บทที่ 11
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ซ่งซานเฉินตื่นขึ้นมาแล้วก็ต้องตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง
อากาศ...สดชื่นจัง!
ยิ่งได้เห็นแนวภูเขาที่ปกคลุมด้วยหมอกบางๆ ประกอบกับแสงสีทองอ่อนอำไพแผ่กระจายอย่างจางๆ ดูสวยงามราวกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของประเทศก็ไม่เกินจริง
คูน้ำหน้าบ้านยังมีหมอกสีขาวปกคลุม หนาแน่นและบังตาจนเขามองแทบไม่เห็นพื้นผิวน้ำ มันกำลังเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ค่อยๆ สลายไป ส่วนต้นเหมยฮวาที่อยู่รอบๆ สนาม ซ่งซานเฉินจำได้ชัดเจนว่ามันเคยร่วงโรยไปตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว ทำไมวันนี้ถึงกลับมาบานอีกครั้ง? ดอกตูมสีเหลืองเล็กๆ ซึ่งยังบานไม่เต็มที่นั้น ไม่เพียงแค่ดูน่ารักราวเด็กน้อยหัดเดิน แต่กลับยังมีกลิ่นหอมโชยมาแต่ไกล
ขณะนี้ ชาวนาชราได้มีโอกาสชื่นชมความงามที่ไม่พบเจอมานานมากแล้ว แต่ก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง เหมือนกับว่าตัวเองกำลังถูกชื่นชม
เขาหันไปมอง!
เห็นกระรอกสีเทาพื้นเมืองเจ็ดแปดตัวเกาะกำแพงบ้านแล้วมองเข้ามาเหมือนพวกปาปารัสซี่ พอลองมองไปที่ภูเขาหลังบ้าน ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นภาพที่เพิ่งผ่านพ้นฤดูหนาวมา แต่กลับมีกลิ่นอายของความสดใหม่ ราวกับว่าเพิ่งขัดเคลือบเงา
ซ่งซานเฉินมองอยู่นานจนงง แล้วก็หัวเราะให้กับความคิดของตัวเอง: "ฮัดเช้ย! "
เช้าตรู่หนาวเกินไป
เขาจึงรีบละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลาย และกอดฟืนกองหนึ่งไปก่อไฟในเตาผิง เฮ้อ…ผู้ชายสูงอายุในชนบทแบบนี้ช่างลำบาก ถึงจะกลัวความหนาวแทบไม่ต่างกับหญิงชรา แต่เขากลับยังต้องตื่นขึ้นมาก่อไฟ
ในห้องนอน
ซ่งถานค่อยๆ ดึงสติกลับคืนมา พลังวิญญาณของแหล่งธรรมชาติที่ดึงดูดมาได้จากรอบตัวเธอ หลังจากที่เพิ่งฝึกวิชาเซียนรากคู่ธาตุน้ำและธาตุไม้เสร็จ ก็ได้กลายเป็นพลังชีวิตที่เข้มข้นยิ่งขึ้น แล้วก็กระจายไปอย่างเงียบๆ
ทั้งในและนอกบ้านล้วนอากาศสดชื่น บรรยากาศดีขึ้นผิดหูผิดตา
ขณะที่เธอสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณที่อุดมสมบูรณ์ในร่างกาย ก็ถอนหายใจยาวๆ ด้วยความโล่งอก ร่างกายฉันคงจะฟื้นฟูได้เกือบหมดแล้ว
