บทที่ 5 มิลล่า แบรดลีย์
บทที่ 5 มิลล่า แบรดลีย์
หลังจากบทสนทนาสั้นๆ คืนนี้ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เด็กหญิงเหนื่อยและหลับไปในทันที ขณะที่โรบินยังคงนั่งอยู่ด้านหน้าถ้ำในท่าสมาธิและพยายามรับรู้กฎรอบตัวเขา
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นสามารถเชื่อมโยงกับกฎแห่งสวรรค์ ตัวอย่างเช่น ฉากใบไม้ร่วงทำให้เขาครุ่นคิดถึงมันอยู่พักใหญ่ นี่เป็นผลมาจากเส้นทางของลมที่พัดพาใบไม้ หรือเส้นทางของน้ำที่ทำให้ใบไม้แห้งและอ่อนแอลงกันนะ
ก้อนหินเล็กๆ ที่กลิ้งลงมาจากยอดเขาเหล่านั้น มันสามารถนำมาประกอบกับเส้นทางแห่งแรงโน้มถ่วงได้หรือเปล่า หรือมันเป็นเส้นทางของลมและน้ำที่ทำให้ดินบริเวณนั้นหลวมขึ้นมา ไม่ว่าเขาจะมองไปทางไหน เขาก็พบกฎที่เป็นไปได้มากมาย...
แต่กฎรองจากเส้นทางเหล่านี้จะใช้เวลาหลายสิบปีกว่าเขาจะเข้าใจมันได้สำเร็จ ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อนที่จะตัดสินใจ
โรบินยังคงอยู่ในตำแหน่งนี้ต่ออีกหลายชั่วโมงจนกระทั่งยามเช้ามาถึง เมื่อเขารู้สึกถึงลมเบาๆ ที่คอ เขาก็ลืมตาขึ้นเพื่อพยามหาที่มาของลมนี้
ทว่าสิ่งที่เขาพบคือใบหน้าของผู้หญิงอยู่ห่างจากเขาเพียงนิ้วเดียว "เห้ย!!.. คุณกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย! เด็กคนนี้นี่" โรบินตกใจและรีบถอยหลังไปสองสามก้าว
“เด็กหรอ ฉันเป็นสาวสวยวัยรุ่นนะ ว่าแต่คุณจะตกใจทำไมเพราะเด็กสาววัยรุ่นล่ะ ยังสนใจเรื่องผู้หญิงอยู่อีกหรอ”
ถึงตอนนี้ เด็กสาวก็ยังปฏิเสธความคิดที่ว่าชายตรงหน้าเธอเป็นแค่เด็กหนุ่มวัยเดียวกัน เพราะเด็กหนุ่มที่มีความสามารถระดับนั้นควรอยู่ในวังล้อมรอบด้วยทาสและหญิงสาวสวยๆ ไม่ใช่มาหลบผู้คนอยู่คนเดียวในถ้ำเช่นนี้
“กินอิ่มนอนหลับแล้วใช่ไหม เสร็จแล้วก็ไปซะ ฉันจะนั่งสมาธิต่อแล้ว”
“โห คุณไม่สามารถจัดการกับความสวยงามได้จริงๆ สินะ ไม่เป็นไร.. ชื่อของฉันคือ มิลล่า แบรดลีย์ แม้ว่าฉันจะไม่ต้องการความช่วยเหลือในตอนนั้น แต่คุณก็มาช่วยฉันและเลี้ยงอาหารฉันอีก ฉันไม่ชอบความรู้สึกที่เป็นหนี้ใคร ถ้าคุณต้องการอะไรก็มาหาฉัน ฉันจะช่วยคุณสิ่งหนึ่งโดยไม่มีเงื่อนไข”
“มิลล่า… มิลล่า… คุณเป็นลูกสาวของดยุคแบรดลีย์หรอ?!” โรบินร้องด้วยความประหลาดใจ แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นเธอมาก่อน แต่แน่นอนว่าเขาได้ยินเรื่องราวของผู้เป็นความภาคภูมิใจของดินแดนดยุคแบรดลีย์มาแล้ว
