บทที่ 12
ปลายเดือนกุมภาพันธ์ต้นเดือนมีนาคม จะเป็นช่วงเวลาแห่งความอึดอัดใจและกลัดกลุ้มสำหรับชาวนาในแต่ละปี เมื่อสิ้นปีได้ผ่านพ้นไป ลูกหลานส่วนใหญ่มักพากันย้ายออกไปตั้งรกร้างครอบครัวของตัวเองยังที่แห่งใหม่ นกเธอแอ่นบนคานหามยังไม่กลับมา ที่ดินรกร้างว่างเปล่าก็มีมากขึ้น หากมองไกลๆ จากบนท้องฟ้าจะพบสีเหลืองและน้ำตาลครามครอบคลุมพื้นที่ดินจำนวนมาก ยกเว้นภูเขาเขียวขจีที่อยู่ไกลออกไปแล้ว หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านก็เงียบเหงาและสงบ
แต่ในวันนี้ ทุ่งนาข้างป่าไผ่ของตระกูลซ่งกลับคึกคักอีกครั้ง
"ซ่งซานเฉิน ปีนี้บ้านนายเป็นอะไรไป ร่ำรวยเตรียมทำอะไรใหญ่โตหรือยังไงกัน ทุ่งนาตั้งเยอะแยะจะเก็บกวาดไปทำไม"
"ใช่แล้วซ่งซานเฉิน นายจะปลูกอะไรกันแน่ ที่ดินเดิมยังมีต้นชาสองสามต้น ฉันเห็นยังทิ้งๆ ขว้างๆ อยู่เลย"
ทุกคนถูกซ่งซานเฉินเชิญมาเก็บกวาดที่ดิน เครื่องจักรรถไถกำลังทำงานอย่างหนักหน่วงอยู่ที่มุมหนึ่ง ก่อนจะไถดิน พวกเขาจำเป็นต้องกำจัดวัชพืชและเศษซากต้นไม้เล็กๆ ที่แห้งกรังในที่ดินก่อน ไม่เช่นนั้นเครื่องจักรขนาดเล็กอาจจะมีเศษติดอยู่ใต้ท้องเครื่อง
โชคดีที่มีคนมาร่วมแรงช่วยกันเยอะแยะ ทำให้งานดูสนุกและมียังมีประสิทธิภาพดีด้วย เมื่อเก็บกวาดเสร็จหนึ่งแปลง รถไถก็ไถพรวนอีกสองรอบ จึงเข้ากันได้พอดี
คนที่มาช่วยนั้นส่วนมากก็มีอายุไล่เลี่ยกันกับซ่งซานเฉิน คนอายุเท่านี้ไปทำงานนอกบ้านโรงงานทั่วไปก็ไม่ยอมรับทำงาน แม้การใช้แรงงานหนักอาจจะยังหานายจ้างที่พอจะรับคนอายุเยอะอยู่บ้าง แต่เจ้าของกิจการก็กลัวจะเกิดเรื่องอีก ยิ่งไปกว่านั้น คนอายุสี่สิบห้าสิบปี ตอนหนุ่มสาวก็ทำงานหนักมามากพอแล้ว ร่างกายก็เสื่อมโทรมบ้างตามอายุขัย ใครจะอยากเอาเข้าทำงานให้เสี่ยงไม่คุ้มค่าแรง ปัจจุบันจึงได้แต่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ทำงานบ้างพักบ้าง พยายามไม่เป็นภาระให้ลูกหลาน
ดังนั้น เมื่อซ่งซานเฉินบอกว่าจะจ้างคนมาทำงาน แต่ค่าแรงแค่วันละหนึ่งร้อยห้าสิบหยวน แต่ต้องก้มหน้าทำงานงุดๆอย่างหนัก จริงๆ แล้วว่ากันตามตรงก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก แต่ทุกคนก็เต็มใจมา คนแก่แล้วก็อยากจะหาความสนุกสนานในชีวิตบ้าง
ซ่งซานเฉินถอนหายใจ "ใบชาตรงนั้นไม่ค่อยมีค่าแล้ว บนเนินเขาก็ยังมีอีกเยอะแยะ ฉันไม่ได้ดูแลที่นั่นมาหลายปีแล้วจะเก็บไว้ทำไม"
นั่นสิ
ที่นี่ไม่ใช่แหล่งชาที่มีชื่อเสียงอะไรเลย เป็นแค่ใบชาธรรมดาๆ ในหุบเขา หลังจากคั่วแล้วก็เอาไปขายข้างนอกราคาได้เพียงกิโลละห้าสิบหยวน เก็บไว้กินเองนั้นยังหอมหวาน แต่ข้างนอกกลับแทบไม่มีใครยอมจ่ายเงินซื้อ ต้นชาในไร่นี้ปลูกขึ้นมาก็เพราะตอนนั้นไม่อยากให้ที่ดินโล่งๆ เท่านั้นเอง...
แต่ก็แก่แล้วนี่นา!
