเป็นแค่จุดเริ่มต้น ใครจะกล้ามาเข้าสำนักอมตะอีก?"
[ถ้าโฮสต์ไม่พูด พวกเขาจะไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไงตอนที่เพิ่งเข้าสำนัก]
"ใช้แค่ลมปากอย่างเดียว?"
เหวินผิงยอมแพ้แล้ว ระบบนี่มันต้องการให้เขาใช้คารมณ์ขั้นเทพชัดๆ เขาไม่ใช่นักขายประกันหรือนายหน้าขายคอนโดสักหน่อย
แน่นอน สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะยอมรับความจริงข้อนี้
ถึงแม้เงื่อนไขที่เข้มงวดนี้จะทำให้ผู้คนหวาดกลัว แต่ก็ยังไม่สิ้นหวังเท่ากับตอนที่สำนักอมตะมีแค่คนสองคนกับหมาหนึ่งตัว เมื่อเทียบกันแล้ว สถานการณ์ของสำนักอมตะตอนนี้ก็ดีขึ้นมาก อย่างน้อยก็มีผู้ฝึกฝนกายาขั้น 13 เพิ่มมาอีกหนึ่งคน
แต่ไม่รู้ว่าหลังจากที่ศิษย์จ่ายค่าธรรมเนียมแรกเข้าพันตำลึงทองไปแล้ว พอรู้ว่าการฝึกฝนประจำวันก็ต้องเสียเงินอีก จะรู้สึกยังไง?
จะโกรธจนถึงขั้นลาออกจากสำนักอมตะเลยรึไม่?
ระบบเหมือนจะเดาความคิดของเขาออก จึงพูดขึ้นว่า [เจ้าสำนักไม่ต้องกังวล สนามโน้มถ่วงมีผลดึงดูดอย่างร้ายกาจสำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นฝึกฝนกายา ถ้าเอาไปไว้ในสำนักระดับ 2 ดาว หรือ 3 ดาว ต่อให้เก็บ 100 ตำลึงทองต่อวัน สนามโน้มถ่วงก็ยังจะแน่นขนัดไปด้วยผู้คน]
"เข้าใจแล้ว สรุปก็คือ ข้าแค่ต้องจำไว้ว่าสิ่งที่เจ้าให้ข้าคือสิ่งที่ดีที่สุด ใช่ไหม?"
[อืม]
"เอ่อ... แต่สำนักอมตะของข้าก็คงไม่ดูแลแค่คนรวยหรอกใช่ไหม คนที่ไม่มีเงิน แต่มีความมุ่งมั่น มีความฝัน พวกเขาอาจจะไม่มีพรสวรรค์สูงขนาดนั้น ไม่มีเงินมากขนาดนั้น พวกเขาจะโดนปฏิเสธทั้งหมดเลยหรือ?"
ระบบเงียบไปครู่หนึ่ง [เรื่องนี้... ในอนาคตจะลดมาตรฐานการรับศิษย์ลง เพียงแต่ตอนนี้สำนักอมตะยังไม่เหมาะที่จะรับคนที่มีคุณสมบัติต่ำ]
"แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย ข้านึกว่าท่านเป็นแค่ระบบที่ไร้หัวใจเสียอีก" การที่ระบบยอมอ่อนข้อให้ เหวินผิงก็รู้สึกดีใจมาก
ตั้งแต่แรก เขาไม่เคยคิดที่จะสร้างสำนักอมตะให้เป็นสำนักที่คนรวยเท่านั้นถึงจะเข้าได้ การบำเพ็ญเพียรควรเป็นสิทธิที่ทุกคนพึงมี
หลังจากกลับไปที่ศาลาทิงอี่ เหวินผิงเริ่มร่างกฎระเบียบใหม่ของสำนักขึ้นมา เมื่อคิดว่าสำนักอมตะได้เปลี่ยนโฉมใหม่แล้ว เขาจึงคิดว่าควรจะมีการเริ่มต้นใหม่ กฎระเบียบใหม่ การใช้ชื่อเดิมอาจจะไม่เป็นมงคล
ควรจะตั้งชื่อที่ดูน่าเกรงขามกว่านี้หน่อย
สำนักสยบฟ้า!
