บทที่ 127 การแบ่งแยก
หลังจากทิ้งคำกล่าวข่มขู่ไว้ ฉินหยวนเฟิงก็หันหลังกลับและจากไป
แต่หลังสืบเท้าไปเพียงข้างหน้าไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดฝีเท้าลงแล้วหันกลับมาชี้ไปยังกระบี่ทลายสวรรค์บนเอวของหลัวเฉิง จากนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ดูแลกระบี่ของข้าให้ดี สักพักข้าจะกลับมาเอามันอย่างแน่นอน”
“เจ้าหนี้มันเพี้ยนหรืออย่างไรกัน! ทำข้าโมโหยิ่งนัก!”
ถัวป้าเลี่ยมองยังแผ่นหลังของฉินหยวนเฟิง แล้วกล่าวด้วยโทสะ “หลัวเฉิง เจ้าอยากให้ข้าสอนบทเรียนให้กับมันหรือไม่!”
“ไม่จำเป็น”
หลัวเฉิงส่ายศีรษะ
เขายังอยากจัดการเรื่องปัญหาของเขาด้วยตนเอง
“ข้าคิดว่าไอ้เจ้าวิปริตนี่มันต้องปองร้ายเจ้าแน่ เจ้าต้องระวังตัวให้ดี ไว้ข้าจะมาหาเจ้าอีกครั้งเมื่อมีเวลา!”
หลังจากกล่าวคำอำลา ถัวป้าเลี่ยก็เดินไปหาศิษย์ฝ่ายนอกด้วยเช่นกัน
“ศิษย์บำรุงสำนักมารวมตัวกันที่นี่!”
สุ้มเสียงของผู้อาวุโสควบคุมการทดสอบกระจายไปทั่วทั้งหุบเขาในยามนี้
จากนั้นผู้อาวุโสก็พาหลัวเฉิงและคนอื่นๆ ไปที่ชานเมือง
ศิษย์บำรุงสำนักและศิษย์ฝ่ายนอกล้วนอาศัยอยู่ในพื้นที่รอบนอกของสำนักซวนหยวน
อย่างไรก็ตาม ศิษย์ฝ่ายนอกอาศัยอยู่บนยอดเขาด้านใน โดยมีเรือนพักศิษย์ตั้งเป็นแถวทอดยาว ซึ่งพื้นที่แถวนั้นเต็มไปด้วยปราณแห่งสวรรค์และโลกที่มีความหนาแน่นมาก
ส่วนศิษย์บำรุงสำนักอาศัยอยู่ในเรือนพักศิษย์แถวเชิงเขารอบสำนัก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต่างชั้นของสถานะอย่างชัดเจน
ซึ่งระหว่างทาง คนอื่นๆ ก็ต่างรวมตัวกันเกาะเป็นกลุ่มเล็กๆ
มีเพียงหลัวเฉิงเท่านั้นที่เดินตามลำพัง ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจเขาคล้ายดั่งว่าเขาเป็นตัวประหลาด
ในสายตาของทุกคน หลัวเฉิงเป็นเพียงคนไร้ค่าที่ปลุกวิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมา ทั้งยังอาศัยเส้นสายเพื่อเข้าสู่สำนักซวนหยวน ซึ่งพวกเขาล้วนแสดงความเหยียบหยามและไม่มีผู้ใดต้องการคบหาเป็นสหาย
นอกจากนี้ ใครก็ตามที่มีสายตาเฉียบแหลมจะเห็นว่า หลัวเฉิงทำให้ฉินต้าวหยวนผู้อาวุโสสำนักฝ่ายนอก และศิษย์สำนักฝ่ายนอกหลายคนขุ่นเคือง อาจกล่าวได้ว่าเขาสร้างศัตรูเอาไว้รอบด้าน หากคบหาเขาเป็นสหายรังแต่จะนำภัยมาสู่ตน
หลัวเฉิงเองก็ไม่ให้ความสนใจต่อผู้ใดเช่นเดียวกัน เขาต้องการไปยังที่พำนักให้เร็วเพื่อจะได้รีบฝึกฝน
บริเวณสำนักฝ่ายนอกมีขนาดใหญ่ ซึ่งโดยรอบเต็มไปด้วยยอดเขาสูงมากมาย
หลัวเฉิงและคนอื่นๆ เดินไปเกือบครึ่งชั่วยาม จวบจนอาทิตย์ย่ำอัสดง พวกเขาก็มาถึงยอดเขาที่งดงามแห่งหนึ่ง
เบื้องหน้าเต็มไปด้วยเรือนพักศิษย์หลายพันหลัง กระจายอยู่ทั่วอาณาบริเวณอย่างงดงามตระการตายิ่ง
“ผู้อาวุโสหยวน!”
