บทที่ 36 สำนักเกาซานร้อนใจ!
"ที่นี่มันอะไรกันเนี่ย แม้แต่ที่นั่งยังไม่มี"
หลี่เยว่มี่บ่นพึมพำ จากนั้นก็พับชายกระโปรงขึ้น หาทำเลที่ดูสะอาดพอจะนั่งพักสักครู่ บันไดหินพันขั้นนี้ทำให้นางเหนื่อยล้าเต็มที นั่งชมวิวไปพลางสบายกว่าเยอะ
ซือหัวเดินตามหลังมา บีบนวดไหล่ให้นางเบาๆ หวังจะช่วยลดความหงุดหงิดลงบ้าง
ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง
"ซือหัว หลี่เยว่มี่?"
ทั้งสองหันไปมองพร้อมกัน ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้เอ่ยปาก เหวินผิงที่ยืนอยู่บนขั้นบันไดก็พูดขึ้นก่อน
"พวกเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?"
"มีเรื่องจะคุยกับเจ้า" ซือหัวตอบ
"อย่าคิดมาก ข้าแค่มาเป็นเพื่อนซือหัว ไม่ได้มาหาเจ้าโดยเฉพาะ" หลี่เยว่มี่รีบอธิบาย
จริงๆ แล้วพอพูดออกไป นางก็รู้สึกว่ามันเกินจำเป็น ไม่สนใจไม่ดีกว่าหรือ จะอธิบายให้มากความทำไม?
เหวินผิงเหลือบมองหลี่เยว่มี่ที่หน้าบึ้งตึง ก็ไม่ได้มีสีหน้าดีไปกว่ากัน เขาเชื่อว่าหลี่เยว่มี่ไม่มีทางเต็มใจมาที่สำนักอมตะแห่งนี้หรอก เพราะเขาไม่เคยเห็นพนักงานที่ลาออกจากบริษัทไหน จะกลับไปหาเจ้านายเพื่อรำลึกความหลัง
ความน่าจะเป็นของเรื่องนี้ก็เท่ากับว่าตอนนี้เขาจะกลิ้งจากยอดบันไดพันขั้นลงไปจนถึงตีนเขาอวิ๋นหลานโดยที่ไม่เป็นอะไรเลย
แต่เขาก็ไม่ใช่คนใจแคบ อย่างน้อยก็ไม่ใช่กับซือหัว เขาจะใจกว้างกับนาง
"ขึ้นมานั่งก่อนเถอะ มีอะไรเรามาคุยกันดีๆ" เหวินผิงพูดจบก็หมุนตัวหายไปจากยอดบันได
"แบบนี้ค่อยน่าฟังหน่อย!"
หลี่เยว่มี่แค่นเสียงเย็นชา ก่อนจะลุกขึ้นยืน คิดในใจว่า ในเมื่อเจ้าเชิญข้าแล้ว ข้าก็จะให้เกียรติเจ้าหน่อยก็แล้วกัน
แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เหวินผิงก็กางมือออก ขวางหน้าหลี่เยว่มี่ไว้ พลางพูดเสียงเย็นว่า "ขออภัย สำนักอมตะไม่ต้อนรับคนนอก"
"เจ้า!"
หลี่เยว่มี่จ้องเหวินผิงด้วยความโกรธ ก่อนจะหันหลังกลับ เริ่มมีอารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นมา แต่แล้วก็หัวเราะเยาะออกมา
นางควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว เปลี่ยนความโกรธเป็นถ้อยคำเยาะเย้ย
"สำนักอมตะเป็นแบบนี้ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าอยากจะขึ้นไป?"
"ก็ดีแล้ว!"
พูดจบ เหวินผิงก็หมุนตัวเดินจากไป
ถึงแม้ว่าหลี่เยว่มี่จะควบคุมอารมณ์ได้ดีเพียงใด แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้าอย่างแรงด้วยความคับแค้นใจ
ซือหัวชวนหลี่เยว่มี่ขึ้นไปด้วยกัน บอกว่าเหวินผิงแค่ล้อเล่น แต่หลี่เยว่มี่ส่ายหัวรัวเหมือนตีกลองและปฏิเสธหนักแน่น เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไร ซือหัวจึงต้องเดินตามเหวินผิงไปเพียงลำพัง
เมื่อเดินตามเหวินผิงไปถึงศาลา ทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะหิน หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบสองสามอึก ก่อนจะเริ่มพูดคุยกัน
ซือหัวกลัวว่าหลี่เยว่มี่จะรอนาน จึงไม่พูดคุยทักทายอะไรมากมาย และไม่ได้ถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ถึงแม้ว่านางจะอยากรู้มาก ว่าสิ่งที่เหวินผิงพูดนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ และอยากรู้มากว่าทำไมเจียงเยว่เยี่ยถึงเลือกที่จะช่วยเหลือสำนักอมตะอย่างเต็มที่ ทั้งๆ ที่ผู้อาวุโสทั้ง 10 คนของสาขาต่างคัดค้าน
ซือหัวเริ่มพูด "เหวินผิง เรื่องขอเลื่อนระดับดาวไม่ราบรื่นนัก ท่านรองฯ เจียงพยายามอย่างเต็มที่แล้ว"
"หืม? เกิดอะไรขึ้น?"
