บทที่ 132 มอบป้ายหยกนั้นให้ข้า
เมื่อทุกคนล้วนคิดว่าการโจมตีด้วยเพลงกระบี่นี้คือผลลัพธ์ของการประลอง แต่ท่าทางของหลัวเฉิงยังคงนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน
หากเขาไม่ได้มาถึงขั้นหัวใจกระบี่ เพลงกระบี่ของหลี่ฮุ่ยก็นับว่าไม่ธรรมดาทีเดียว
แต่ในสายตาของหลัวเฉิงตอนนี้ เพลงกระบี่ของหลี่ฮุ่ย กลับเต็มไปด้วยจุดอ่อนมากมายสุดคณานับ
ครั้นใช้ดวงตาเพ่งมองท่วงท่ากระบี่ หลัวเฉิงก็พกจุดบอดของปราณกระบี่นี้ จึงเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง แล้วโคจรพลังไปรวมไว้ที่หมัด จากนั้นชกเข้าที่อกของหลี่ฮุ่ยอย่างกะทันหัน
เสียงปะทะดังสนั่นโครม หลี่ฮุ่ยถึงกับกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ร่างเขากระเด็นออกไปเกือบสามจั้งประหนึ่งว่าวที่ขาดเชือก ก่อนกระแทกเข้ากับพื้นอย่างแรง
“เจ้า!”
หลี่ฮุ่ยจ้องหลัวเฉิงขณะมือทั้งสองผลักพื้นพยายามดันตัวขึ้นลุกยืน แต่ทันใด ก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้งแล้วล้มฟุบไปทันที
หลัวเฉิงยกคางขึ้นเล็กน้อยแล้วปรบมือ พลางกล่าวอย่างใจเย็น
“ด้วยความแข็งแกร่งอันน้อยนิดเช่นเจ้า เจ้าแทบไม่มีคุณสมบัติจะอยู่ในกระท่อมไม้ไผ่ด้วยซ้ำ”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หลี่ฮุ่ยที่ทอดร่างอยู่บนพื้น ก็เชิดตาขึ้นมองหลัวเฉิงด้วยความโกรธ
ความหมายของคำนี้ เป็นทำนองเดียวกับที่เขากล่าวให้หลัวเฉิงอับอายเมื่อวาน ซึ่งตอนนี้ความน่าอับอายนั้นตกอยู่ที่เขาแล้ว!
ผู้คนโดยรอบที่คิดว่าผู้พ่ายแพ้ในการประลองครั้งนี้ต้องเป็นหลัวเฉิง ก็ต่างเบิกตาโพรงตกตะลึงเกือบจะพร้อมกัน ขณะปากของพวกเขายังคงอ้าค้างอยู่นาน
ไม่มีใครนึกถึงเลยว่า ผลการประลองจะออกมาเป็นเช่นนี้
ซึ่งหลายคนในบริเวณนั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลี่ฮุ่ยพ่ายแพ้ได้อย่างไร
“ผู้อาวุโสเหอ เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?” จางเหลียนซึ่งอยู่ข้างๆ ผู้อาวุโสเหอรีบเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ผู้อาวุโสเหอแสดงสีหน้าน่าเกลียด เขาเพิ่งสั่งให้หลี่ฮุ่ยสอนบทเรียนให้กับหลัวเฉิง แต่ชั่วพริบตาหลี่ฮุ่ยกลับพ่ายแพ้อย่างไม่เป็นท่า! ซึ่งนี่ทำให้เขาอับอายยิ่งนัก
“เขาก็แค่โชคดีเท่านั้น!”
ผู้อาวุโสเหอตะคอกอย่างเย็นชา
ด้วยสายตาที่เฉียบคมของเขา ไยเขาจะไม่ประจักษ์เห็นอย่างชัดตาว่าหลี่ฮุ่ยนั้นพ่ายแพ้ได้อย่างไร
แต่กระนั้น ผู้อาวุโสเหอก็ยังไม่เชื่อว่า หลัวเฉิงจะสามารถหลบการโจมตีด้วยเพลงกระบี่ของหลี่ฮุ่ยได้จริงๆ เพราะสิ่งนี้ต้องอาศัยทักษะคาดการณ์และและความแข็งแกร่งทางจิตใจที่สูงมาก
“จางเหลียนที่เหลือฝากให้เจ้าจัดการ ใครก็ได้ พาหลี่ฮุ่ยไปรักษาที!”