งานเกษตรที่ต้องใช้แรงงานหนักๆ ตัวเองทำไม่ไหวแล้ว จะทำไปทำไม
"แล้วแบบนี้เจ้าจะจัดการที่ดินและภูเขาไปเพื่ออะไร" คนที่ถามคือเพื่อนบ้านชื่อ หลี่เป่าหนี่
พอพูดถึงเรื่องนี้ ซ่งซานเฉินก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง จะบอกว่าลูกสาวตัวเองไม่อยากทำงานแล้ว เลยจะกลับมาทำไร่เหรอ? คนหนุ่มสาวสมัยนี้มีใครจะอยากทำไร่กันบ้างล่ะ ถ้าพูดออกไปคนในหมู่บ้านต้องหัวเราะเยาะตายแน่ ดังนั้นเขาจึงพูดแบบเบาๆ ว่า "ไม่มีอะไรหรอก ถานถานทำงานหนักเกินไปแล้ว ร่างกายรับไม่ไหว ฉันเลยบอกให้มันกลับมาช่วยงานที่บ้านสักปีสองปี แล้วค่อยออกไปทำงานในเมืองใหม่"
นั่นสิ
คนหนุ่มสาวบ้านไหนไม่เข้าเมืองไปผจญภัยข้างนอกบ้านกันบ้างล่ะ
เพื่อนบ้านหลี่เป่าหนี่ก็ถอนหายใจ "จริงด้วย ลูกสาวฉันกลับมาช่วงตรุษจีน หน้าตาซีดเซียวมาก ถามก็บอกว่าทำงานล่วงเวลาถึงตีหนึ่งตีสอง เงินเดือนก็ได้แค่นั้น ทั้งปีก็แทบไม่เหลืออะไร"
ลูกสาวของหลี่เป่าหนี่ทำงานขายเสื้อผ้าในร้านแบบแฟรนไชส์ พูดจาปากหวาน ตอนนี้เป็นหัวหน้าแผนกเล็กๆ ต้องคอยตรวจนับสต็อกตอนดึกๆ เป็นประจำ ออกไปต่างจังหวัดเพื่อขยายสาขาก็มีบ้าง แต่ถือว่าเป็นงานที่เหนื่อย อีกทั้งสองปีมานี้เศรษฐกิจไม่ดีนายจ้างก็เลยไม่ขึ้นเงินเดือนให้เธอสักที แถมยังต้องคอยกังวลว่าจะโดนไล่ออกอีกหรือเปล่า... พูดถึงเรื่องลูกๆ หลานๆ แล้ว ทุกบ้านก็มีเรื่องให้ปวดหัวกันทั้งนั้น
โจวซุ่นสุ่ยที่อยู่ไกลออกไปก็ถอนหายใจ "ลูกชายฉันเคยบอกให้พวกเราสองคนแก่ๆ ไปอยู่ที่เมืองกับมันจะได้ช่วยเลี้ยงหลานด้วยนะ พริกที่ซูเปอร์หน้าหมู่บ้านน่ะ กิโลละสิบกว่าหยวนแน่ะ จะซื้อไหวเหรอ"
"เลี้ยงหลาน เช้าก็ต้องไปส่งโรงเรียนเย็นก็ต้องไปรับกลับมาส่งเรียนพิเศษ แล้วก็อยู่กันคนละที่อีกต่างหาก รถเมล์ก็แน่น บางทีอยู่ในบ้านฉันก็มึนหัวไปหมด บ้านข้างในมันเปิดแอร์กันทุกวัน สู้อุ่นสบายแบบชนบทอย่างเราดีกว่าตั้งเยอะ”
“ฉันอยู่ได้หนึ่งอาทิตย์ก็ทนไม่ไหว กลับมาซะเลย ส่วนเมียฉันที่บ้าน แกยังทิ้งหลานรักไม่ลงมั้งก็เลยยังอยู่ที่นั่นต่อ”
ไม่ว่าเรื่องซ่งถานอยากกลับบ้านมาทำนาจะเชื่อถือได้หรือไม่ แต่เหตุผลที่ซ่งซานเฉินหาได้นั้นก็ดูน่าเชื่อถือดี
“ถานถานก็บอกว่าอาหารที่นู่นรสชาติไม่ถูกปากเหมือนกัน ฉันยังคิดเลยว่ายังไงมันก็แน่อยู่แล้ว ก็เลยปลูกผักปลูกข้าวไว้กินเองมันซะเลย”
ชาวบ้านก็หัวเราะกัน
“ซ่งซานเฉิน ตอนนี้นับจำนวนในหมู่บ้านมีนายปลูกนาเยอะที่สุด ข้าวของนายสุกเมื่อไหร่ ฉันจะไม่ซื้อข้าวสารแล้ว จะมาซื้อของบ้านนายแทน”
“ใช่ๆ ฉันก็ซื้อ ข้าวสารข้างนอกดูข๊าวขาวแต่ขัดสีหมดแล้ว ไม่มีคุณค่าอาหารอะไรเลย แถมกิโลละตั้งหลายหยวน ยังไม่หอมเท่าข้าวที่ปลูกเองด้วยต่างหาก”
