บทที่ 2 เหตุและผล
อันเดดชุดคลุมขาวมองดูหญิงสาวที่หมดสติอยู่ในกระท่อม มันหยิบผมสีม่วงของเธอขึ้นมาด้วยมือที่แห้งผาก ราวกับว่ามีอากาศเย็นของเทพแห่งความตายเล็ดลอดออกมาจากเสื้อคลุมของอันเดดชุดคลุมขาว นี่ทำให้เด็กหญิงตัวสั่น ริมฝีปากของเธอสั่นสะท้าน และเปลี่ยนเป็นสีม่วงเนื่องจากความเย็น
นี่เป็นเรื่องปกติเช่นกัน ทุกครั้งที่เขาข้ามชายแดน พวกมังกรและนักฆ่าปีศาจเอลฟ์จะไล่ตามลิชเหมือนหนอนที่ติดอยู่กับกระดูกเสมอ ไม่มีเวลาตัดสินคุณสมบัติของผู้ฝึกหัดผ่านการสอนวิธีโบราณที่มีมนุษยธรรม
ดังนั้น เมื่อรับสมัครผู้ฝึกหัด อุปกรณ์เวทมนตร์จะถูกนำมาใช้เพื่อร่ายเวทย์มนต์ 'การทรมานวิญญาณ' สิ่งนี้ถูกใช้ในการกำหนดความแข็งแกร่ง รวมถึงพรสวรรค์ทางจิตของวิญญาณอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีใครถูกฆ่าในระหว่างกระบวนการนี้
แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ครั้งนี้อุลดริสโชคดี ในที่สุดก็พบเด็กฝึกที่สามารถรอดจากการทดสอบได้
อุลดริสพยักหน้าออกมาด้วยความพึงพอใจหลังจากครุ่นคิด จากนั้นหันศีรษะไปและเห็นเซารอนแอบยกเสื้อคลุมสีดำของวิญญาณแห่งดาบที่อยู่ข้างๆ เขา และมองใต้เสื้อคลุมเพื่อดูชุดเกราะของเดธไนท์เหล่านี้
“...”
'เด็กคนนี้ดูแปลกคนนัก แม้ว่าผลพวงของการพบเจออันเดดที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตนี้มันจะไม่ได้มีผลรุนแรงอะไรก็จริง แต่ก็ค่อนข้างน่ากลัวที่จะบอกว่า นี่เป็นเพราะพรสวรรค์ที่ทำให้เด็กนี่เอาชีวิตรอดจากผลกระทบจากการพบเจอจิตวิญญาณระดับลิชเช่นข้า ยิ่งกว่านั้น ดูเหมือนว่าไม่เพียงแต่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น แต่จิตใจของเขายังคงอยู่ดีอีกด้วย...'
อุลดริสที่ครุ่นคิดได้พูดออกมาช้าๆ “พวกมันคือวิญญาณแห่งดาบที่เราเรียกออกมา ด้วยเทวดาผู้พิทักษ์ที่ถูกอัญเชิญมาพร้อมกับซากศพศักดิ์สิทธิ์ พวกมันไม่ถือเป็นอันเดดแต่เป็น อัศวินแห่งความตาย”
เซารอนพูดทันทีหลังจากนั่งลงเมื่อได้ยิน "เอ่อ... ท่านได้ยินที่ฉันคิดด้วยเหรอ จริงสิ ท้ายที่สุด ท่านไม่มีเส้นเสียง ดังนั้นท่านคงต้องใช้เพียงการส่งเสียงจากสมองในการสื่อสารกับฉันสินะ"
ถ้าเขายังมีลูกตาอยู่ อุลดริสคงอยากจะกลอกตาไปมาหลายรอบเมื่อได้ยินแบบนี้ นี่ทำให้เขาต้องพูดตอบไป "เจ้าไม่มีความสามารถเท่าเด็กคนนี้ก็จริง อีกอย่าง ด้วยเหตุผลบางประการ เรารับได้เฉพาะเด็กฝึกที่เป็นผู้หญิงเท่านั้น และเท่าที่เรารู้ ไม่มีใครกำลังมองหาลูกศิษย์โดยตรง
หากเจ้ายังคงมีความทะเยอทะยานที่จะเป็น นักเวทย์ เพียงรอจนกว่าจะถึงเวลา บางทีถ้าโชคดี ลิชคนอื่นๆ จะยอมรับเจ้าเป็นเด็กฝึก หรือเจ้าอาจจะเรียนรู้มันด้วยตัวเองได้แม้จะใช้เวลาเป็นร้อยปีก็ตาม"
เก๋าเจิ้ง(เฟิงกวงตี๋ฮวนตั๋น)(ไอ้บ้าไอ้บอมะละกอตำ...)!
