บทที่ 6 ผู้มีความสามารถพิเศษ
เดินออกจากประตู อัศวินหญิงบริดเจ็ทแขวนค้อนโซ่ไว้บนเกราะไหล่ของเธอ หยิบเหรียญทองออกมาจากเข็มขัดของเธอ ดีดนิ้วหัวแม่มือของเธอส่งเหรียญทองหมุนวนแล้วส่งเสียงว่า “เฟลมมิงโรส!”
เหรียญกลิ้งไปในอากาศและส่งเสียงดัง 'กริ๊ง' อย่างชัดเจน ถึงจะมีเสียงดีดแต่มันไม่ได้ตกลงกับพื้นแต่ตกลงไปในความว่างเปล่าครึ่งทาง กระแสน้ำวนพลังงานเวทย์มนตร์สีดำและสีแดงเบ่งบานเหมือนดอกกุหลาบ วงกลมเวทย์มนตร์เคลื่อนย้ายมวลสารกระจายออกไปด้วยคลื่นความร้อน และลมบ้าหมูเปลวไฟสีดำและสีแดงที่รุนแรงพัดออกมาจากวงเวทย์เคลื่อนย้ายมวลสาร ดูราวกับว่ามันเกือบจะจุดไฟเผาเกือบครึ่งหนึ่งของบล็อกเมืองที่อยู่โดยรอบ
เซารอนยกมือขึ้นโดยไม่รู้ตัวเพื่อสกัดกั้นเปลวไฟที่ส่องแสงแวววาว จากนั้นจึงวางมือลงเมื่อลมร้อนค่อยๆ ลดอุณหภูมิน้อยลง หลังจากที่ได้เห็นสิ่งที่บริดเจ็ทเรียกมา เขาก็ตระหนักว่าครอบครัวนี้เป็นอัศวินแห่งความตายอย่างแท้จริง
ร่างสูงตระหง่านต่อหน้าต่อตาของเซารอนคือม้าสีดำตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ดวงตาของมันเปล่งประกายสีแดง เห็นได้ชัดว่าเป็นสัตว์วิเศษ หรือ ไนท์แมร์, ไม่สิ เขาควรจะเรียกมันว่าเฮลสตรีทน่าจะเหมาะกว่า
ยกเว้นแผงคอที่คอของมันแล้ว ขนยาวบนกีบทั้งสี่ มันถูกเผาไหม้ด้วยเปลวไฟแห่งนรก ที่ตำแหน่งหัวม้าและปลายจมูกมีเขายาวโค้งขึ้นเล็กน้อย รูปร่างหน้าตาและรูปร่างคล้ายกับม้าพันธุ์ไชร์อย่างมากเมื่อเห็นความสูงของลำตัวเหนือไหล่เขาจนเกือบ 2 เมตรนั่น เซารอนเสียบหอกมังกรลงบนพื้นและปลายหอกก็มีความยาวอยู่เหนือหลังม้าเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงความสูงของเขาที่ไปถึงเพียงต้นขาของมัน
“เฮ้ ดูเหมือนว่านายจะมีพรสวรรค์อยู่บ้างนะ” อัศวินสาวมองไปที่เซารอนที่กำลังศึกษาสภาพของไนท์แมร์ด้วยสีหน้าประหลาดใจ “นายไม่ได้รับผลกระทบจากออร่าความกลัวของโรสเลยนะ จะว่าไป...เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ตอนที่นายมาหาข้าและพ่อ นายก็ไม่มีการตอบสนองเลยนี่...”