ซ่งถานเดินออกจากห้องหลังจากที่ล้างหน้าเล็กน้อยแล้ว ก็ดึงต้นหญ้าป่าสองต้นออกจากกองฟืน ขณะนี้เธอผูกมันเป็นรูปกากหยวนแบบสบายๆ จากนั้นก็ย่อตัวลงในสวนผักที่ว่างเปล่า สองมือประสานกันเป็นรูปกากหยวนที่ฝ่ามือ ปลายสัมผัสพื้นเล็กน้อย
จากนั้นก็หลับตาลง แล้วพูดเบาๆ ว่า
"ตอนนี้ผู้มีพระคุณปลอดภัยดีหรือไม่"
นี่คือการสื่อสารกับธรรมชาติ
เป็นวิธีการแบบโบราณที่สามารถทำได้เหมือนกับการพยากรณ์แปดเหลี่ยมของคัมภีร์อี้จิงซึ่งต้องใช้พลังจิตต่ำ บุคคลธรรมดาจำนวนมากที่มีพลังจิตวิญญาณเล็กน้อยก็สามารถทำได้เช่นกัน และเป็นสิ่งเดียวที่ซ่งถานซึ่งอยู่ในช่วงฝึกฝนลมปราณพอจะสามารถทำได้ในตอนนี้
แน่นอนว่าโอกาสสำเร็จต่ำ ผลการวัดจึง...เลอะเทอะ
ชายคนนั้นที่ช่วยเธอจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ หากไม่ใช่เพราะเขา แม้ว่าเธอจะย้อนเวลากลับมาได้และพลังลมปราณฟื้นฟูร่างกายแล้ว แต่ในการปะทะรุนแรงเช่นนั้นก็ยากที่จะรักษาชีวิตไว้ได้
ความทรงจำสับสนเกินไป พลังจิตขัดแย้งกับบาดแผลที่ร่างกาย ซ่งถานจำได้เพียงดวงตาสีน้ำตาลดำของอีกฝ่าย และขนตาที่หนาเป็นแพของเขา ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลเธอยังไม่ได้ถามข้อมูลซักไซ้จนแน่ชัด แต่ตอนนี้พลังจิตเธอเริ่มฟื้นฟูขึ้นเล็กน้อยแล้ว จึงอยากสืบหาข้อมูลของเขาเป็นอันดับแรก
นักบำเพ็ญเพียรให้ความสำคัญกับผลลัพท์ของการฝึกปรือ ส่วนซ่งถานให้ความสำคัญกับคุณธรรมเสมอมา ยังไม่ต้องพูดถึงการตอบแทนในรูปแบบอื่น เวลานี้เพียงแค่การส่งของท้องถิ่นฝากไปให้เขา ก็น่าจะพอโล่งใจได้บ้าง
ครั้งนั้นผู้ช่วยแพทย์สาวในโรงพยาบาลพูดไม่ชัดเจน เธอรู้สึกว่าไม่ค่อยถูกต้องนัก
พลังจิตไหลเวียน ปากกาด้ามธรรมดาๆ ถูกบรรจุพลังลมปราณเธอเข้าไป ทำให้ปากกาที่อยู่ใต้ฝ่ามือเธอค่อยๆ เลื่อนไปในดินที่ชื้นเล็กน้อยในตอนเช้า ซ่งถานลืมตาขึ้น เห็นเพียงคำตอบที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น
"ไม่ตาย"
เธอผิดหวัง นี่คือคำตอบแบบไหนกัน ไม่แปลกใจเลยที่ไม่มีใครในโลกเซียนใช้วิธีแบบนี้แล้ว
เธอไม่ยอมแพ้ หลับตาคิดทบทวนคำถามอีกครั้ง "ผู้มีพระคุณอยู่ที่ใด"
พลังจิตไหลเวียนอีกครั้ง ในที่สุดก็ขีดเขียนคำที่กระจัดกระจายยิ่งกว่าเดิมออกมาเป็นแถว
“ที่บ้าน”
ซ่งถานยิ่งโกรธ!