ภาษาจีนสั้นๆที่แฝงไว้ด้วยความหมายที่ลึกซึ้งได้ดังก้องขึ้นมา แม้เซารอนจะไม่รู้ว่าคำนี้แปลเป็นคำอะไรผ่านคลื่นสมองของเขา แต่อุลดริสก็ใช้นิ้วแทงเซารอนที่หน้าผากกะทันหัน เล็บแหลมเฟี้ยวถูกทิ่มลึกเข้าไปบนหน้าผาก จนทำให้แทบจะกระโดดขึ้นมา ในความเจ็บปวด. .
“แม่งเอ๊ย ทำอะไรห้ะ!”
“เจ้าหนู อย่าปากร้ายนักสิ คาถานี้คือ 'กำแพงป้องกันจิตวิญญาณ' เราสอนให้ในราคาสุดพิเศษ มันช่วยปกปิดความคิดของตัวเองได้ และป้องกันไม่ให้อ่านความคิดได้มากเกินไปจนน่ารำคาญจนเสียชีวิต ขอบคุณเราซะสิ”
จะสุภาพหรือจะโหดร้ายก็เอาสักอย่างสิ...
เซารอนคลุมศีรษะแล้วนั่งลง " คุณช่วยหาใครมาสอนเวทมนตร์ฉันได้ไหม หรือไม่ก็คนช่วยถ่ายทอดเวทย์มนต์ให้ฉันมากกว่านี้ได้รึเปล่า "
นี่คือ 'ตราวิญญาณ' ซึ่งประทับตราเวทย์มนตร์โดยตรง เทคนิคลับในการใส่คาถาในช่องคาถา หากมีการปวดหัว นั่นอาจเป็นเพราะเจ้าของช่องคาถาใช้มันหมดแล้ว และไม่สามารถแกะสลักวิญญาณลงไปได้อีก ช่องคาถา เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงขีดจำกัดสูงสุดต่อวันของการร่ายประเภทเวทย์มนตรสำหรับสิ่งมีชีวิต หลังจากใช้ช่องคาถาจนหมด จะต้องพึ่งพาอุปกรณ์เวทย์มนต์ วัสดุรายเวทย์มนต์ และทำการร่ายมนตร์แบบดั้งเดิม
การที่เซารันกรีดร้องเช่นนี้ก็หมายความว่าเขามีช่องคาถาเพียงช่องเดียว นั่นก็บ่งบอกได้ว่ามีเพียงแค่พรสวรรค์และจิตวิญญาณของเขาที่แข็งแกร่งกว่า นี่มากพอแล้วที่จะทำให้ อุลดริส หมดความสนใจและอธิบายอย่างสบายๆ โดยถือว่ามันเป็นงานอดิเรกในระหว่างการเดินทางเพียงเท่านั้น
“เจ้าไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษกับความสามารถในการร่ายเวทย์มนตร์ มนุษย์เองก็ไม่ใช่สายพันธุ์ที่มีความผูกพันกับเวทมนตร์มากเป็นพิเศษแต่อย่างใด สิ่งที่เรามี ถึงวันนี้เองก็มาจากการสืบทอดความรู้ของระบบทั้งหมดเพียงเท่านั้น .