"ห้ะ อะไรล่ะนั่น?" ก่อนที่เซารอนจะตอบสนองไปมากกว่านี้ เสียงของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ก็ดังก้องอยู่ในหูของเขา
“อบีดิส! มาเล่นด้วยกันสิ! หืม? นี่เป็นของว่างสำหรับโรสใช่หรือเปล่า? ขอบคุณนะ ข้ายินดีรับมันไว้เลย!” ไนท์แมร์อ้าปากใหญ่โชว์เขี้ยวและกัดหัวของเซารอน
“เฮ้ เฮ้ เฮ้ ระวังม้าของเธอด้วยสิ มันอยากจะกินข้าแล้วนะ!” เซารอนรีบยกหอกมังกรขึ้นมาต่อสู้
"ฮ่าฮ่า โรสล้อเล่นเองน่า" อัศวินสาวคว้าแผงคอเปลวไฟอย่างตั้งใจและดึงไนท์แมร์กลับมาด้วยท่าทางที่เอาใจใส่ราวกับสุนัขที่ไม่กัดเจ้าของ
“เอามาให้โรส กลิ่นวิญญาณหอมมาก โรสอยากได้!” ไนท์แมร์พ่นลมหายใจแล้วพ่นควันหนาทึบที่เต็มไปด้วยประกายไฟใส่เซารอน แผดเผาลานหน้าบ้านของอัศวิน
“ดูสิ! มันพูดออกมากับปากเลยนะ! มันบอกว่าอยากกินข้า!” เซารอนตะโกนด้วยความโกรธ ตอนนี้เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไฟุถูกพ่นไปที่ศีรษะของเขา แต่ถูกทำลายโดยหอกมังกรผู้บุกเบิก และไฟปีศาจเปลวไฟสีดำก็ถูกแบ่งออกทั้งสองด้าน
แต่เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติ จะเห็นได้จากท่าทางของบริดเจ็ทในตอนนี้
“นายเข้าใจสิ่งที่มันพูดด้วยเหรอ…?” อัศวินหญิงตกตะลึง “นายมีพลังจิตใช่หรือเปล่า?”
“อะไรนะ มันเป็นความสามารถปกติในการสื่อสารด้วยเวทย์มนตร์ไม่ใช่หรือ สิ่งมีชีวิตในโลกเวทมนตร์แบบนี้มันก็ควรมีเวทย์มนต์ไปหมดนี่นา” จะบอกว่านี่ความสามารถเฉพาะของผู้ทางข้ามเวลารึไงกัน? เป็นไปได้ไหมว่าจริงๆแล้วข้าเป็นผู้สืบเชื้อสายลึกลับของตระกูลโบราณอะไรพวกนั้นน่ะ?
"...ไม่ มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถทำได้ แม้แต่พวกเสื้อคลุมสีขาวเองก็ไม่มีพลังจิตมากนักในช่วงชีวิตของพวกนั้น... เอาน่า หยุดกัดได้แล้ว! ครึ่งถนนลุกเป็นไฟไปแล้วเนี่ย!" บริดเจ็ททุบตีโรสอย่างแรง ใช้หมัดเพื่อระงับม้าจนมีเสียงดังเป็นระยะ "ใครกันแน่ที่ลักพาตัวนายมาที่นี่ แถมยังทิ้งขว้างนายที่มีคุณสมบัติพิเศษแบบนี้อีก"
ลืมเรื่องผิดศีลธรรมนั้นไปได้เลย นี่ทำให้เซารอนรู้สึออารมณ์เสียขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพียงแค่คิดถึงเรื่องที่ว่าเขาหมดสิทธิ์เป็นเด็กฝึกเวทย์เพียงเพราะเขาไม่ใช่เด็กผู้หญิง ก่อนที่จะโยนเขาทิ้งไว้ที่ท่าเรือแล้ววิ่งหนีไปในรถของตนโดยไม่ได้ให้เหรียญทองแม้แต่สองเหรียญกับเขาจนเขาเกือบจะอดตายก่อนหน้านี้...