เธอโยนหญ้าสี่แฉกที่อยู่ในมือทิ้งไป แล้วก็เพิ่งรู้สึกว่าเป็นครั้งแรกเลยที่วิชาเซียนไม่มีประโยชน์อะไรสักนิด ตอนนี้เมื่อตั้งสตินึกดูแล้ว เธอเลยส่งข้อความไปหาผู้ช่วยแพทย์สาวแห่งโรงพยาบาลในมณฑลหนิงอีกครั้ง
“ผู้ช่วยจางคะ ฉันรบกวนถามหน่อยได้ไหมว่า คนที่ช่วยฉันตอนนั้นตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ การย้ายโรงพยาบาลเป็นเพราะเหตุผลทางร่างกายหรือเปล่า ถ้าเป็นไปได้ ฉันขอที่อยู่ติดต่อได้ไหม”
“แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ต้องการให้ฉันตอบแทน แต่ฉันก็อยากจะขอบคุณเป็นการส่วนตัวค่ะ”
ข้อความตอบกลับมาหลังจากนั้นนานมาก “งั้นเดี๋ยวฉันจะลองถามให้คุณอีกทีนะ”
เช้าวันหนึ่งในฤดูหนาว การล้างผักในห้องครัวก็ทำให้มือเย็นชาจนซีดเปื่อย อู่หลานต้มเกี๊ยวหม้อใหญ่พลางมองดูเฉียวเฉียวที่หมุนตัวไปมาเหมือนลูกข่าง เดี๋ยวก็ตักเกี๊ยวให้พี่สาว เดี๋ยวก็ยกน้ำซุปเกี๊ยวมาให้พี่สาว
สามีภรรยาคู่นี้คนหนึ่งก่อไฟ อีกคนทำอาหาร แล้วก็ตักกินเองไม่ได้สนใจใคร
แล้วซ่งถานล่ะ เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้แบบสบายๆ แล้วก็เอาปากมาอ้อนน้องชายคนเดียวของเธอ “เฉียวเฉียวดีจังเลย”
“เฉียวเฉียวเก่งมาก”
“น้ำซุปเกี๊ยวที่เฉียวเฉียวตักมา พี่สาวซดหมดเลย”
อู่หลานกับซ่งซานเฉินเงียบอึ้งไปเลย
ลูกชายโง่เอ๊ย จะทำยังไงดีล่ะ..
ไม่เห็นต้องไปคิดอะไร ซ่งซานเฉินเลย “อืม” ออกมาเสียงหนึ่ง แล้วจึงเปลี่ยนหัวข้อไป “อ้อ เช้านี้คนไถนาเขามาแล้วนะ เที่ยงนี้ที่บ้านทำกับข้าวเยอะๆ หน่อย”
ซ่งถานสงสัย “ใช้รถแทรกเตอร์ขนมาเหรอคะ”
ตอนนี้ที่ไหนจะมีรถแทรกเตอร์ “ใช้รถสามล้อ”
ซ่งถาน “!!!”
เครื่องจักรไถนามันขนาดเล็กก็จริง แต่การขนส่งด้วยรถสามล้อมันออกจะดูถูกกันไปหน่อยไหม อีกอย่าง รถสามล้อจะข้ามภูเขาข้ามห้วยได้เหรอ
หรือไม่ได้?
แต่เธอยังไม่ทันได้ขบคิดคำตอบที่สงสัยนี้ดีนัก ก็ได้ยินเสียงรถดังมาจากถนนด้านนอกก่อนแล้ว เมื่อออกไปดู
โอ้โห!
