บทที่ 3 กฎเกณฑ์สุดประหลาด
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเมื่อเจ็ดวันก่อน
เดิมทีเหวินผิงคิดว่าด้วยสนามโน้มถ่วงวิเศษเช่นนี้ เขาจะสามารถเสาะหาศิษย์ได้มากมายในเมืองชางอู๋ที่เชิงเขา แม้ว่าพรสวรรค์จะด้อยเพียงใดก็ไม่สำคัญ ด้วยพลังที่ช่วยเร่งการบำเพ็ญเพียรถึงเก้าเท่า ต่อให้เป็นหมูก็คงทะยานขึ้นฟ้าได้ไม่ยาก
ทว่าระบบกลับมอบมาตรฐานการรับศิษย์ที่ทำให้เขาแทบสิ้นหวัง
ในดินแดนหยุนอวิ๋น ทุกสำนักล้วนรับศิษย์โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แถมยังมีทรัพยากรสำหรับการบำเพ็ญเพียร วิชาต่างๆ ทั้งวิชาฝึกพลังลมปราณ รวมไปถึงอาจมีแผนที่กระสวยพลังให้ด้วยซ้ำ
แต่สำหรับสำนักของเขาไม่เพียงแต่ไม่มอบสิ่งเหล่านี้ กลับกัน ระบบยังตั้งกฎให้จ่ายเงินเพื่อเข้าร่วมสำนักอมตะอีกต่างหาก
เรื่องเก็บค่าธรรมเนียมก็ยังพอรับได้อยู่หรอก เพราะหลายคนก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง ลูกหลานของเหล่าคหบดีผู้มั่งคั่งบางคนมีพรสวรรค์ไม่ดี เมื่อเข้าสำนัก 1 ดาวหรือ 2 ดาวไม่ได้ ก็จะยอมจ่ายเงินเพื่อเข้ามาบำเพ็ญเพียรในสำนัก เหวินผิงจึงวางแผนจะมุ่งเป้าไปที่คนกลุ่มนี้ แต่ระบบก็มีกฎอีกข้อนั่นคือ
ผู้สมัครเป็นศิษย์ต้องมีระดับการฝึกกายาอย่างน้อยขั้นที่ 5 เมื่ออายุ 15 ปี จึงจะสามารถเข้าร่วมสำนักอมตะได้
พูดก็พูดเถอะ ตอนที่เขาอายุ 15 ปี เขามีสำนักอมตะ 2 ดาวที่รุ่งเรืองเป็นเสาค้ำจุน ทำให้ได้รับทรัพยากรการฝึกฝนมากมาย ตอนนี้เขาอายุ 18 ปี เขาก็ยังเป็นเพียงระดับการฝึกกายาขั้นที่ 5 คนธรรมดาถ้าอยากจะฝึกฝนกายาให้ถึงขั้นที่ 5 ตอนอายุ 15 นอกจากจะเป็นอัจฉริยะแล้ว ก็มีเพียงสำนัก 2 ดาวหรือ 3 ดาวเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนได้ถึงระดับนี้
หากมีอัจฉริยะเช่นนี้ปรากฏในเมืองชางอู๋ ก็คงถูกสำนัก 2 ดาวและ 3 ดาวมาเยี่ยมและรับตัวไปแล้ว
แผนการมุ่งเป้าไปที่ลูกหลานคหบดีผู้มั่งคั่งเหล่านั้นจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า
"ระบบ เจ้าดูสิ คนหนึ่งมาแล้วก็จากไป เจ้าไม่ควรผ่อนปรนมาตรฐานการรับศิษย์ลงหน่อยหรือ"
ระบบตอบอย่างเฉยเมยว่า [โฮสต์ โปรดระมัดระวังกิริยาของท่าน ในฐานะผู้ครอบครองระบบสุดยอดสำนัก ท่านต้องตระหนักว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีคุณสมบัติคู่ควรกับการเข้าร่วมสำนักอมตะ สำนักแห่งนี้ไม่ใช่สถานสงเคราะห์ เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียรนั้นมีไว้สำหรับผู้ที่คู่ควรเพียงหยิบมือเท่านั้น]
"แต่ปัญหาก็คือ 3 วันแล้ว ข้ายังไม่ได้รับศิษย์เลยสักคน!"