เขาจำได้ว่าเมื่อวานเจียงเยว่เยี่ยบอกว่าจะจัดการให้ได้แน่นอน ผ่านไปแค่คืนเดียว สถานการณ์กลับเปลี่ยนไปมากขนาดนี้เลยหรือ?
"เมื่อวานท่านรองฯ เจียงเรียกประชุม ใครจะไปรู้ว่าผู้อาวุโสทั้ง 10 คนของสาขาจะรวมหัวกัน ออกเสียงคัดค้านคำขอของสำนักอมตะ ข้าคิดว่าต้องเป็นแผนของเจ้าสำนักเกาซานแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่มีใครในเมืองชางอู๋กล้าหาเรื่องท่านรองฯ เจียงหรอก"
"ตอนนี้เจ้ามาบอกข้าเรื่องนี้ ไม่เท่ากับทรยศสำนักเกาซานหรือ? เจ้าไม่กลัวเลยหรือ?"
"ข้ารับปากเจ้าแล้ว และนอกเหนือจากเรื่องสำนัก เจ้ากับข้าก็ยังเป็นสหายกัน"
"ขอบคุณ ข้าก็พอจะเดาได้ว่าเรื่องนี้คงไม่ง่าย เจ้าสำนักพวกเจ้าตั้งใจจะเล่นงานสำนักอมตะ จะยอมให้ข้ากับเจ้าแก้ไขสถานการณ์ได้ง่ายๆ ได้อย่างไร? แต่เอาเถอะ ไม่เป็นไรหรอก"
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาคงกังวลกับสถานการณ์เช่นนี้ไม่น้อย เพราะว่าการขัดขวางเพียงครั้งเดียว อุปสรรคเพียงครั้งเดียว อาจทำให้สำนักอมตะต้องสลายไป แต่ตอนนี้มันต่างออกไป
กลางวันมีหยุนเลี่ยวคอยปกป้องสำนัก กลางคืนก็มีอัศวินปีศาจคอยคุ้มครองทุกตารางนิ้วของสำนักอมตะ
ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป สักวันต้องทำให้สำนักเกาซานต้องตกตะลึง
ดูเหมือนซือหัวจะไม่คาดคิดว่าเหวินผิงจะตอบแบบนี้ นางเองที่ได้ยินข่าวนี้ก็ยังใจหายใจคว่ำ
“ไม่เป็นไรรึ?”
"เรื่องมันเป็นแบบนี้แล้ว ก็ได้แต่พูดว่าไม่เป็นไร ไม่งั้นข้าก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว"
ซือหัวพยักหน้า "ข้าเข้าใจแล้ว แต่เจ้าก็อย่าเพิ่งหมดหวัง ผู้อาวุโสเจียงเยว่เยี่ยยังคงยืนหยัดให้โอกาสเจ้าได้พักหายใจอีกหนึ่งเดือน เดือนหน้าเมื่อประธานสาขากลับมา จะมีการประชุมเพื่อตัดสินเรื่องนี้อีกครั้ง ในระหว่างนี้ สมาคมร้อยสำนักจะไม่ช่วยเหลือสำนักเกาซานทำอะไรทั้งนั้น"
"งั้นข้าก็ยังมีเวลาสงบสุขอีกหนึ่งเดือน?"
"ไม่"
"สถานการณ์แย่ลงอีกแล้ว?"
"ใช่ เมื่อคืนข้าได้ยินบิดาพูดว่า สำนักกำลังวางแผนอะไรบางอย่างเกี่ยวกับสำนักอมตะ และบอกว่าอีกสองวันนี้อาจจะมาที่สำนักอมตะด้วย ส่วนแผนการนั้นคืออะไร จะทำอะไรบ้าง ข้าก็ไม่ทราบ"
"นี่มันโมโหจนหน้ามืดตามัวแล้วหรือ?"