ในห้องสมุดใหญ่ของ อาณาจักรพลังจิต มีตำราเวทย์มนต์มากมายให้เจ้าเรียนรู้ได้อย่างไม่มีค่าใช้จ่าย เจ้าสามารถเรียนรู้ได้ช้าๆ ในภายภาคหน้า เมื่อเจ้าเปลี่ยนอาชีพและกลายเป็นลิช เจ้าสามารถร่ายคาถาได้ตามต้องการโดยไม่คำนึงถึง ข้อจำกัดของสิ่งมีชีวิตเลยด้วยซ้ำ"
เขาค่อนข้างขี้เหนียวและอาจวางแผนที่จะสอนลูกศิษย์เพียงเท่านั้น นี่ทำให้เซารอนต้องเหลือบมองเด็กสาวชนชั้นสูงที่ยังอยู่ในอาการโคม่าและเม้มริมฝีปาก เขาไม่รู้ว่าสิ่งมีชีวิตที่ไม่ยอมตายเหล่านี้มีนิสัยอย่างไร แต่อย่างน้อยๆ อุลดริสก็ดูกระตือรือร้นที่จะสะสมสาวน้อยเวทมนตร์อย่างมาก มันค่อนข้างน่าขยะแขยงที่คิดว่าพวกเธอจะกลายเป็นเพียงมัมมี่เดินได้ทั้งหมด แม้ว่านั่นจะน่าสนใจสำหรับเซารอนอยู่บ้างก็ตาม
แน่นอนว่าอีกฝ่ายเต็มใจที่จะปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่โดยที่เขาก็ไม่เข้าใจ ซึ่งนี่เองก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างคาดไม่ถึงสำหรับเขามากแล้ว
ไม่เป็นไรตราบใดที่สามารถอยู่รอดได้...
ดังนั้นจึงไม่มีคำพูดใดๆ ปรากฏออกมาจากปากของเซารอน และในไม่ช้า เทียนที่หัวเรือก็มอดไหม้ และเรือกอนโดลาก็ค่อยๆ ขับออกจากหมอกของแม่น้ำเลือด
เซารอนเบิกตากว้าง เมื่อได้มองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
ท่าเรือสมัยใหม่ ท่าเรือเหล็กและซีเมนต์ เรือใบ และเรือสำราญเหล็กเข้าๆ ออกๆ ดูเหมือนว่าตู้คอนเทนเนอร์จะมีแขนและขาปีนขึ้นลงดาดฟ้าได้ด้วยตัวเอง เมื่อเขาเข้าไปใกล้ๆ เขาเห็นชัดเจนว่ามันเป็นโครงกระดูกที่เชื่อมกับพาเลทที่กำลังถูกขนย้ายไปมา
อีกฝั่งของท่าเรือมีกลุ่มอาคารสไตล์ยุคสมัยวิคตอเรียน ใต้แสงแดดจ้า แสงระยิบระยับ ยอดแหลมแบบโกธิกดูสูงขึ้นทีละน้อยราวกับภูเขา หน้าต่างกระจกคริสตัลสะท้อนแสงอาทิตย์อย่างสดใสราวกับไข่มุกเม็ดเล็กๆ และระยิบระยับที่สุด แสงมาจากหอคอยขนาดใหญ่ในบริเวณท่าเรือ ประภาคารคริสตัล มีคริสตัลสีม่วงขนาดใหญ่อยู่บนยอดหอคอย อากาศโดยรอบดูเหมือนจะถูกบิดเบือนด้วยแสงที่แรงกล้า คริสตัลถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีขนาดใหญ่คล้ายระลอกคลื่นบนน้ำ และมีคลื่นแสงกระจายออกไปในระยะไกล
“นั่นคือซิกกุรัต แหล่งพลังเวทย์มนตร์ที่รองรับอุปกรณ์เวทย์มนต์และคาถาต่างๆ” อุลดริสอธิบายอย่างสบายๆ และเดินขึ้นไปที่ท่าเรือ