ชายหนุ่มสองคนรออยู่ที่นั่นนานแล้ว เมื่อเห็นกลุ่มของผู้อาวุโสหยวนเดินมาก็กล่าวทักทายด้วยความเคารพ จากนั้นกวาดสายตาไปยังศิษย์บำรุงสำนัก “คนเหล่านี้ ใช่เป็นศิษย์บำรุงสำนักใหม่งั้นหรือขอรับ”
“อืมม์”
ผู้อาวุโสหยวนพยักหน้าตอบรับ จากนั้นเอียงศีรษะหันกลับไปเผชิญหน้ากับฝูงชน แล้วกล่าวเสียงดัง
“ต่อจากนี้ไป พวกเจ้าจะอาศัยอยู่ที่นี่ ศิษย์พี่ทั้งสองคนนี้จะอธิบายให้เจ้าฟัง จงตั้งใจฝึกฝนและมุ่งมั่นทะลวงเข้าสู่ขั้นเขตแดนลึกลับ เพื่อกลายเป็นศิษย์ฝ่ายนอกให้เร็วที่สุด”
หลังกล่าวเช่นนั้น ร่างของผู้อาวุโสหยวนก็ทะยานขึ้นสูงเหนือฟากฟ้าและหายเข้าไปในหุบเขาทันที
“พวกเจ้าตามเรามา!”
ทันทีที่ผู้อาวุโสหยวนจากไป ชายหนุ่มทั้งสองก็เงยหน้าขึ้นและเดินนำไปทันที
ระหว่างทางทั้งสองก็ได้แนะนำตัวให้เหล่าศิษย์ใหม่ได้ทราบกันถ้วนหน้า
ชายหนุ่มตัวสูงชื่อหลี่ฮุ่ย และอีกคนชื่อจางเหลียน
ทั้งสองได้มาถึงขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสามแล้ว และทั้งสองยังเป็นศิษย์รับใช้มากว่าปี
“มีหลายสิ่งอย่างภายในสำนัก ที่ศิษย์บำรุงสำนักอย่างเราต้องจัดการให้เสร็จ ไม่ว่าจะเป็นการส่งสาร ทำความสะอาดและอื่นๆ อีกมาก ความรับผิดชอบเฉพาะเจาะจงรายบุคคลจะถูกส่งมอบให้พวกเจ้าในวันพรุ่งนี้”
“นอกจากนี้ ยังมีกฎสำคัญภายในสำนักอีกอย่าง คือห้ามวิวาทกันเป็นการส่วนตัว หากเจ้ามีความแค้นต่อใครก็ตาม เจ้าสามารถท้าประลองและต่อสู้กันในที่สนามประลองได้…”
“มีหนังสือกฎของสำนักอยู่ภายในห้องของพวกเจ้าแต่ละห้องแล้ว อย่าลืมอ่านมันให้ละเอียด…”
ระหว่างที่ทั้งสองเดินก็ชี้แนะรายละเอียดต่างๆ ไปพลาง
ไม่นาน ทุกคนก็มาถึงบริเวณพื้นที่พักอาศัย
นอกจากเรือนที่เรียงรายเป็นแถวแล้ว ยังมีกระท่อมเล็กๆ ที่ถูกสร้างขึ้นจากไม้ไผ่อีกด้วย
บนทางขึ้นเรือนจะมีตัวเลขเขียนไว้พร้อมกับขั้นพลังยุทธ์อยู่หน้าบันได เช่น ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับหนึ่ง ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสอง...
ยิ่งระดับพลังยุทธ์สูงมากเท่าไหร่ เรือนพักอาศัยก็จะยิ่งโอ่อ่ามากขึ้นเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังมีเรือนเล็กๆ แบบส่วนตัวที่งดงามตั้งอยู่ในส่วนลึกของพื้นที่พักอาศัยอีกด้วย
ตามที่ หลี่ฮุ่ยและจางเหลียนกล่าวเอาไว้ เรือนเล็กๆ เหล่านี้ มีไว้เพื่อผู้ที่อยู่ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับหกเท่านั้น ที่มีคุณสมบัติมากพอจะอยู่อาศัยในเรือนเหล่านี้
สำหรับกระท่อมไม้ไผ่ซึ่งมีขนาดเล็กสุดนั้น มีไว้เพื่อผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นหลอมกายา
“นี่คงเป็นความหมายของคำว่า มีเพียงความแข็งแกร่งเท่านั้นที่เป็นนิรันดร์!”
หลัวเฉิงพึมพำในใจตนเงียบๆ