ซ่งซานเฉินไม่กล้ารับปาก “ฉันปลูกแค่สองแปลง ยังไม่พอแบ่งให้คนในบ้านเลย ไม่ขาย ไม่ขาย”
ใครที่อยู่ในหมู่บ้านนี้ไม่เคยทำนากันบ้างล่ะ ทุกคนได้ยินแบบนั้นก็ไม่พอใจ “สองแปลงรวมกันก็หลายไร่แล้วนะ นายกินข้าวสารปีละกี่พันกิโลกรัมกัน”
ซ่งซานเฉินก็หัวเราะ “แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ เอ้อ! แต่ฉันมีเมล็ดพันธุ์ข้าวดีนะ รสชาติอร่อยแต่แพงมาก อย่างดีก็ได้ไร่ละหนึ่งพันกิโลกรัม หนึ่งพันกิโลกรัมได้ข้าวสารเจ็ดร้อยกิโลกรัม ก็พอให้คนสองสามคนกินได้ราวๆ หนึ่งปี”
แบ่งกัน…
การไปมาหาสู่ในหมู่บ้านเป็นแบบนี้แหละ เพื่อนบ้านญาติๆ ต้องแบ่งกันบ้าง ไม่ต้องเยอะ แต่ต้องแสดงน้ำใจ
“เดี๋ยวตา ยาย ญาติผู้ใหญ่ของเด็กๆ ลุงป้า น้าอา... ต้องมาแบ่งกันอีกไหมล่ะ”
“เอาเถอะแค่นี้ก็พอให้คนในบ้านกินแล้ว”
ทุกคนคิดๆ ดู ก็ไม่ได้เยอะมากเท่าไหร่ แต่ก็มีเหลือแน่นอน “ไม่ได้ ฉันต้องกินข้าวบ้านนายให้ได้ ไม่งั้นนายปักดำ ฉันไม่ไปช่วยนะ”
ทุกคนก็พากันเห็นด้วย ถ้าพูดแบบนี้แสดงว่าช่วยปักดำแล้วก็ไม่ต้องจ่ายเงินน่ะสิ
ซ่งซานเฉินรีบตอบรับ "มีแค่สองแปลงนี้ เราปลูกข้าวเองก็ไม่ถึงสองวันหรอก... กิน กิน กิน เวลามาช่วยเกี่ยวข้าวจริงๆ ข้าวเปล่าไม่อั้น! "
ทุกคนหัวเราะคิกคัก จนกระทั่งเก็บเกี่ยวที่แปลงหนึ่งเสร็จ เตรียมย้ายที่ จึงมีคนนึกขึ้นได้ "แล้วนายเก็บเกี่ยวที่ดินยี่สิบเอเคอร์นี้ ปลูกข้าวแค่ไม่กี่เอเคอร์เอง ที่เหลือเตรียมจะทำอะไรกัน"
ซ่งซานเฉินก็ไม่ปิดบัง "ปลูกผักน่ะสิ"
"ฉันคิดว่าเราไม่ได้ใช้ยาฆ่าแมลง ถ้านั่งรถประจำทางไปขายในเมือง คงไม่ขาดทุนหรอกมั้ง" อีกฝ่ายพูด
แต่นั่นก็ไม่ได้กำไรมากมายอะไร ไม่ใช้ยาฆ่าแมลงก็จริง แต่หญ้ากับแมลงก็จะขึ้นเป็นชั้นๆ จนหนาตา สองสามีภรรยาจัดการไม่ทันแน่ ท่าทางน่าเหนื่อยใจน่าดู ยิ่งกว่านั้นถนนหนทางก็ไม่ค่อยดี รถประจำทางวิ่งถึงหมู่บ้านวันละเที่ยวไปกลับก็ 40 หยวนแล้ว ผักยังต้องใส่ปุ๋ยและใช้แรงอีก อีกทั้งผักในตลาดก็มีแผงขายมากมายซึ่งก็มาจากหมู่บ้านแถบชานเมืองด้วยกันเอง หมู่บ้านพวกนั้นใกล้กว่าพวกเขา แถมการแข่งขันก็สูง ได้กำไรไปก็เป็นเงินที่แลกมาจากความเหนื่อยยากที่เกินควร
ทุกคนคิดคำนวณในใจแล้วว่าไม่คุ้มเลย
แต่เมื่อคิดดูอีกที "ก็น่าจะได้นะซ่งเฒ่า ที่บ้านของนายมีลูกชายลูกสาวอยู่ช่วยนี่นา พวกเราแก่แล้ว ให้ทำแบบบ้านนายคงไม่ไหวหรอก ปลูกผักเองก็ดีเหมือนกัน"
การเพาะปลูกในหมู่บ้านส่วนใหญ่เป็นพันธุ์เดียวกัน และแต่ละครัวเรือนก็เก็บเกี่ยวในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ในปัจจุบันการขายหมูในชนบทก็สามารถทำได้แล้ว การฆ่าหมูเพื่อกินเองยังทำได้เช่นกัน แต่การฆ่าหมูเพื่อขายยังนับว่าผิดกฎหมาย จึงทำไม่ได้