เซารอนเดินตามไป และเขาสังเกตเห็นว่าไม่เพียงแต่มีอันเดดจำนวนมากที่สามารถเคลื่อนที่ไปมาในเวลากลางวันได้โดยไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แต่ยังมีมนุษย์จำนวนมากในบริเวณท่าเรือที่พลุกพล่านอีกด้วย
คนเหล่านี้ดูร่ำรวยกว่าในแง่ของเสื้อผ้ามากกว่าที่เซารอนเคยเห็นอยู่มาก พวกเขาสวมเครื่องประดับคริสตัลอัญมณีทุกชนิด นี่อาจเป็นผลจากเครื่องประดับเวทมนตร์ทั้งหมด แม้แต่คนรับใช้และสาวใช้ธรรมดาก็สวมเครื่องแบบคุณภาพดี
ไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์ ออร์คหลายสายพันธุ์ ก็อบลิน สัตว์ประหลาด ฯลฯ ที่ค่อนข้างดูแปลกตา ดูเหมือนว่าอาณาจักรพลังจิตนี้จะไม่ถือว่าเผ่าพันธุ์อื่นเป็นเป้าหมายในการฆ่าล้าง หรืออาจเป็นเพราะผู้ปกครองของจักรวรรดิล้วนแต่เป็นคนที่ตายแล้ว จึงไม่สนใจความแตกต่างระหว่างสิ่งมีชีวิตมากนัก
แต่อุลดริสน่าจะเป็นตัวเต็งอันดับต้นๆ ของระบบการปกครองของจักรวรรดิ นั่นก็เพราะคณะที่เขากำลังเดินไปพร้อมชุดคลุมขาว ฝูงชนต่างแยกจากกันทั้งสองฝ่ายราวกับกระแสน้ำ ไม่ว่าจะดูสูงส่งหรือต่ำต้อย ทุกคนก็ก้มลงโค้งคำนับ ราวกับต้อนรับการเสด็จกลับมาของพระราชาผู้ยิ่งใหญ่
ค่อนข้างน่าหมั่นไส้เลยทีเดียว
หลังจากออกจากลานท่าเรือแล้ว วิญญาณแห่งดาบก็เรียกรถม้าโครงกระดูกออกมา หลังจากอุ้มสาวน้อยเวทมนตร์ขึ้นรถม้าแล้ว พวกเขาก็โค้งคำนับให้ อุลดริส และสลายไปในหมอกสีดำ
เซารอนต้องการขึ้นรถม้าโดยไม่รู้ตัว แต่ถูกลิชจับที่คอเสื้อ
“เราจะส่งเจ้าแค่ที่นี่” อุลดริสขึ้นรถม้า หันไปมองเซารอนที่มึนงงอยู่ริมถนน และโบกมือราวกับกำลังไล่สุนัขป่าออกไป “ไปเถอะ เจ้าเป็นอิสระแล้ว ใช้ชีวิตของเจ้าด้วยตัวเองเถิด” ”
เขาปิดประตู และรถม้าสีดำก็วิ่งดังคลิกๆ ไปบนพื้นกระเบื้องแล้วหายไปสุดถนน
ทันใดนั้น เขาก็หายตัวไปจากสายตาของเซารอน ราวกับว่าลิชชุดขาวไม่เคยปรากฏตัวในโลกของเขาเลย พูดตรงๆ ดูเหมือนจะมีความผูกพันที่มองไม่เห็นได้หายไปพร้อมกับการโบกมือของลิช
ราวกับว่าชีวิตของชายหนุ่มชื่อเซารอนได้พลิกผันไปอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
เซารอนเกาหัว โอเค...เราคิดว่าทั้งหมดนี่จะเป็นเพราะเขายอมเป็นครูฝึกหัดมือใหม่ให้แก่เรา แต่ดูเหมือนว่า ระบบการฝึกสอนจะจบลงไปแบบนี้แล้วจริงๆ สินะ?