แน่นอนว่าเซารอนก็ไม่ลืมคิดเรื่องที่ว่า อีกฝ่ายอาจไม่ได้ตั้งใจในเรื่องที่ว่าปล่อยให้เค้าอดตาย เพียงเพราะลืมไปว่าเซารอนยังเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นผู้ซึ่งยังต้องกินและใช้เงินทองเพื่ออยู่รอด
“ถ้านายมีพลังจิตจริงๆ” อัศวินสาวเห็นว่าเซารอนไม่อยากเข้าใกล้ไนท์แมร์ หลังจากคิดได้แล้วก็หยิบม้วนคัมภีร์ออกมาจากเข็มขัดแล้วยื่นให้เขา “นี่คือ คาถาอัญเชิญครั้งเดียวของม้าศึกอันเดด มันสามารถใช้งานได้เพียงต้องส่งพลังเวทย์ลงไปเท่านั้น ลองเปิดใช้งานดู นี่เองก็เป็นครั้งแรกที่นายใช้ม้วนหนังสือเวทย์มนตร์ใช่ไหมล่ะ ให้นายจ้องมองไปที่ลวดลายเวทย์มนตร์ที่อยู่ตรงกลางวงกลมเวทย์มนตร์ แล้วลองจินตนาการว่าพลังเวทย์มนตร์ในร่างกายของนายไหลออกไปเหมือนกับน้ำผุดที่พุ่งออกมาจาน…”
บริทเจทไม่มีอะไรต้องพูดอีก เพราะหลังจากพูดอย่างนั้น ทันทีที่เซารอนเปิดคัมภีร์ คาถาเวทย์มนตร์ก็ถูกกระตุ้น
ม้าศึกอันเดดสวมชุดเต็มยศและสวมเกราะโซ่ปรากฏตัวที่สนาม นี่คือม้าอันเดดที่ค่อนข้างเรียบง่าย ทั้งตัวของมันถูกปกคลุมไปด้วยโซ่เหล็กเย็น และมีเพียงดวงตาที่ว่างเปล่าเท่านั้นที่ส่องประกายด้วยแสงสีฟ้าเย็นๆ ไม่มีอาการพยศปรากฎให้เห็น เซารอนรู้สึกได้ว่าม้าศึกที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นเหมือนหุ่นเชิดที่มีเชือกอยู่ในมือ และเขาสามารถจัดการมันได้ตามต้องการ เพียงแค่คิด ม้าศึกอันเดดก็งอเข่าและย่อตัวลง ทำให้เซารอนก้าวขึ้นไปบนโกลนและขึ้นม้าได้ง่ายขึ้น
แม้ว่าเขาจะกังวลเล็กน้อยเพราะเขาไม่เคยเรียนขี่ม้ามาก่อน แต่ในไม่ช้า เซารอนก็ค้นพบว่าที่หว่างขานั้นจริงๆ แล้วใกล้กับเครื่องมือของจิตไร้สำนึก หากให้เปรียบเทียบ มันก็คงจะไม่ต่างไปจากรถยนต์ไฟฟ้าที่ควบคุมได้โดยคลื่นสมอง มันถอยหลังไปเพียง 2 ก้าวเท่านั้นหากเขานึกบอกให้มันถอยหลังไป อย่างไรก็ตาม เซารอนค่อยๆ พบเคล็ดลับในการควบคุมเพิ่มเติม เขาสามารถวิ่งไปรอบๆ สนาม หยุดกะทันหัน หมุนตัว กระโดด... ให้ตายเถอะ! มันยังลอยได้อีกด้วย! เขาคิดว่ามันไม่ใช่แค่ม้าโครงกระดูก แต่ต้องเป็นโดรนแน่ๆ!
"..." บริดเจ็ทมองดูเซารอนที่ขี่ม้าศึกอันเดดกระโดดขึ้นลงในบ้านและบนหลังคา เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง แม้แต่ในโลกเวทมนตร์ นี่ก็แปลกเกินไป หากให้อธิบายแล้ว เขาคือที่ 1 สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์สัมผัสเวทย์มนตร์ครั้งแรกจนเธออดที่จะคิดไม่ได้ว่า เซารอนพึ่งเคยใช้เวทย์มนต์จริงๆ รึเปล่า? หรือจริงๆ แล้วเป็นเพราะการคัดเลือกนักเวทย์ฝึกหัดตอนนี้เข้มงวดมากเกินไปจนทำให้คนมีความสามารถเช่นเค้าไม่ผ่านการทดสอบ?