[เลือกเฟ้นอย่างถี่ถ้วน แม้ว่าจะรับศิษย์เพียงคนเดียวต่อปีก็ตาม แน่นอน โฮสต์ไม่จำเป็นต้องทำตามมาตรฐานของข้าก็ได้ แต่บทลงโทษก็คือการถอนสนามโน้มถ่วง 3 เท่า เพียงเท่านั้น]
เหวินผิงยิ้มอย่างขมขื่นและยอมจำนน
แต่ก่อนที่จะยอมแพ้ เขาก็ยังไม่วายพูดข่มขู่ "ระบบ หากเจ้ากลายเป็นมนุษย์ในอนาคต อย่าได้คิดออกไปเดินเพ่นพ่านตามท้องถนนเชียว"
[ทำไมหรือ]
เหวินผิงตอบอย่างเย็นชา "มันง่ายต่อการถูกผู้อื่นทุบตีจนตาย!"
พูดจบเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้ เอาใบรับสมัครปิดบังใบหน้า เอนหลังนอนพักสายตา และปล่อยให้เสียงพูดคุยพัดผ่านหูของเขาไป
ในเวลานี้ เด็กหนุ่มและเด็กสาวเดินเคียงบ่าเคียงไหล่มาทางนี้
ทั้งสองแต่งกายหรูหรา ชายเสื้อขลิบด้วยไหมทอง และมีวี่แววของความเป็นลูกหลานตระกูลสูงส่งอยู่ระหว่างคิ้ว ดาบหยกที่ประดับด้วยทองคำและฝังด้วยหยกในมือของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะซื้อได้
เมื่อมาถึงเชิงเขาอวิ๋นหลาน ทั้งสองก็มองไปที่ป้ายไม้ "สำนักอมตะรับสมัครศิษย์" แล้วเหลือบมองชายหนุ่มที่หลับใหล
ไม่น่าแปลกใจที่สำนักอมตะเสื่อมถอยลงอย่างต่อเนื่องติดๆ กัน จากสำนัก 2 ดาวร่วงลงมาเป็นสำนักไร้ดาวในทันที
ด้วยมีคนขี้เกียจเช่นนี้ สำนักนี้จะพัฒนาและเติบโตได้อย่างไร?
ในขณะที่เธอกำลังจะตะโกนเรียกชายคนนั้น น้องชายข้าง ๆ ก็สะกิดแขน "พี่หญิง ดูสิ นี่อะไร"
"อะไรนะ"
เธอหันกลับมาทันทีและมองไปในทิศทางที่น้องชายของเธอชี้ไป
ที่มุมขวาล่างของป้ายไม้มีคำกำกับไว้ว่า "ผู้ใดต้องการเข้าสำนัก ไม่ว่าจะเป็นใคร ต้องจ่ายหนึ่งพันตำลึงทอง หากไม่มีเงิน เชิญไปที่อื่น!"
"ยังต้องจ่ายเงินอีกหรือ"
เธอรีบขยี้ตาด้วยท่าทางไม่อยากจะเชื่อ
สำนักอมตะกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร? หลังจากมองไปรอบ ๆ สองสามครั้ง เธอก็เข้าใจว่าทำไมไม่มีใครมาถามข่าวการรับศิษย์ที่นี่
"นี่ ตื่น! เจ้าสำนักของเจ้าเขียนผิดหรือเปล่า"
พูดจบ เธอก็ตบโต๊ะ
ปัง! ปัง!