แล้วจะทำอะไรต่อไปล่ะหว่า?
จริงๆ แล้ว เขาจะทำอะไรได้อีกกัน ถึงเขาจะเป็นผู้ซึ่งเดินทางมาจากอีกโลกหนึ่งก็จริง แต่เขาจะเอาตัวรอดได้จริงๆ อย่างนั้นน่ะเหรอ? ตามกฎทั่วไปของเกมออนไลน์ หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกสอนแล้ว เขาควรเลือกอาชีพก่อน จากนั้นจึงเพิ่มเลเวลเพื่อทำเนื้อเรื่องหลัก เมื่อเพิ่มเลเวลแล้วก็สามารถอวดตนได้ แต่หากหมกมุ่นมากกว่านี้อีกหน่อย เขาก็สามารถลองเล่นเกมที่สามารถมีอำนาจเหนือกว่าผู้ใดและย้อมแผนที่โลกไว้ได้ด้วยสีเดียว หรืออะไรทำนองนั้น ไม่ก็ทำการรวบรวมสิ่งประดิษฐ์และอุปกรณ์เวทย์มนต์ต่างๆ...
ก็อยากจะทำอย่างนั้นล่ะนะ... แต่ผู้สอนมือใหม่กลับหนีหายไปเสียแล้ว! มันโอเคก็จริงที่จะถูกตัดการเชื่อมต่อตั้งแต่ต้นเกม...! จะบอกว่าให้เราเป็นคนเริ่มเรื่องเองเลยรึไงกัน?
เซารอนปวดหัวแต่ไม่มีทางอื่น หลังจากคิดอยู่นาน เขาก็ทำได้แค่เดินไปรอบๆ
ส่งผลให้เขารู้สึกหิว กระหายน้ำ อ่อนแรง และปวดหลัง หลังจากเดินได้เพียงไม่กี่ช่วงตึก ตอนนั้นเองที่เขาจำได้ว่าเขากำลังเตรียมที่จะหลบหนีเมื่อวานนี้ และเขากังวลว่าขนมปังอ้วนๆ ที่มอบให้โดยอันเดดนั้นถูกวางยาไวจึงไม่ได้กิน ยิ่งกว่านั้นเขาถูกขายเพราะความอดอยาก เขาไม่ได้กินอาหารดีๆ มาหลายวันแล้ว ตอนนี้ท้องของเขารู้สึกเหมือนถูกมีดกรีด
นี่มันอะไรนักหนา เขาคิดว่าการเดินทางสู่โลกมหัศจรรย์เป็นการผจญภัยในตำนาน RPG แต่มันกลับกลายเป็นเกมเอาชีวิตรอดในถิ่นทุรกันดารไปเสียดื้อๆ
ต้องหาทางหาของกินบ้างแล้ว..
