บทที่ 134 ไม่รู้จักแยกแยะผิดถูก
“อ๊ะ! ไอ้ขยะ ไปตายซะ!”
ไค่หยวนร่ำร้องอย่างเจ็บปวด แล้วจ้องหลัวเฉิงด้วยดวงตาเคียดแค้น
“งั้นหรือ?”
หลัวเฉิงมองอย่างเหยียดหยามแล้วตวัดเท้าเตะพลัน ด้วยแรงเตะของเขา มือขวาของไค่หยวนก็พลิกกลับด้านอีกครั้งพร้อมกับเลือดที่สาดกระเซ็น
“อ๊า! ก็บอกแล้ว ข้าบอกแล้ว!”
ไค่หยวนตื่นตระหนกอย่างมากกับความโหดเหี้ยมของหลัวเฉิง จึงเปิดปากเล่าอย่างรวดเร็ว
“พวกเขาเป็นศิษย์ฝ่ายนอกที่มาดูการทดสอบเมื่อวานนี้! เขามอบโอสถเลือดลมแก่เราคนละสิบเม็ด ทั้งสัญญาว่าจะช่วยให้พวกเรากลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอกได้ แต่ข้อแลกเปลี่ยนคือต้องทำให้เจ้ารู้สึกอยู่มิสู้ตายตลอดระยะเวลาสองปี!”
“หลินหานคง!”
หลัวเฉิงขมวดคิ้ว
เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายจะต้องหาทางจัดการกับเขาในสักวัน แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะลงมือรวดเร็วเช่นนี้!
หลี่ฮุ่ยเจาะจงมาคุกคามเขาตลอด เกรงว่าเหตุผลก็คงจะเหมือนกัน!
“ดูท่าว่าข้าจะต้องกลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอกให้เร็วที่สุด!”
หลัวเฉิงรู้สึกถึงวิกฤตที่ย่างกรายเข้ามาในชีวิตเขา
หากว่าเขามิได้แข็งแกร่งเฉกเช่นตอนนี้ คงต้องประสบกับหายนะครั้งใหญ่อย่างแน่นอน!
เขามิได้เกรงกลัวหลินหานคง แต่ทว่าจินหมินที่อยู่เบื้องหลังเขานั้นมีฐานะเป็นศิษย์หลัก ด้วยสถานะเช่นนี้ย่อมมิใช่เรื่องเล่นๆ
ส่วนฉินต้าวหยวนนั้น หลัวเฉิงได้สืบทราบมาแล้วว่าเขาคือลุงของฉินหยวนเฟิง!
มีสิ่งหนึ่งที่ไค่หยวนกล่าวถูก นั่นคือศิษย์บำรุงสำนักไม่มีค่าอะไรเลยในสำนักซวนหยวน ต่อให้พวกเขาจะพิการหรือตายไป ก็ไร้ซึ่งผู้ใดจะเหลียวแล!
มีเพียงต้องกลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักเท่านั้น สำนักจึงจะให้ความใส่ใจขึ้นมาบ้าง! มิเช่นนั้น ไหนเลยพวกศิษย์บำรุงสำนักจึงจะคิดเหิมเกริมไม่หวั่นเกรงต่อกฎสำนักเยี่ยงนี้!
หลัวเฉิงสูดหายใจเข้าลึกๆ เหลือบมองหกร่างที่ทอดกายอยู่บนพื้นแล้วกล่าวว่า “จงมอบโอสถเลือดลมทั้งหมดที่พวกเจ้ามีมาให้ข้า”
“หลัวเฉิง! เจ้า! อย่ารังแกคนอื่นให้มากนัก!”
หนึ่งในนั้นแสดงความไม่พอใจทันทีที่ได้ยินวาจานี้ของหลัวเฉิง
หลัวเฉิงกลอกตามองเขาแล้วเหยียดยิ้มเยือกเย็น “เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ ข้าฟังไม่ถนัด ใช่เจ้าต้องการให้ข้าดูแลเป็นพิเศษหรือ”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของชายผู้นั้นก็ซีดเผือดขาวราวกระดาษ เพราะตอนนี้เขาได้เห็นความโหดร้ายของหลัวเฉิงแล้ว ท้ายที่สุดเขาก็ต้องกัดฟันยอมทนมอบโอสถเลือดลมให้อย่างไม่เต็มใจ
คนอื่นๆ ก็มิกล้าเช่นเดียวกันทางยื่นโอสถเลือดลมให้คนละเม็ด ด้วยใจที่เจ็บปวดประหนึ่งเลือดในทรวงทะลักออกมา
เพราะครานี้พวกเขาต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่
ไม่เพียงแต่เขาไม่ได้รับโอสถเลือดลมทั้งสิบเม็ดนั้น แต่ยังต้องสูญเสียโอสถของตนเองอีกด้วย! ดั่งวาจาที่ว่า ขโมยไก่ไม่ได้ ยังเสียข้าวสารอีกกำมือ
หากรวมจำนวนโอสถเลือดลมตั้งแต่เข้าสู่สำนักครั้งแรก จนถึงตอนนี้แต่ละคนมีโอสถเลือดลมอย่างน้อยสิบสามเม็ด เมื่อมีหกคนรวมกันทั้งหมดก็เกือบแปดสิบเม็ดได้
หลัวเฉิงเก็บโอสถเลือดลมเอาไว้ด้วยสีหน้าพึงพอใจเป็นที่สุด
แม้โอสถเลือดลมหนึ่งเม็ดมีราคาหมื่นตำลึง แต่หากรวมกันทั้งหมดก็ได้มากถึงแปดแสนตำลึง ซึ่งนับว่าเป็นโชคลาภครั้งใหญ่ทีเดียว!