อัศวินสาวเกาหัว แต่สุดท้ายเธอก็ขี้เกียจเกินกว่าจะคิด อย่างไรก็ตาม กองทัพผู้บุกเบิกในนิยายชีวประวัติล้วนมีเรื่องราวทำนองนี้ นั่นก็คือ เป็นตัวละครที่มีความสามารถเกินจริงมากมายกว่าผู้คนทั่วไป
เธอเปิดม้วนเก็บของอีกอันด้วยตัวเองและเรียกชุดอานม้าและสายรัดมาใส่ไนท์แมร์ของเธอ 'เบลสซิ่งโรส' (กุหลาบทอแสง) พลางขี่มันขึ้นไปในอากาศและเดินเคียงข้างเซารอน
“ระยะเวลาของม้วนคัมภีร์แบบใช้แล้วทิ้งนั้นขึ้นอยู่กับพลังเวทย์มนตร์ของผู้ใช้” บริดเจ็ทเตือน “ถ้านายรู้สึกหนาวและอ่อนแอไปทั่วทั้งตัว นั่นหมายความว่าพลังเวทย์มนตร์ของนายกำลังจะหมดลง เรียกขอความช่วยเหลือแต่เนิ่นๆเสียล่ะจะได้ไม่ตกลงไป”
เซารอน พยักหน้า พยายามเมินเฉยต่อไนท์แมร์ที่ยังคงจ้องมองเขาอยู่อย่างน้ำลายไหลย้อย “สัตว์พาหนะของเธอไม่มีเวลาจำกัดเวทย์มนตร์เหรอ?”
“โรสไม่ใช่สัตว์พาหนะของข้า เธอเป็นลูกม้าของข้าตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่ตั้งแต่ยังไม่โตเต็มที่เลย” บริสเจ็ทขี่ไนท์แมร์เพื่อก้าวออกมาจากเปลวเพลิงในอากาศและนำทางไป “ม้าของอัศวินแห่งความตายถูกเรียกมาจากยมโลก เพื่อใช้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง และหากเป็นอันเดดระดับสูงจะไม่ได้รับอนุญาตให้เรียกสัตว์พาหนะออกมาในเมืองหลวงของจักรวรรดิ เนื่องจากพวกมันมีแรงกดดันทางวิญญาณรุนแรงเกินไป และนั่นจะเป็นการเผาวงจรเวทย์มนตร์โดยรอบ แต่ตรงนี้ คือสนามฝึกกิลด์ที่อยู่นอกเมือง ข้าจึงเรียกเธอออกมาได้!”
พวกเขาพูดคุยพลางควบม้าผ่านแถวหอคอย เหยียบหัวเรือบินโครงกระดูกเพื่อข้ามกองคาราวานการค้าที่พลุกพล่าน และปีนข้ามกำแพงเมืองออบซิเดียนที่ตั้งตระหง่านเหมือนภูเขา
เมื่อมองย้อนกลับไปจากกลางอากาศ เมืองหลวงของจักรพรรดิทั้งหมดดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นในปล่องภูเขาไฟหรือวงเวทย์ ผนังด้านนอกก่อตัวเป็นวงกลมที่เรียบร้อย และอาคารบนถนนที่อยู่ภายในกำแพงก็มีความสมมาตรรอบเส้นกึ่งกลางเช่นกัน จนดูเหมือนว่ามันถูกวาดด้วยวงเวียนและคาลิปเปอร์ หลังจากบินข้ามกำแพงสูง อาคารในเมืองรอบนอกก็ดูวุ่นวายอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังมีรังรก หินประดับ และกองขยะที่ดูไม่เหมือนโครงสร้างของมนุษย์อีกด้วย