หาร้านอาหารได้ไม่ใช่เรื่องยาก เซารอนผู้หิวโหยมีจมูกที่บอบบางเป็นพิเศษ และพบร้านอาหารที่เสิร์ฟอาหารปรุงสุกในทันที
แต่มีปัญหาที่สุดแสนจะอยากจะแก้ไขมีอยู่สองประการ
ประการแรก เซารอนไม่มีเงิน
อย่างที่สอง อาหารมื้อนี้ดูไม่เหมือนอาหารสำหรับมนุษย์
เซารอนขมวดคิ้วและมองดูมนุษย์ถ้ำโคโบลด์ซุกหัวลงในถังและเคี้ยวอย่างดุเดือด สิ่งที่พวกเขากินดูเหมือนสตูว์จากค้างคาว แมงมุม กิ้งก่า และไส้เดือน
โอ้พระเจ้า ฉันคิดว่ามันมีกลิ่นหอมจริงๆ... เซารอนคิดเช่นนี้พร้อมกับความรู้สึกว่าร่างกายของเขากระหายน้ำไปแล้วในระดับหนึ่ง
“โอ้ เจ้ามาที่นี่เพื่อขายเนื้อเหรอ?” เชฟโทรลล์มนุษย์กินคนเดินออกมา “ไอ้หนู เจ้าดูผอมและไม่มีเนื้อที่ให้ฟันจะเคี้ยวเลย เอาอย่างนี้ เหรียญเงินยี่สิบเหรียญสำหรับขาของ...เฮ้! อย่าพึ่งวิ่งไปสิ ราคาต่อรองได้อยู่นะ !”
เซารอนวิ่งหนีสุดชีวิต วิ่งหนีอย่างสุดกำลัง เป็นเมื่อรู้สึกเหมือนปอดถูกแทงด้วยเข็มจึงต้องหยุดซ่อนตัวอยู่ในตรอกเล็กๆ เพื่อพักผ่อน มีกลิ่นคาวเลือดอยู่ในปากและจมูกของเขา และเท้าของเขารู้สึกเหมือนไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป ท้องของฉันยังคงบดขยี้เหมือนล้อบด ราวกับว่าร่างกายของฉันกำลังจะบิดเป็นเกลียว
ไม่ มันถึงขีดจำกัดแล้ว
เซารอนคุกเข่าลงบนพื้นและหอบ คลานไปทางกองขยะในตรอก มันไม่ได้น่าอายหรือน่ารังเกียจ ในเวลานี้เขาเคี้ยวมันได้ถ้าเป็นแค่เขา ใครจะสนใจว่าเป็นขยะหรือไม่?
จากนั้น ขณะที่เขากำลังจะจับขยะในครัวเรือนชิ้นหนึ่งที่มีกลิ่นคล้ายน้ำลาย แขนโครงกระดูกก็เข้ามา และเคลื่อนย้ายถังขยะออกไป
อะไร?
เซารอนเงยหน้าขึ้นมองและตระหนักได้ว่ากระดูกถูกแขวนคออยู่! ลิชพวกนี้ไม่มีอะไรทำรึไงกัน! นึกยังไงถึงได้ทำรถบรรทุกขยะที่มีโครงกระดูกห้อยพิเศษพวกนี้คอยคัดแยกขยะ ให้ตายเถอะ! น่าชังนัก! นี่ต้องการที่จะฆ่าฉันให้ได้รึไง! !
เซารอนหิวมากจนดวงตาของเขาเต็มไปด้วยดวงดาว เขาไม่สามารถคว้ายื้อขยะจากคู่ต่อสู้ได้เลย ดังนั้นเขาจึงต้องเฝ้าดูอย่างช่วยไม่ได้ในขณะที่โครงกระดูกเก็บขยะทั้งหมดไป
โอ้พระเจ้า ฉันคงเป็นนักเดินทางคนแรกที่ต้องอดตายแน่ๆ น่าอนาถจริงๆ…
เซารอนนอนอยู่บนพื้นแทบอยากจะร้องไห้ ฉันร้องไห้ไม่ได้ ฉันไม่มีเกลือ...
แล้วก็มีคนเข้ามา
เขาขว้างสิ่งของมากมายต่อหน้าเซารอน
มันเป็นเค้ก
ภาพหลอน?