“ฮ่าฮ่า ตอนนี้คุณรู้แล้วใช่มั้ยว่าสาวน้อยคนนี้น่าทึ่งแค่ไหน แต่สายไปแล้ว ฉันกำลังจะไปเมืองจูราแล้ว ลาก่อนล่ะนะตาแก่!” เธอกล่าวพร้อมหันหลังจากไปร้อมกับเงาที่ค่อยๆ ตามเธอจากที่ไกลๆ
เงานั้นหยุดชะงักกลางทางอย่างกระทันหัน มันหันมามองโรบิน แล้วก็มองไปที่หญิงสาวที่มันกำลังปกป้อง เหมือนกับว่ามันกำลังเลือกจากสองทางเลือก... แต่ในที่สุดมันก็ถอนหายใจและตามเธอไปย่างเงียบๆ
โรบินมองพวกเขาจนพวกเขาหายไปจากสายตาของเขาแล้วจึงยิ้ม 'เธอคงจะผิดหวังถ้าเธอไปแล้วหาโรบิน เบอร์ตันไม่เจอ ฉันอยากจะเห็นสีหน้าของเธอจริงๆ ฮ่าๆ... แต่ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้เห็นเธอแล้ว' จากนั้นเขาก็กลับไปยังที่ของเขาที่หน้าถ้ำและเริ่มนั่งสมาธิอีกครั้ง
-----------
และนี่คือชีวิตของเขาในช่วงเวลาต่อมา... เขานั่งสมาธิติดต่อกันหลายวัน บางครั้งเขาอ้าปากราวกับเข้าใจบางอย่างแล้วปิดปากอย่างรวดเร็วและขมวดคิ้ว บางครั้งเขาก็ตะโกน บางครั้งเขาก็ลุกขึ้นยืน บางครั้งก็เตะหินแถวนั้นไปมาก่อนจะกลับมานั่งในท่าเดิม...
วันแล้ววันเล่า... เดือนแล้วเดือนเล่า... เขาเริ่มชินกับวัฏจักรชีวิตใหม่ของเขา ทำสมาธิ ฝึกฝนการล่าสัตว์ กินอาหาร นอนหลับพักผ่อนเล็กน้อย แล้วก็วนกลับมาทำซ้ำไปเรื่อยๆ..
ในจูรา สถานการณ์สงบลงเร็วกว่าที่เขาคิด เพราะเขามีชีวิตอยู่แบบโดดเดี่ยวอยู่แล้ว การหายไปของเขาจึงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนมากนัก.. ตรงกันข้าม คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเขาหายไปจากเมือง จนกระทั่งเด็กสาวประหลาดคนหนึ่งมาประกาศว่าเธอจะท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตอบรับ
เมื่อเวลานานวันเข้า หลายคนถึงกลับเรียกเขาว่าคนขี้ขลาดและเป็นความอัปยศของเมือง และทำให้เอิร์ลไบรอัน เบอร์ตัน ต้องปรากฏตัวต่อสาธารณชนเพื่อประกาศว่าโรบินได้ออกจากเมืองไปฝึกฝน และเขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่โรบินจะกลับมา และโรบินอาจจะไม่กลับมาเลยก็เป็นได้
ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วเมืองเหมือนพายุ และไปถึงทุกคนในดินแดนของดยุคอัลตันแห่งนี้ ไม่ใช่ทุกวันที่จะมีอัจฉริยะปรากฏตัว แต่อัจฉริยะคนนี้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งนี้ก็แพร่กระจายไปในหมู่คนที่มีความสามารถในรุ่นเยาว์เท่านั้น.. และในไม่ช้า ชื่อของโรบิน เบอร์ตันก็จางหาย และหายไป...