สำนักกระบี่เหินเมฆา!
สำนักยอดยุทธ!
เขาชอบทั้งสามชื่อนี้
แต่สุดท้ายเขาก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป เพราะทั้งสามชื่อไม่เข้ากับวัฒนธรรมของสำนัก และชื่อ"อมตะ" ก็เป็นชื่อที่บรรพบุรุษของเขาตั้งไว้ อีกทั้งสำนักอมตะก็ยังเป็นบ้านของเขา ชื่อของบ้านไม่ควรเปลี่ยนแปลงอย่างลวกๆ
อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่ควรตัดสินใจง่ายๆ ต้องรอให้สำนักเลื่อนขั้นเป็น 1 ดาว หรือ 2 ดาวก่อน แล้วค่อยตัดสินใจเรื่องชื่อสำนักใหม่อีกทีก็ยังไม่สาย
คิดไปคิดมาจนดึกดื่น เหวินผิงก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ตื่นขึ้นมาอีกทีตอนเช้าเพราะได้ยินเสียงเคาะประตูตึงตังๆ ดังมาจากข้างนอก
เสียงเคาะสักพักก็หยุด แล้วก็ดังขึ้นอีกที
เหวินผิงลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย เขามองลอดหน้าต่างออกไปก็เห็นหมอกขาวปกคลุม ถึงแม้จะไม่ได้มืดมิดจนมองไม่เห็นอะไรแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงเวลาที่แสงอรุณจะสาดส่อง ใครกันที่ไม่รู้จักเวล่ำเวลามาปลุกเขาเอาตอนนี้?
เขาตะโกนออกไปด้วยความหงุดหงิด "ผู้ใด! เพิ่งจะเช้าเอง มีอะไรทำไมไม่รอสักพักค่อยมาหาข้า?"
ความหงุดหงิดและความโกรธเกรี้ยวนี้เกิดขึ้นมาเอง เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แค่รู้สึกโกรธมาก เรื่องการตื่นนอนนี้ แม้แต่สาวใช้งดงามที่เคยมาปลุกเขาตอนเช้าก็ยังทำให้เขารู้สึกเช่นเดียวกันนี้ ใบหน้าที่สวยงามก็ไม่สามารถลบล้างความหงุดหงิดที่ถูกปลุกให้ตื่นได้
แต่ก็ย่อมมีข้อยกเว้น ตอนที่บิดาของเขาซึ่งตอนนี้หายตัวไปอย่างลึกลับมาปลุกเขา เขาไม่กล้าแสดงอาการหงุดหงิดเลย เพราะถ้าเขาหงุดหงิด บิดาของเขาก็จะซ้อมเขา!
หลังจากคิดอยู่นานว่าใครกันที่อยู่ข้างนอก เหวินผิงก็เดินไปเปิดประตู
แน่นอน ดังที่เขาคาดคิดไว้ เป็นหยุนเลี่ยวเองนั่นแหละ
วันนี้หยุนเลี่ยวยังคงดูสง่างามเช่นเคย เหมือนบัณฑิตหนุ่มหน้าหยก เหวินผิงคิดว่าถ้าหากเขามีพัดเป็นอาวุธ เมื่อเดินเข้าไปในเมืองชางอู๋ก็คงมีสาวๆ ส่งสายตาให้ไม่น้อย
แต่ถึงหยุนเลี่ยวจะหล่อแค่ไหน ก็ไม่สามารถลบล้างความขุ่นเคืองของเขาได้
เขาไม่เกลียดอะไรเลย แม้แต่คนที่ทำให้สำนักอมตะล่มสลาย เขาก็ไม่เกลียดมากนัก แต่มีสองเรื่องที่เขาเกลียด เรื่องแรกคือคนที่พาบิดามารดาของเขาไป นี่คือความแค้นของครอบครัวที่เขาไม่มีวันลืมได้ เรื่องที่สองคือคนที่ปลุกเขาจากความฝัน