“ปราสาทตรงนั้น นั่นคือป้อมปราการสำนักงานใหญ่ของ 'กุหลาบโลหิต'” สถานที่ที่อัศวินหญิงชี้ไปนั้นอยู่ทางเหนือของเมืองหลวงของจักรพรรดิ บนยอดเขาเปลือยเปล่า มีป้อมปราการหินที่โดดเด่น รูปแบบนี้แตกต่างอย่างมากจากอาณาจักรพลังจิต เหมือนกับค่ายทหารโบราณ
“ในระหว่างการบุกโจมตีครั้งใหญ่ครั้งที่สาม กองกำลังพันธมิตรของพันธมิตรเอลฟ์ถูกส่งไปประจำการที่นั่นเพื่อปิดล้อมเมือง ในเวลานั้น ป้อมปราการส่วนใหญ่พังยับเยิน ส่วนที่เหลืออีกไม่กี่แห่งถูกใช้เป็นสถานที่ฝึกฝนสำหรับเดธไนท์ในปัจจุบัน นายเห็นตรงนั้นไหมล่ะ พวกคนแคระใช้หอกใหญ่เวทย์มนตร์นี้โจมตีป้อมปราการเหล่านั้น เพราะว่ามันคือเมืองหลวงของจักรวรรดิ พวกมันทำลายเพราะไม่คิดที่จะเหลืออะไรให้พวกเราใช้ต่อ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีคนแคระเหลือแล้ว สุดท้ายมันก็แค่มนุษย์ที่ต่ำเตี้ยเท่านั้น... ลืมไปเถอะ ข้าเองก็ไม่คิดว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์กำลังจะสูญพันธุ์หรอกนะ แต่ถ้านายสนใจ จะดีกว่าถ้าไปที่ห้องสมุดแล้วหาอ่านเอาเอง”
อัศวินสาวลงจากหลังม้า เซารอนรีบกระโดดลงจากหลังม้า ไล่ม้าผีดิบออกไป และตามนางเข้าไปในป้อมปราการ โรสคิดจะปล่อยโอกาสให้เซารอนได้เอ่ยถาม เธอส่งเสียงฟู่จากการเป่าลมออกจากปากและวิ่งเหยาะๆ ออกไป
เซารอนมองไปรอบๆ ป้อมปราการนี้ขนาดของป้อมปราการอย่างน้อยก็เท่ากับค่ายทหารระดับพันคน มีรูยิงสำหรับหน้าไม้และหอกคาบศิลาบนเชิงเทิน ดูเหมือนว่าเทคโนโลยีทางวิศวกรรมได้พัฒนาถึงขั้นหอกคาบศิลาแล้วจริงๆ ในอดีตแต่ด้วยเหตุผลบางประการจึงไม่ค่อยมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย พื้นที่เรียบด้านในซึ่งแต่เดิมเคยเป็นหอประชุมหรือโรงอาหาร ถูกเปลี่ยนให้เป็นสนามฝึกซ้อม และพื้นที่ก็กว้างขวางมาก
ในเวลานี้ มีอัศวินเพียงไม่กี่คนที่กำลังฝึกต่อสู้กับหุ่นเชิดเสาไม้ สิ่งที่ทำให้เซารอนประหลาดใจคือการเคลื่อนไหวของนักรบเหล่านี้ดู... ค่อนข้าง...ไร้ประสิทธิภาพ
เพราะจริงๆ แล้วมันเป็นการฝึกการต่อสู้ระดับมนุษย์ทั่วไป สวมชุดเกราะหนัก และถือไม้และไม้ ฝึกการเคลื่อนไหวทีละอย่าง ฝึกการเหวี่ยงและสกัดกั้น ได้โปรดเถอะนะ ในฐานะโลกมหัศจรรย์ แทนที่จะทำลายความว่างเปล่าด้วยหมัดเดียว อย่างน้อยก็มีเอฟเฟกต์พิเศษแบบไลท์เซเบอร์บ้างจะได้ไหม? การดวลเซารอนที่เห็นก่อนหน้านี้ไม่ใช่ของปลอมอย่างแน่นอน จะบอกว่านั่นเป็นเพราะทั้งสองมีจิตอาฆาตต่อกันจึงปล่อยออกมาได้รึไง?