เด็กหนุ่มระดับสิบเพียงคนเดียวไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของดินแดนของดยุคที่มีประชากรหลายล้านคนเท่าใดนัก
หัวหน้าตระกูลพยายามค้นหาเขาแต่ก็ไม่พบร่องรอยใดๆ โรบินไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางของเขา ดังนั้นจึงไม่มีใครพยายามค้นหาเขาในเขตสัตว์ร้ายนี้ แม้ว่าจะมีมาค้นหาที่นี่ แต่ก็เป็นเรื่องยางที่จะมีใครมาเจอเขาในถ้ำเล็กๆ ในพื้นที่อันกว้างใหญ่นี้
ในที่สุด ชายชราเอิร์ลไบรอันก็ได้แต่ถอนหายใจและพยายามลืมความฝันอันงดงามที่เขาเคยวาดฝันไว้ให้กับตระกูลของเขา
ส่วนพ่อของเขา เขาได้กดดันตระกูลให้เพิ่มเงินค่าใช้จ่ายให้เขาเพื่อ เพิ่มผลงานของเขาและนำอัจฉริยะมาสู่โลกมากขึ้น และเขาก็ได้สิ่งที่เขาต้องการ
แม่ของโรบินเป็นคนเดียวที่เสียใจกับการจากไปของเขาจริงๆ แต่เธอก็ปลอบใจตัวเองว่าตอนนี้เขาอยู่ในที่ที่ดีกว่าและได้ทำอะไรก็ได้ที่เขาต้องการ
ส่วนเพื่อนเพียงคนเดียวของเขา หรือพูดให้ถูกต้องคือคนที่เคยมานั่งเป็นเพื่อนเขาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงในทุกๆ วัน บิลลี่ เบอร์ตัน เขายังคงมานั่นที่ประจำของพวกเขาเหมือนเช่นเดิม เขาทำอยู่แบบนี้เป็นเวลาหลายสัปดาห์ จนกระทั่งครั้งสุดท้ายเมื่อเขากำหมัดแน่น ขบฟัน และหันหลังกลับไป ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร แต่ชายหนุ่มคนนี้ดูเหมือนจะตัดสินใจบางอย่างที่สำคัญได้
-----------------------
..สิบปีผ่านไปเร็วเหมือนโกหก...
โรบินยังคงนั่งอยู่หน้าถ้ำเหมือนเช่นเดิม แต่สิ่งรอบตัวเขาเปลี่ยนไป มันถูกปกคลุมด้วยหนังของสัตว์ร้ายที่เขาฆ่าตายในขณะที่หัวของพวกมันถูกประดับอยู่บนผนัง ตัวเขาไว้หนวดเคราหนาเตอะอยู่บนใบหน้า
ในช่วงเวลานี้ โรบินยังไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรเลย เป้าหมายของเขายังคงไม่ชัดเจนและมืดมน.. เขาไม่ได้ค้นพบหลักฐานของเส้นทางใหม่ใดๆ ในช่วงปีแรกของการทำสมาธิ ในที่สุดเขาก็สรุปว่าการนั่งทำสมาธิเพียงอย่างเดียวนั้นเป็นทางตัน
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจตรวจสอบกฎรองต่างๆ จนกว่าเขาจะพบสิ่งที่คุ้มค่ากับการเรียนรู้
ปัจจุบัน เขาได้รู้ทฤษฎีหลายอย่าง และรู้ความจริงบางอย่างเกี่ยวกับกฎสวรรค์รองที่ยังไม่ถูกค้นพบมากกว่าหนึ่งข้อ รวมกับสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบากของเขาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้เขามีความแข็งแกร่งและประสบการณ์มากขึ้น เขามิใช่เพียงแค่ภาชนะบรรจุพลังงานอย่างที่เขาเคยเป็นอีกต่อไป... และความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขานั้นสูงกว่าขอบเขตระดับสิบไปมากทีเดียว