ความเกลียดชังโดยเฉพาะเรื่องหลังนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนสายน้ำในแม่น้ำที่เชี่ยวกรากไม่มีวันสิ้นสุด
หยุนเลี่ยวเห็นสีหน้าไม่พอใจของเหวินผิง เขาได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วโค้งคำนับเล็กน้อย ก่อนจะขอโทษว่า "ขออภัยที่รบกวนท่านเจ้าสำนัก ขอท่านโปรดอย่าถือสา"
"ข้าจะถือสาได้ยังไง มีอะไรก็รีบพูดมา"
ขณะที่พูด สีหน้าของเหวินผิงยังคงแสดงความโกรธอย่างชัดเจน แต่ก็ยังสามารถควบคุมอารมณ์หงุดหงิดจากการตื่นนอนได้
โดยไม่มีทางเลือก นี่เป็นอาจารย์ที่เขาพยายามหามาอย่างยากลำบาก จะให้มาตวาดจนเขาออกไปในวันแรกเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ คงไม่ได้หรอก
หยุนเลี่ยวพูดว่า "เรื่องเป็นเช่นนี้ ข้าเพิ่งไปที่เขตแดนลมปราณเพื่อเตรียมฝึกตน แต่มีพลังบางอย่างขวางทางข้าไว้ ข้าถามลุงหวังแล้ว แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จึงได้แต่มาปลุกท่านเจ้าสำนัก"
"ท่านไปหาลุงหวังมาแล้วยังกล้ามาหาข้าอีกเหรอ?"
"ลุงหวังอารมณ์ไม่ดีแต่เช้าเหมือนกับท่านเจ้าสำนักเช่นกัน ข้านึกไม่ถึงจริงๆ"
จริงๆ แล้วหยุนเลี่ยวไม่อยากมาหาเหวินผิงเช้าขนาดนี้ เพราะลุงหวังเคยเตือนเขาไว้ว่า ถ้าไปปลุกเหวินผิงตอนเช้า เขาอาจจะโดนปาด้วยดาบกลับมา
แต่ถ้าไม่มาหาเหวินผิง เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน เขตแดนลมปราณก็ดันมีอาคมกั้นเขาไว้ข้างนอกเสียอย่างนั้น
ตอนที่ยืนอยู่หน้าเขตแดนลมปราณ ความรู้สึกของเขาไม่เคยสับสนเท่านี้มาก่อน
เหมือนตอนเด็กๆ ที่มีคนเอาขนมมาล่ออยู่ตรงหน้า แต่ก็ไม่ยอมให้กินสักที
สุดท้าย ก็ต้องมาเคาะประตูห้องของเหวินผิงตอนฟ้ายังไม่สาง
เหวินผิงไม่ได้ตอบกลับทันที แต่ถามระบบในใจว่า "ระบบ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?"
[เพราะเขายังไม่ได้จ่ายเงิน]
"แค่นี้เอง?"
[แค่นั้นแหละ]
เหวินผิงพยักหน้าเข้าใจ หายใจเข้าลึกๆ พยายามระงับความโกรธ แล้วพูดกับหยุนเลี่ยวว่า"รอข้าสักครู่ ข้าจะไปแต่งตัวก่อน แล้วก็จัดการอารมณ์ให้สงบ ปลุกสติให้ตื่นเต็มที่"
จากนั้นเหวินผิงก็พูดเสริมขึ้นว่า "ตั้งแต่เด็กข้าก็มีอารมณ์หงุดหงิดตอนตื่นนอนเช่นนี้ คราวหน้าอย่ามาปลุกข้าเช้าขนาดนี้อีก ไม่งั้นข้าจะโกรธท่านจริงๆ"
หยุนเลี่ยวถามด้วยความสงสัย "อารมณ์หงุดหงิดตอนตื่นนอน?"
เขาไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน
เหวินผิงอธิบายว่า "นั่นคือตื่นมาแล้วรู้สึกหงุดหงิด โมโหโดยไม่มีเหตุผล พอตั้งสติได้ก็หายไปเอง"
(จบตอน)