เซารอนตกตะลึงอยู่พักหนึ่งจนจมูกบอกว่าเป็นเค้กจริงๆ แต่มันไหม้ และใส่เกลือลงไปเยอะมาก เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปเหมือนสุนัขป่า คว้าเค้กที่พื้นแล้วกินเข้าไป
“อะไรวะเนี่ย!” อบีดิสขมวดคิ้วในขณะที่สะดุ้งโหยง ในฐานะผู้ดูแลระดับกลางของเดธไนท์ ผู้นำของกลุ่มพลาสมาโรส และว่าที่ผู้บัญชาการของทหารม้าเลือด อัศวินหญิงผู้มีชื่อเสียงจากรูปลักษณ์ที่กล้าหาญของเธอในจักรวรรดิ งานอดิเรกของเธอคือทำขนม แน่นอนว่าทักษะของเธอก็แย่มากอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ นี่เป็นความอัปยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเธอ
เธอจึงออกไปที่ทิ้งขยะตอนเที่ยงคืนทุกวันโดยคิดว่าจะทำลายหลักฐาน พร้อมกับการเตรียมตัวพร้อมถูกโจมตีตลอดเวลา และเธอก็เกือบจะตกใจกลัวจนเกือบใชเทคนิคลับของกองทัพแนวหน้า แต่ด้วยทักษะศิลปะการต่อสู้อันยอดเยี่ยมของอบีดิส เธอจึงตระหนักได้ทันเวลาว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงขอทาน และกำลังกินเค้กที่เธอทำไม่สำเร็จ ดังนั้นเธอจึงไม่ทุบหัวเขาด้วยหมัด
อบีดิสถอนหายใจด้วยความโล่งอก และสังเกตสักพักเพื่อให้ปลอดภัย และพบว่า เด็กที่กำลังกินเค้นรสเค็มของเธอด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยจนเธอเริ่มเขินอายเล็กน้อย "เฮ้ อย่ากินแบบนั้นสิ มันมีรสชาติห่วยแตกเลย..." เดี๋ยวนะ...”
อบีดิส เดินกลับไปที่ห้องครัวจนพบเค้กที่สาวใช้ทำมาวางบนจาน เธอเดินกลับไปที่ตรอกด้านหลัง และพบว่าเซารอนยังคงพยายามกลืนเค้กรสเค็มอยู่ มันคงเป็นเรื่องน่าละอายยิ่งกว่านี้หากกลายเว่าป็นอาหารของเธอสังหารผู้คนได้ และเธอจะไม่อาจแต่งงานลงได้เป็นแน่
“เอาล่ะ โอเค อย่ากินอันนั้น” อบีดิสวางจานลงต่อหน้าเซารอน “อะไรล่ะ เจ้าไม่อยากกินเหรอ เจ้าต้องการน้ำไหม?”
เซารอนมองดูเธอด้วยสายตานิ่งลึก แล้วส่ายหัว “ถ้ากินมากเกินไปในคราวเดียวกระเพาะจะทนไม่ไหว ขอบคุณที่ช่วย ฉันจะตอบแทนคุณอย่างแน่นอนหากมีโอกาส”
อบีดิสไม่สนใจจริงๆ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะมองอีกฝ่ายด้วยสภาพนิ่งลึกกลับเช่นกัน พร้อมกับดวงตาที่ดูราวกับชายหนุ่มที่ผมเจอสาวที่ยากจะได้พบเจอ ดังนั้นเธอจึงยิ้ม แล้วใช้นิ้วปาดปอยผมดันไปด้านหลังใบหูของเธอ "เจ้าเลือดหนุ่ม ดีแล้ว ฉันคือ อบีดิส แห่ง กองกำลังม้าสีเลือด หากเจ้ามีความสามารถก็มาเข้าร่วมได้ กองกำลังของฉันจะทำให้เจ้าเติบโตขึ้น ภายใต้การบังคับบัญชาของข้า”
อบีดิสแห่งกองทัพทหารม้าโลหิต ฉันจำได้แล้ว
เซารอนเฝ้าดูอัศวินสาวจากไป หยิบเศษเค้กทั้งหมดขึ้นมา ห่อด้วยเสื้อผ้า แล้วหายตัวไปลึกเข้าไปในตรอกอันมืดมิด