และตอนนี้ ณ ใจกลางของสนามฝึกศิลปะการต่อสู้ มีนักรบสองคนสวมอุปกรณ์ป้องกันอันหนักหน่วงกำลังดวลกัน แต่ท่าทางมันแปลกๆ ทั้งสองคนถือดาบฝึกไม้เนื้อแข็งที่ดูเหมือนแผงประตู คนหนึ่งถือดาบด้วยมือทั้งสองข้างเหนือศีรษะในท่าฟันอย่างเจ็บแสบ อีกคนหนึ่งวางดาบเป็นมุม บิดเอวไปด้านหลัง ราวกับว่าเขากำลังจะกวาดดาบราวกับไม้กวาดกวาดพื้น พวกเขายืนใกล้กันมาก ห่างจากกันเพียงไม่กี่ก้าว แน่นอนว่า เมื่อมองดูเกราะหนาหนาของพวกเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วคงเป็นเรื่องยากที่จะหลบเมื่อมีการเคลื่อนไหว แต่ไม่มีใครทำอะไร พวกเขาแค่แสดงท่าทางต่อเนื่องอย่างช้าๆ แม้แต่คันธนูเองก็ยังถูกรั้งไว้แต่ไม่ได้ยิงออกไป
เซารอนอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองบริดเจ็ท ทำไมทั้งยังไม่เริ่มล่ะ? จะบอกว่านี่เป็นการแข่งขันเพื่อดูว่าใครจะเจ็บตัวก่อนหรือไง?
“โอ้ นี่คือการฝึกดาบขั้นสูง ก่อนอื่น พวกเขาจะเปรียบเทียบฝีมือกันด้วยเจตนาฆ่า…” บริดเจ็ทขมวดคิ้วเพราะทันใดนั้นเธอก็ตระหนักได้ว่าเซารอนดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นเจตนาฆ่าในสนามฝึก
หลังจากลังเลอยู่ในใจ บริดเจ็ทก็รวบรวมพลังและส่งร่องรอยเจตนาฆ่าไปยังเซารอน แต่ผลก็คือเซารอนไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว ในทางกลับกัน คนที่อยู่ในสนามฝึกกลับถูกกระตุ้นเนื่องจากการรบกวนอย่างกะทันหันจนพากันสะดุ้งสะเทือนกันไปหมด
นักรบที่ยืนอยู่ราวกับก้อนหินก่อนหน้า กลับพากันปลดปล่อยคลื่นพลังที่มีการปะทุขึ้นราวกับกระแสน้ำและสึนามิ ดาบที่ฟันในแนวตั้งและดาบที่เหวี่ยงในแนวนอนปะทะกันอย่างแม่นยำ ดาบยักษ์ที่มีพลังแปลกประหลาดที่น่าอัศจรรย์ยังคงไม่บุบสลาย เพราะมันได้รับความเข้มแข็งจากเวทย์มนตร์ อย่างไรก็ตาม คลื่นกระแทกที่ปะทะดาบยังคงกวนวงกลมทรายและฝุ่นที่ชัดเจนซึ่งกระจายไปทั่วเวทีศิลปะการต่อสู้ ทำให้เกิดเสียง 'บูม' ราวกับระฆังยามเช้า!
เซารอนผู้ยืนดูที่กำลังเฝ้าดูอยู่ หูอื้อ และเหงือกของเขาสั่นและสะท้านไปตามลำดับจนอดที่จะอุทานไม่ได้ว่า ให้ตายเถอะ คนพวกนี้แข็งแกร่งมาก ถ้าถูกโจมตีเขาคงเป็นอัมพาตไปแล้ว!
