บทที่ 3 ปฏิเสธ
บทที่ 3 ปฏิเสธ
โรบินเงียบไปชั่วครู่ต่อหน้าเสียงตะโกนของผู้นำตระกูลแล้วจึงพูดว่า "ผมได้คิดเรื่องนี้ทั้งหมดแล้ว... แม่ของผมยังคงเป็นภรรยาอย่างเป็นทางการของท่านพ่อ และจะไม่ถูกทำร้ายตราบใดที่เธอยังอยู่ในที่ดินของตระกูลสำหรับครอบครัว.. ผมจะชดเชยในสิ่งที่ผมหายไปแน่นอนเมื่อผมบรรลุเป้าหมายของผม สำหรับผม... ผมรู้ว่าการเสียเวลาไปยี่สิบปีของชีวิตจะทำให้ผมเป็นเพียงคนธรรมดาเมื่อถึงระดับ 11 แต่ว่า นั่นคือทางเลือกของผมและผมจะไม่เสียใจ"
“เหอะ ฮ่าๆๆ ยี่สิบปีงั้นหรือ นั่นเป็นเวลาของนักปราชญ์ที่ใช้ในการค้นพบกฎรองเล็กๆ น้อยๆ แต่เจ้าซึ่งเป็นเด็กน้อยระดับสิบ เจ้าคิดว่าจะใช้เวลาเพียงยี่สิบปีงั้นเหรอ ข้ารู้ว่าเจ้าเกิดมาพร้อมกับจิตวิญญาณอันมุ่งมั่น แต่การที่เทียบตัวเองอยู่ในระดับเดียวกับปราชญ์น่ะโรบิน.. เจ้าทำให้ข้าผิดหวัง ข้าคิดว่าเจ้าจะฉลาดกว่านี้!” ชายชราไบรอันหัวเราะด้วยความโกรธและทุบโต๊ะอย่างแรง
ยี่สิบปีเพื่อค้นพบและวิจัยกฎจนถึงจุดที่ควบคุมมันได้งั้นหรือ สมมติว่าจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งของเขามีความสามารถนี้และเขาก็ทำได้จริง ต่อไปจะเป็นอย่างไรล่ะ เขาน่าจะมีอายุอย่างน้อย 34 ปี ที่ไปถึงระดับ 11 โดยมีเสาหลักที่ประกอบด้วยกฎรองที่ยังไม่ได้รับการศึกษาอย่างเต็มที่ นี่มันเป็นแค่... ขยะชัดๆ!
ยิ่งผู้นำตระกูลคิดถึงสถานการณ์นี้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น ชดเชย.. ชดเชยงั้นหรือ เขาพูดถึงการชดเชยอะไรกันแน่ เศษขยะวัยกลางคนจะทำอะไรได้บ้าง ตระกูลเราจะได้ประโยชน์อะไร นำเขาไปเฝ้าประตูหรือไงกัน
โรบินประหลาดใจกับถ้อยคำเหล่านั้นอย่างมาก นี่ไม่ใช่แค่ชายชราธรรมดา แต่เป็นผู้มีเกียรติที่ดำรงตำแหน่งเอิร์ล! เขาเป็นบุคคลที่ปกครองพื้นที่ดิน เหมือง และเมืองขนาดใหญ่... แน่นอน ถ้อยคำของเขาไม่ใช่เรื่องเล่นเลย
“เอาล่ะ ผมจะคิดเรื่องนี้อีกครั้ง ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัว ผมขอให้ท่านได่ไปทำสิ่งที่สำคัญกว่านี้” โรบินกล่าว หลังจากที่เขาได้รอยยิ้มกลับมาบนใบหน้าของเขาซึ่งเป็นรอยยิ้มที่เขาเคยมีมาตลอดชีวิต
เมื่อหัวหน้าตระกูลเห็นเขาประพฤติตัวแบบนี้ เขาจึงตัดสินใจไม่กดดันเขาอีกต่อไป “ไปเถอะ หวังว่าเจ้าจะกลับมาคิดได้ก่อนจะสายเกินไป ไปซะ!”