หลัวเฉิงต้องการทะลวงเข้าสู่ขั้นเขตแดนลึกลับให้เร็วที่สุด ดังนั้นยิ่งมีทรัพยากรในการบ่มเพาะปราณมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น!
ระหว่างนั้นเอง จางเหลียนก็กลับมาถึงพอดี
เมื่อเห็นหกร่างนั้นนอนแผ่หลาอยู่บนพื้น จางเหลียนก็ถามถึงเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“ศิษย์พี่จางเหลียน มันเป็นเพราะหลัวเฉิง! เขาทำร้ายพวกเราโดยไม่หวั่นเกรงกฏสำนัก และถือว่ากฎสำนักนั้นไร้ความสำคัญ! ไม่เพียงแต่เขาทำร้ายเราเท่านั้น! ยังยึดเอาโอสถเลือดลมไปอีกต่างหาก! ศิษย์พี่จางเหลียนโปรดให้ความเป็นธรรมแก่เราด้วย!”
ไค่หยวนซึ่งทั่วร่างเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด ดูเหมือนเขาจะเห็นทางออกแล้วนั่นคือจางเหลียน จึงบอกกล่าวพลางน้ำตาคลอเบ้า
อีกห้าคนก็ขานตอบเป็นเสียงเดียวกัน
จางเหลียนมองยังคนทั้งหกพร้อมด้วยดวงตาที่สั่นไหว คนเหล่านี้ล้วนมีความแข็งแกร่งไม่ธรรมดา แต่ทว่ากลับพ่ายแพ้ให้คนคนเดียว!
“หลัวเฉิง นั่นเป็นเรื่องจริงงั้นหรือ?” จางเหลียนมองหลัวเฉิงแล้วเอ่ยถามทันที
หลัวเฉิงคิดคำตอบเหล่านี้เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงยกป้ายหยกในมือตนขึ้นพลางกล่าวอย่างใจเย็น
“พวกเขาต้องการชิงป้ายหยกข้า หนำซ้ำยังเข้ามาปิดล้อมโดยอาศัยคนหมู่มาก นี่นับว่าเป็นอาชญากรรมร้ายแรงของสำนัก!”
“แต่เนื่องจากข้ามีหน้าที่ต้องดูแลและควบคุมกฎของศิษย์บำรุงสำนัก ข้าจึงมิอาจเพิกเฉยต่อการกระทำเยี่ยงนี้ได้ จึงได้ลงโทษพวกเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผู้คนในที่นี้สามารถเป็นพยานได้”
สิ้นวาจานี้ ผู้คนโดยรอบก็หาได้มีผู้ใดกล้าปริปาก
เนื่องจากเบื้องหลังไค่หยวนและคนอื่นๆ คือศิษย์ฝ่ายนอก ทำให้ผู้ใดที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็มิกล้ากล่าวตามความจริง
แต่ในสายตาของพวกเขานั้น ต่างมองหลัวเฉิงเป็นมารร้ายที่กลับชาติมาเกิด พวกเขาก็หวาดกลัวมิต่างกันจึงทำเพียงสงบปากไว้เท่านั้น
จางเหลียนใคร่ครวญในหัวอยู่ครู่ก่อนเปิดปากพลางโบกมือว่า “นำตัวพวกเขาไปรักษา”
“ศิษย์พี่จางเหลียน ท่านไม่เชื่อคำพูดของพวกเรางั้นหรือ!” ไค่หยวนยังไม่ยอมแล้วกล่าวโต้แย้ง
ทันใด ใบหน้าของจางเหลียนก็เข้มขึ้นแล้วตวาดเสียงแข็งกร้าว “อะไรนะ เจ้าหมายความว่าข้าไม่รู้จักแยกแยะผิดถูกงั้นรึ”