และมันยังไม่จบ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น
เซารอนยังมองเห็นได้ชัดเจนเพราะพวกเขาแม้จะสวมชุดเกราะหนักและอาวุธหนักต่างพากันกำลังแกว่งดาบที่ดูทรงพลังเข้าใส่กัน
เมื่อการโจมตีแรกปะทะกัน นักรบทั้งสองไม่ได้บิดดาบเพื่อผลักดันอีกฝ่าย ทั้งสองไม่ได้เปลี่ยนตำแหน่ง แต่พวกเขากลับคืนท่วงท่าทางถือดาบก่อนหน้า จากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ปะทะกันอีกต่อไป ! เพียงจับจ้องพร้อมกับมีเสียงการต่อสู้ด้วยดาบด้วยความแข็งแกร่งที่แปลกประหลาดดังขึ้นมาแทน
เสียงปะทะของดาบดังไม่หยุดและจนกระทั่งมีการแลกเปลี่ยนการโจมตีกันจนกระทั่งถึงครั้งยี่สิบห้า และนั่นคือจุดสิ้นสุดของการตัดสินผู้ชนะ
นักดาบที่ฟันด้วยดาบของเขาส่งเสียงคำรามแปลกๆ เหมือนลิง และความเร็วของการฟันนั้นเร็วกว่าสองเท่าอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม พลังสังหารของการเคลื่อนไหวนี้ถูกเบี่ยงเบนไปโดยกระแสน้ำที่มาจากด้านข้างและดาบ กระแทกพื้น “บูม” ! 'จนสร้างพื้นที่ถูกคลื่นกระแทกรูปทรงกรวย' ดาบไม้ที่ใช้ในการฝึกฝนไม่สามารถต้านทานการถูกทำร้ายได้อีกต่อไป และระเบิดออกเป็นหลายพันชิ้น
เมื่อควันจางลง นักดาบที่กำลังฟันดาบก็ถูกจ่อดาบในแนวนอนเข้าที่คอของเขา และเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากละทิ้งดาบและยอมรับความพ่ายแพ้
ผู้ชนะเหวี่ยงดาบไม้แล้วเหวี่ยงหมวกของผู้แพ้สามหรือสี่ครั้งราวกับตบหน้าเขา แล้วเขาก็ถอดหมวกเกราะป้องกันศรีษะออกอย่างมีชัย น่าแปลกที่นี่คืออัศวินสาวผมดำ "โอ้ แซลลี่ ท่วงท่าสุดท้ายนั่นสวยงามเลยนะนั่น เสียดาย มือของเธอมันเบี้ยวมันอ่อนเกินไป หรือไม่จริง อิอิอิ แถมเจ้าลิงนั่นยังร้องเก่ง ไหนยังชอบคร่ำครวญไปหน่อย 5555!”
ทางฝั่งผู้แพ้ก็เช่นกัน เธอก็แสดงใบหน้าพึงพอใจออกมา ก่อนจะทำเป็นโกรธแล้วถอดอุปกรณ์ป้องกันออก นั่นเผยให้เห็นว่าเธอเองก็เป็นอัศวินหญิงผมสีเงินและตาสีแดง เธอมองบริดเจ็ทด้วยสายตาขุ่นเคือง “พี่สาว เธอแกล้งข้าแล้วนะ...”
บริดเจ็ทเกาคางด้วยความเขินอาย แท้จริงแล้วมันเป็นเจตนาฆ่าที่พุ่งออกมาอย่างกะทันหันของเธอซึ่งขัดขวางการดวลระหว่างทั้งสอง มันเป็นช่วงที่สมาธิของแซลลี่ยังไม่ถึงจุดสูงสุด และเมื่อเธอถูกรบกวนอย่างกะทันหัน เธอย่อมถูกคุกคามจากเจตนาฆ่าอย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ได้รับการยืนยันแล้วว่าทั้งสองคืออัศวินหญิง และพวกเธอกำลังมองไปที่เซารอนที่สับสนอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางคลุมเครือ แม้เด็กชายคนนี้จะถูกคุกคามจากเจตนาฆ่าในทางทฤษฏี แต่ความจริงแล้วเขาเพียงแค่จ้องมองการประลองอย่างตั้งอกตั้งใจเพียงเท่านั้น
ดูเหมือนเขาจะไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของ 'เจตนาฆ่า' ที่ว่าแม้แต่น้อย