หนังออกคำสั่งอย่างชัดเจนแล้ว ผู้อาวุโสเหอก็มองหลัวเฉิงด้วยแววตาเย็นชา ไม่ช้าจึงหันหลังจากไปทันที
ศิษย์บำรุงสำนักสองคนก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยหลี่ฮุ่ยอย่างรวดเร็ว
ครั้นสังเกตเห็นอาการบาดเจ็บของหลี่ฮุ่ย ทั้งคู่ก็รู้สึกแน่นหน้าอกจวนแทบหายใจไม่คล่องนัก
เนื่องจาก กระดูกทรวงอกของหลี่ฮุ่ยหักสะบั้นจนถึงกับยุบ และอาการบาดเจ็บภายในนั้นก็สาหัสมิต่างกัน
เพียงแค่การชกด้วยหมัด แต่กลับรุนแรงจนทำให้หลี่ฮุ่ยมีสภาพน่าสังเวชเช่นนี้
แต่สิ่งที่ทั้งคู่ไม่รู้คือ นี่เป็นเพียงผลลัพธ์ที่หลัวเฉิงจงใจยั้งมือ และควบคุมพลังหมัดเอาไว้แล้ว
ไม่เช่นนั้น ด้วยพลังหมัดที่มากกว่าสองหมื่นจิน หลี่ฮุ่ยคงตายไปแล้ว!
ทันใด หลี่ฮุ่ยก็ถูกพาตัวไปรักษาทันที
หลังจากที่จางเหลียนจัดแจงหน้าที่ให้ผู้อื่นแล้ว เขาก็เดินไปหาหลัวเฉิงแล้วกล่าวว่า “เรือนพักศิษย์ยังมีห้องว่างอีกหลายห้อง เจ้าสามารถเลือกห้องใดก็ได้ตามที่ต้องการ”
หลัวเฉิงพยักหน้าแล้วเอ่ยถามว่า “ตอนนี้ข้าไม่จำเป็นต้องไปดูแลแร้งเทียนเฟิงแล้วใช่หรือไม่?”
“แน่นอนว่าไม่ต้อง”
จางเหลียนยิ้มเล็กน้อย จากนั้นหยิบป้ายหยกออกมาแล้วโยนให้หลัวเฉิง “ในเมื่อเจ้ามาแทนที่หลี่ฮุ่ยแล้ว ก็ต้องทำหน้าที่เช่นเดียวกับข้า คือควบคุมและตรวจสอบการทำงาน หรือตามที่ผู้อาวุโสจะสั่ง เจ้าสามารถเรียกใช้ศิษย์บำรุงสำนักคนใหม่เหล่านี้ได้เช่นกัน”
“อืมม์”
หลัวเฉิงหยิบป้ายหยกขึ้นมาชั่งน้ำหนักด้วยสีหน้าพึงพอใจเป็นที่สุด
นี่นับว่าดีกว่าการดูแลแร้งเทียนเฟิงมาก ไม่เพียงแต่ควบคุมลูกศิษย์หลายร้อยคนเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เขามีเวลาฝึกฝนมากขึ้นอีกด้วย
“ดี ข้าจะพาพวกเขาไปยังพื้นที่สมุนไพรก่อน หากมีเวลาข้าก็จะพาเจ้าไปดูเช่นเดียวกัน”
หลังจางเหลียนกล่าวไว้เช่นนั้น ตัวเขากับศิษย์บำรุงสำนักคนอื่นๆ ก็จากไปเพื่อดูแลสมุนไพรของหอโอสถสำนักทันที
ระหว่างที่หลัวเฉิงกำลังจะเลือกห้อง หลายคนที่อยู่ข้างๆ ก็ต่างมองหน้ากัน ทันใดก็กระโจนเข้าไปปิดล้อมหลัวเฉิงเอาไว้
หลัวเฉิงเหลือบมองทั้งสามคนแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร”
ชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งสวมแพรพรรณเนื้อดีและมีใบหน้ายาวเหยียดยิ้มเล็กน้อย สะบัดปลายนิ้วชี้ไปยังป้ายหยกในมือของหลัวเฉินแล้วกล่าวเสียงเย็นชา
“ก็ไม่มีอะไรนักหรอก แค่อยากให้เจ้ามอบป้ายหยกนี้มาเท่านั้นเอง”
หลัวเฉิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ทำไม”
ชายหนุ่มหน้ายาวดีดนิ้วแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฮ่าฮ่า เจ้าคงไม่คิดว่าจะสามารถกดขี่พวกเราได้จริงๆ หรอกกระมัง”
“เจ้าเป็นแค่คนไร้ค่าที่มีวิญญาณยุทธ์ขยะเท่านั้น ผู้ใดในที่นี้จะเชื่อฟังเจ้ากัน หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองสั่งข้าดู แล้วจะได้เห็นว่าไค่หยวนผู้นี้จะฟังเจ้าหรือไม่”