เหวินผิงไม่รู้สึกรำคาญเมื่อถูกรบกวนเช่นนี้ เขารีบนำใบสมัครออกจากใบหน้าและเหยียดตัวขึ้นกระทันหัน
"พวกเจ้าสองคนมาเข้าร่วมสำนักอมตะหรือ"
"ยังต้องจ่ายเงินจริงๆ หรือ" ขณะพูดไป เธอก็เดินไปที่ป้ายไม้ นิ้วเรียวงามชี้ไปที่บรรทัดล่างขวา
เหวินผิงไม่ได้รีบตอบคำถามของเธอ แต่ดูข้อมูลคร่าวๆ ของทั้งสองแทน
[หวงชาง]
เพศ: หญิง
อายุ: 15
ขอบเขต: ฝึกฝนกายาขั้น 3
เด็กหนุ่มอีกคนก็ไม่ต่างกัน
[หวงซาน]
เพศ: ชาย
อายุ: 15
ขอบเขต: ฝึกฝนกายาขั้น 3
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เหวินผิงก็หมดความสนใจที่จะสนใจพวกเขาทั้งสอง เขาต้องการที่จะยอมรับพวกเขา แต่กฎที่กำหนดโดยระบบไม่อนุญาต
เหวินผิงพยักหน้าอีกครั้ง ชายหญิงคู่นั้นก็หันหลังเดินจากไปทันที พร้อมกับความหวังสุดท้ายของเหวินผิงที่รอคอยศิษย์ที่จะมาสมัครเองก็หายไปด้วย
หลายวันที่ผ่านมา เขาเจอกับสถานการณ์เช่นนี้บ่อยครั้ง ดูเหมือนว่าเขาจะต้องออกไปมองหาศิษย์ด้วยตัวเองแล้ว ตอนนี้เขามีไพ่ตายอยู่ในมือพอดี!
ขณะที่ทั้งสองกำลังจะเดินออกจากถนนสายนี้ พวกเขาก็ถูกเรียกให้หยุดในชั่วขณะ
"ขอโทษที มิทราบว่าสำนักอมตะไปทางไหน?"
ทั้งสองถูกเรียกให้หยุดก่อนที่จะเดินไปได้ไกลนัก
คนที่เรียกพวกเขาเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปี ผิวพรรณเนียนละเอียดขาวผ่อง ท่าทีดูสุภาพเรียบร้อย คิ้วเข้มเรียวคมดุจกระบี่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเผยให้เห็นถึงออร่าพิเศษ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น เมื่อมองมาที่เธอ หวงชางก็ลืมเรื่องความต่างของอายุไปโดยสิ้นเชิง
เธอถึงกับฝันหวานว่าจะได้เป็นผู้หญิงของชายผู้นี้ ได้นอนซบอกของเขาในอ้อมแขนทุกค่ำคืน
จนกระทั่งหวงซานน้องชายของเธอสะกิด เธอจึงหลุดจากภวังค์
"พี่หญิง ท่านเป็นอะไรไป?"
"อ๊ะ! โอ้! สำนักอมตะรึ ท่านเดินตรงไปตามถนนสายนี้ก็จะเจอเอง"
"ขอบคุณมาก" พูดจบ ชายหนุ่มก็ก้าวออกไป
หวงชางรีบเรียกเขาไว้ "ท่าน... ท่าน หากท่านจะไปสำนักอมตะ ข้าเกรงต้องบอกให้ท่านทราบด้วยความเสียใจว่า สำนักอมตะไม่มีแล้ว"
"ไม่มีแล้ว?" ชายหนุ่มหันกลับมาทันทีด้วยความสงสัย "สำนักอมตะเป็นสำนัก 2 ดาวแห่งเดียวในรัศมีห้าร้อยลี้ จะไม่มีได้อย่างไร?"
สำนัก 2 ดาว ย่อมมีผู้แข็งแกร่งระดับทงเสวียนขั้นแรกคุ้มครอง
"ท่านไม่ใช่คนเมืองชางอู๋หรือ?"
"ใช่แล้ว ข้ามาจากเมืองซิงเยว่"
"ถ้าอย่างนั้นก็หาแปลกใจไม่ที่ท่านไม่รู้ สำนักอมตะประสบภัยพิบัติเมื่อปีที่แล้ว เจ้าสำนักเสียชีวิต ต้นไม้ล้มลิงก็กระเจิง ปีนี้คนในสำนักอมตะก็จากไปเกือบหมดแล้ว ตอนนี้หากท่านไป ก็คงเห็นแต่เพียงเปลือกของสำนักอมตะเท่านั้น"
"ขอบคุณที่บอกกล่าว" เมื่อได้ยินดังนั้น หยุนเลี่ยวก็ขมวดคิ้ว
หรือว่าเขาควรไปสำนักอื่นแทน?