-----------------------
ในสวนหลังบ้านขนาดใหญ่ โรบินนั่งข้างๆ แม่ของเขาและเล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับการมีปากเสียงกับผู้นำตระกูล
ผู้หญิงคนนี้คือคนเดียวที่เขาสามารถพูดคุยด้วยได้อย่างอิสระ โดยรู้ว่าเธอจะไม่เกลียดหรือต้องการใช้ประโยชน์จากเขา
“ลูกชายของแม่ บอกแม่ตรงๆ ที ว่ามีโอกาสที่ลูกจะเปลี่ยนใจไหม”
แม่ของเขาไม่รู้จะพูดอะไรดี เธอทนทุกข์ทรมานมากก่อนที่โรบินจะเกิด เพราะพ่อขี้เมาของเขาที่ชอบทุบตีเธอโดยไม่มีเหตุผล และเธอก็ทนทุกข์ทรมานมากขึ้นหลังจากที่เขาเกิด เพราะพ่อของเขาถือเงินไว้ในมือมากขึ้น และค่าใช้จ่ายของเขาสำหรับแอลกอฮอล์และผู้หญิงก็เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ตอนนี้เธอก็ยังมีความหวัง.. ที่จะเห็นโรบินมีชื่อเสียงและเป็นที่เคารพมากขึ้น บางทีสักวันหนึ่ง เขาอาจจะกลายเป็นผู้นำของตระกูลเบอร์ตัน
แต่เธอรู้จักลูกชายของเธอดีมาก การแข่งขัน อำนาจ ฯลฯ เขาไม่สนใจเรื่องนั้นเลย.. โรบินฉลาดมากจนเขาหาใครที่เข้าใจเขาไม่ได้ แม้แต่เธอก็ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไรจริงๆ
“ทำสิ่งที่ลูกเห็นถูกต้องเถอะ แม่ของลูกจะสนับสนุนในสิ่งที่ลูกเลือกเสมอนะ” ในที่สุดเธอก็ยิ้มอย่างเต็มที่บนใบหน้าของเธอขณะที่น้ำตาไหลและดึงลูกชายของเธอเข้ามากอดเบาๆ
บางทีการตัดสินใจของโรบินอาจไม่เลวร้ายนัก อย่างน้อยลูกชายของเธอก็จะหนีจากความกดดันทั้งหมดที่เขากำลังเผชิญ เริ่มต้นครอบครัวของตัวเองที่อื่นและใช้ชีวิตที่มีความสุข... หรืออย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่เธอก็หวังไว้เช่นกัน
โรบินไม่ได้หลั่งน้ำตาแม้แต่น้อยขณะกอดแม่ของเขา พวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันตั้งแต่แรก เนื่องจากวิญญาณที่เข้มแข็งของเขาปรากฏขึ้นเมื่ออายุสามขวบ เขาถูกนำไปฝึกฝนอย่างเข้มข้นและทดสอบ จากนั้นก็เข้าร่วมการฝึกแบบเข้มงวด ซึ่งทำให้เขาใช้ชีวิตมาแบบการเป็นเครื่องจักรที่ไร้อารมณ์
ทุกคนในวัยเดียวกันต่างปรารถนาจะมีพรสวรรค์อย่างเขา กลับกัน มันก็มีคนที่เกลียดเขาเพราะพรสวรรค์นี้ และเขาเอง ก็มีช่วงเวลาที่หวังว่าตัวเองจะเป็นคนธรรมดาอยู่ลึกๆ ในใจ...
------
หลังจากพูดคุยกับแม่ของเขาอีกประมาณ 20 นาที โรบินก็กลับไปที่บ้านของตัวเอง และนั่งสมาธิอยู่หน้าบ่อน้ำเล็กๆ ในสวนของเขาพลางคิดว่า... 'ฉันควรเลือกกฎแบบไหนดี'
กฎรองในเส้นทางแห่งไฟหรือ.. ไม่ นี่เป็นสิ่งที่หลายคนทำมาก่อนฉัน เส้นทางน้ำ.. ลม.. ก๋มีหลายคนทำแบบนั้นเช่นกัน.. ถ้าฉันจะเลิกทุกอย่างเพื่อกฎใหม่ เส้นทางนั้นต้องเป็นสิ่งใหม่ด้วย
หลังจากคิดมาถึงจุดนี้ จิตใจของเขาก็ว่างเปล่าไปพักหนึ่ง… เส้นทางใหม่งั้นหรอ แม้แต่กฎแห่งสวรรค์รองของเส้นทางที่เป็นที่รู้จักอยู่แล้วก็ใช้เวลานับทศวรรษที่นักปราชญ์ใช้เวลาในการวิจัยให้เสร็จสิ้น ถ้าเป็นเส้นทางใหม่เลยมันจะต้องใช้เวลาเท่าใดกันนะ
ประวัติศาสตร์ของโลกที่ทุกคนรับรู้นั้นย้อนกลับไปประมาณห้าหมื่นปี ในช่วงเวลานี้ ปราชญ์ได้ค้นพบเส้นทางสวรรค์ประมาณยี่สิบเส้นทาง แต่พวกเขาสามารถควบคุมกฎสวรรค์หลักได้เพียง 4 ข้อ และกฎสวรรค์รองกว่าหนึ่งพันข้อได้เท่านั้น!
ใช่แล้ว การค้นพบศักยภาพของเส้นทางไม่ได้หมายความว่าจะสามารถควบคุมมันได้เสมอไป ตัวอย่างเช่นเส้นทางสวรรค์แห่ง “อวกาศ” เหล่าปราชญ์รู้ถึงการดำรงอยู่ของมันได้อย่างแน่นอน แต่ไม่มีใครประสบความสำเร็จในการวิจัยกฎสวรรค์หลักหรือแม้แต่กฎสวรรค์รองในเส้นทางแห่ง อวกาศนี้ได้เลย
นี่... คือสิ่งที่คนอื่นคิดสินะ คงคิดว่าฉันบ้าไปแล้วสินะ ฉันแค่เด็ก ฉันจะไปหาเส้นทางใหม่ได้ยังไง ไม่สิ..ฉันกล้าคิดเรื่องนี้ได้ยังไงกันนะ..