"ก็คงประมาณนั้น เพราะฉะนั้นเหวินผิง ท่านต้องระวังตัวด้วย จำไว้ว่าห้ามลงมือเด็ดขาด แม้ว่าคนของพวกเขาจะพูดจาดูถูกเจ้า เจ้าก็ต้องอดทนไว้ ไม่งั้นจะเป็นการเปิดโอกาสให้คนพวกนั้น"
"ข้าเข้าใจแล้ว ตราบใดที่พวกเขาไม่ลงมือ ข้าก็จะไม่ลงมือ"
"แบบนั้นดีที่สุด"
ซือหัวหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ เงยหน้ามองไปรอบๆ ดูเหมือนจะรู้สึกว่าตัวเองอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว
จริงๆ นางนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาด้วยซ้ำ พูดคุยกันไปไม่ถึงสิบประโยค
หลังจากลุกขึ้นยืน ซือหัวก็กล่าวลาเหวินผิง
"ข้าพูดทุกอย่างที่ควรจะพูดแล้ว เหวินผิง เจ้าดูแลตัวเองด้วยนะ นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะมาพบเจ้าแล้ว"
เหวินผิงพยักหน้ารับ ความระแวดระวังต่อสำนักเกาซานในใจของเขาเพิ่มขึ้นเมื่อซือหัวลุกขึ้นจากไป
หลังจากครึ่งปีผ่านไป ในที่สุดมันก็หิวอีกครั้ง เหมือนหมาป่าหิวโซที่กำลังจะล่าเหยื่อ ค่อยๆ ย่างกรายเข้ามาหาสำนักอมตะ หวังจะกินเนื้อที่ยังกินไม่หมดในครั้งก่อน
บางทีตอนนี้เขาตัวคนเดียวอาจจะไม่มีพลังพอจะต่อกรกับสำนักเกาซาน ไม่สามารถหลุดพ้นจากการกลืนกินของมัน และยิ่งไม่สามารถทำให้สำนักเกาซานล่มสลายได้
แต่เหวินผิงสาบานว่า หากคนของสำนักเกาซานกล้ามา เขาก็กล้าที่จะให้ตัวเองได้อาบเลือดท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็น
สุนัขมีเห็บเยอะย่อมไม่กลัวคัน เขามีระบบ สามารถกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้เสมอ แต่สำนักเกาซาน หากผู้ฝึกตนระดับ 13 ตายไปหนึ่งคน มันจะเจ็บปวดไปอีกหลายปีหรือไม่?
ตอนที่ส่งซือหัวลงเขา หลี่เยว่มี่ที่ดีใจมากก็วิ่งเข้าหาซือหัว แต่เมื่อเห็นเหวินผิงเดินตามหลังมา สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป กระซิบข้างหูซือหัวเบาๆ นางคิดว่าเหวินผิงไม่ได้ยิน แต่เหวินผิงได้ยินชัดเจน
"ไม่มีใครเลยสักคน ที่เจ้าพูดถึงหยางเล่อเล่ออะไรนั่น หรือผู้อาวุโสระดับ 13 น่ะ มีที่ไหน?"
"ไปเถอะ"
ซือหัวไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่จูงมือหลี่เยว่มี่เดินลงบันไดไป
ก่อนจะจากไป หลี่เยว่มี่ได้มองเหวินผิงอีกครั้ง แต่มันไม่ใช่สายตาแห่งความอาลัย หากแต่เป็นสายตาที่ต้องการเห็นสภาพอันน่าเวทนาของเขา
อดีตคุณชายน้อยแห่งสำนักสองดาว ตอนนี้เหลือเพียงลำพัง มีภูเขาเป็นสหาย มีนกเป็นมิตร ช่างน่าสังเวชนัก ชะตาชีวิตพลิกผันจริงๆ สูงส่งเพียงใด เมื่อตกต่ำลงก็ยังไม่เท่านางเลย
ด้วยฐานะของเหวินผิง หากเมื่อก่อนเขาพยายามอีกสักหน่อย แค่นิดเดียว สำนักเกาซานและตัวเขาเองก็คงไม่เป็นแบบนี้
ผลลัพธ์ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นเพราะการกระทำของเขาเอง
ไม่สามารถโทษสำนักเกาซาน หรือโทษคนที่ออกจากสำนักอมตะได้
(จบตอน)