แต่เมื่อคิดดูอีกที เขาก็ยังตัดสินใจไปดู แม้ว่าจะเห็นเพียงเปลือกของสำนักจริงๆ เขาก็ไม่อยากกลับไปโดยที่ยังไม่ได้เห็นกับตา
"คุณชาย ท่านยังจะไปอีกหรือ"
"ข้าตั้งใจมาเข้าสำนัก เดินทางมาไกลแสนไกล ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไปดูให้เห็นกับตา" พูดจบ หยุนเลี่ยวก็ก้าวออกไป
หวงซานที่อยู่ข้างๆ ก็รีบพูดขึ้น "สหาย การเข้าสำนักอมตะต้องใช้เงินหนึ่งพันตำลึงทอง ถ้าไม่มีเงินทองมากขนาดนั้น คนของสำนักอมตะจะไล่ตะเพิดเจ้าออกไปทันที"
"มีกฎแบบนี้ด้วยหรือ?"
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยุนเลี่ยวก็ยิ่งรู้สึกว่าควรไปดูสำนักอมตะแห่งนี้ให้ได้ เหตุผลมีสองข้อ ข้อแรก คำพูดของคนภายนอกอาจเป็นข่าวลือ เขาเชื่อในสิ่งที่เห็นกับตาตัวเองเท่านั้น ข้อสอง การเข้าสำนักต้องจ่ายเงินหนึ่งพันตำลึงทอง นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน คุ้มค่าที่จะไปดูเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของเขา
หลังจากกล่าวลาหวงชางและน้องชาย หยุนเลี่ยวก็เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ไม่นานก็มาถึงปลายสุดถนนที่ตีนเขาอวิ๋นหลาน
ภูเขามีความเขียวขจีและมีสัตว์แปลก ๆ มากมายในป่า แต่ไม่มีสัตว์ร้ายที่กินคน นี่คือเขาอวิ๋นหลานอย่างไม่ต้องสงสัย
เส้นทางขึ้นเขาเป็นบันไดพันขั้น ปลายทางต้องเป็นสำนักอมตะที่ผู้อาวุโสตระกูลเคยบอกเขาอย่างแน่นอน เพียงแต่สำนักอมตะตอนนี้ไม่ได้รุ่งเรืองอย่างที่ผู้อาวุโสเคยกล่าวไว้
ถึงแม้จะเป็นวันรับศิษย์ของสำนัก แต่ตลอดเส้นทางเขาก็เจอแค่พี่น้องคู่นั้น ดูเหมือนว่าสำนักนี้คงเสื่อมลงจริง ๆ
ในตอนนั้น สายตาของเขาเหลือบไปเห็นโต๊ะตัวหนึ่งที่เชิงเขา สิ่งแรกที่เห็นคือป้ายที่เขียนว่า"สำนักอมตะรับสมัครศิษย์"
จากนั้น สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ค่าธรรมเนียมการเข้าสำนักหนึ่งพันตำลึงทอง
เป็นความจริงอย่างที่สองพี่น้องคนนั้นเอ่ย สำนักอมตะนี้เสื่อมโทรมลง กลายเป็นสถานที่รีดไถเงินทองไปแล้วเสีย
เฮ้อ! ดูเหมือนว่าการเดินทางครั้งนี้คงจะเสียเที่ยวเปล่า
เดินทางจากบ้านมาที่นี่เป็นระยะทางหลายร้อยลี้ ตลอดเส้นทางเขาต้องเผชิญความยากลำบากและอันตรายมากมาย ในที่สุดก็มาถึงตีนเขาอวิ๋นหลาน แต่กลับต้องพบกับสำนักอมตะที่เป็นเช่นนี้เสียนี่กระไร
ใช้การรีดไถเงินทองเลี้ยงชีพ ความเที่ยงธรรมในอดีตได้จมหายไปจนหมดสิ้น
"ดูเหมือนว่าการเดินทางครั้งนี้จะไร้ผล" หยุนเลี่ยวถอนหายใจ
(จบตอน)