เป็นที่น่าสังเกตว่านักปราชญ์โบราณแต่ละคนที่ค้นพบกฎหลักได้จะได้กลายเป็นจักรพรรดิในยุคสมัยของเขา ปกครองทุกสิ่งภายใต้สวรรค์โดยไม่มีคู่แข่ง แม้ว่าพวกเขาจะทำได้เพียงใช้กฎลำดับแรกและในระดับที่น้อยที่สุดเท่านั้น
เพราะวิธีเดียวที่จะใช้กฎอย่างอิสระในระดับที่สูงกว่านี้คือการสร้างเสาหลักเพื่อไปยังระดับ 11 ด้วยมัน
ไม่มีใครเลยที่เคยค้นพบเส้นทางสวรรค์หรือแม้แต่สำเร็จเทคนิคของกฎสวรรค์หลักเมื่อเขาอายุเท่าหรืออ่อนกว่าโรบิน.. พวกเขาทั้งหมดเริ่มต้นหลังจากถึงระดับการบ่มเพาะที่สูงและใช้เวลาชีวิตไปกว่าหลายร้อยหรือหลายพันปีในการค้นคว้า
โรบินรู้สึกทึ่งเมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ แต่เขาก็สงบลงอย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการตั้งแต่แรกหรอ ความเบื่อหน่ายจากการอยู่คนเดียวบนยอดเขาสูงนี้กำลังฆ่าเขาทั้งเป็น ความต้องการของเขาคือโอกาสที่จะเป็นตำนานและทิ้งชื่อของเขาไว้ในประวัติศาสตร์... หรือตายในตรอกอันมืดมิดและจบเรื่องนี้ลง
เขาปฏิเสธที่จะให้เรื่องราวชีวิตของเขาถูกเขียนบนหน้าสีเทา เขาปฏิเสธที่จะใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการแข่งขันเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างคนรุ่นใหม่และการแย่งชิงที่ดินและผลประโยชน์ ความสำเร็จหรือความตาย.. ทั้งหมดหรือไม่มีอะไรเลย
การอยู่ที่นี่และคิดมันคงจะไม่มีประโยชน์อะไรต่อไป ฉันต้องหาสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อทำสมาธิเกี่ยวกับกฎแห่งสวรรค์เพื่อค้นหาสิ่งที่ฉันกำลังมองหา' โรบินคิด
และเขาก็ตัดสินใจ
การตัดสินใจนี้ฝังอยู่ในหัวของเขามาตั้งแต่เขาอายุแปดขวบ ปีที่เขาปรับเปลี่ยนเทคนิคการฝึกฝนพลังงานของตระกูลเล็กน้อยเพื่อดึงดูดพลังงานได้มากขึ้นภายในเวลาที่น้อยลง... นี่เป็นเทคนิคการฝึกฝนที่สืบทอดกันมาหลายพันปี!!
นับตั้งแต่ช่วงเวลานั้น เขามีเวลาทุ่มเทให้กับการปรับเปลี่ยนเทคนิคการบ่มเพาะมากกว่าการทำการบ่มเพาะจริงๆ เสียอีก และนี่กลายเป็นความสุขเพียงอย่างเดียวในชีวิตของเขา ความรู้สึกของการสร้างสิ่งใหม่นั้นน่าพึงพอใจมากกว่าสิ่งที่ผู้เฒ่าผู้แก่บอกให้เขาทำ
ส่วนเรื่องความเร็วในการฝึกฝนที่น่าอัศจรรย์ของเขานั้น มันเป็นเพียงผลพลอยได้จากการปรับเปลี่ยนเทคนิคการฝึกฝนของเขาเท่านั้น
แต่เขาไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพ่อของเขาไร้ประโยชน์ เขาไม่มีใครช่วยเหลือ เขาหวาดกลัวว่าเขาจะถูกใช้เป็นเครื่องจักรไปตลอดชีวิต
ใช่ เขาชอบกระบวนการวิจัย แต่เขาต้องการทำมันแบบของเขาเอง ไม่ใช่ให้ชายชราคนไหนมาบอกให้เขาแก้ไขตรงนี้และสร้างอะไรบางอย่างเพื่อสิ่งนั้น
ความภาคภูมิใจของเขาจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น เขาจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นโดยเด็ดขาด
-----
สิ่งแรกที่เขาทำในเช้าวันรุ่งขึ้นคือไปหาแม่ของเขาและกอดลาครั้งสุดท้าย จากนั้นก็ไปหาบิลลี่เพื่อนสนิทของเขาและขอให้เขาไปบอกกับหัวหน้าตระกูลว่า "โรบินตัดสินใจแล้วและจะออกเดินทางไปฝึกฝนในวันนี้"
แม้ว่าบิลลี่จะไม่เข้าใจ แต่เขาก็ตกลงที่จะส่งข้อความให้โรบิน แต่เขามิได้ตระหนักเลยว่าการจากลาที่เรียบง่ายนี้.. จะเป็นการจากลาอันแสนยาวนานจากเพื่อนของเขา..