เป็นรถสามล้อเก่าสีแดงเข้มจริงๆ คล้ายรถสามล้อส่วนตัวที่ขนของย้ายบ้านให้ผู้คนริมถนนในเมืองหนิงเลย ในพื้นที่ด้านหลังที่ไม่กว้างนักแต่ก็ดูเหมือนจะกว้างมากพอควร กลับสามารถยัดเครื่องจักรไถสีแดงเข้มเครื่องโทรมๆ ขนมาได้อย่างเหลือเชื่อ เห็นได้ชัดว่าลูกจ้างพวกเขาตั้งใจจะเริ่มทำงานแล้วจึงมารวดเร็วเพียงนี้
"พี่ชาย ที่ดินอยู่ตรงไหน ผมจะไปเดี๋ยวนี้เลย"
"มาเร็วจังเลย กินข้าวหรือยัง"
ชายหนุ่มร่างใหญ่สองคนทักทายกัน จากนั้นก็เดินไปที่ริมทุ่งนาพร้อมกับเสียงคำรามของรถสามล้อ
ส่วนทางอู๋หลานกำลังวางแผนเมนูอาหารกลางวัน ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะหันไปรายงานความคืบหน้าเรื่องทำไร่แก่ลูกสาว "เราหาคนตัดต้นไม้ที่ภูเขาหลังบ้านได้เยอะแล้ว พอดีจะตัดต้นโอ๊คพวกนั้นที่ขึ้นรกเกะเกะด้วยหนูจะได้มีที่ว่างสำหรับเล้าหมู อีกอย่างลูกไม่ได้อยากจะปลูกเห็ดหูหนูและเห็ดหูหนูขาวแล้วหรือ ต้นไม้เหล่านี้ก็ใช้ได้พอดีเลยนะ"
เงินได้จ่ายออกไปแล้ว อู๋หลานจึงทำได้เพียงยอมรับแผนการของลูกสาวเธอ ขณะเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อารมณ์เธอก็สงบลงนานแล้ว
"หนูคิดว่าจะหาคนถางหญ้าในป่าเกาลัดที่เชิงเขาข้างบ่อสักหน่อย ไม่งั้นจะส่งผลกระทบตอนปลูกเห็ดหูหนูขาวอีก" ขณะเดียวกันอู่หลานก็ลอบบ่นพึมพำ "จ้างคนถางหญ้ายังแพงกว่าฉีดยาฆ่าแมลงอีก..."
ซ่งถานแกล้งทำเป็นหูทวนลม แต่การแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินก็ไม่ได้ช่วยให้แผนการในใจเธอสำเร็จได้ อู๋หลานจ้องมาที่ลูกสาวอีกครั้ง "ถ้าลูกจะทำไร่เอง ก็ต้องไม่เกียจคร้าน จัดการเองให้เรียบร้อยซะ"
ซ่งถานรีบพยักหน้า
เฉียวเฉียวถือชามของตัวเองไว้ ใช้ตะเกียบจิ้มเกี๊ยวคำใหญ่เข้าไป "พี่สาว ผมจะช่วยพี่"
อู๋หลานดูยิ่งโมโหเข้าไปอีก
การจัดการเมล็ดพันธุ์ถั่วม่วงนั้นค่อนข้างง่าย
ซ่งถานพาเฉียวเฉียวไปตักทรายจากด้านนอกมาสองช้อนแล้วนำมาผสมกับเมล็ดพันธุ์ถั่วม่วง ใช้แรงขยี้และถู วิธีนี้จะช่วยทำให้เปลือกหนาๆ บางลง งอกได้เร็วขึ้น การขยี้เมล็ดพันธุ์ที่ใส่ถุงไว้นอกจากจะต้องใช้แรงแล้ว ยังมีความสนุกสนานเป็นพิเศษด้วย ซ่งเฉียวขยี้ไปหัวเราะไป เห็นได้ชัดว่ามีพรสวรรค์ในการทำเกษตรกรรม
พอขยี้จนได้ที่แล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการตากแดด ตากแดดไว้หลายๆ ชั่วโมง แล้วก็มาแช่ไว้ในน้ำสักครึ่งวัน พอถึงเที่ยงก็คนๆ สักสองสามครั้ง ก่อนจะควานทิ้งพวกเมล็ดพันธุ์ลอยน้ำที่เป็นเมล็ดพันธุ์คุณภาพต่ำไป เป็นอันว่าจัดการเมล็ดพันธุ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว
ก็แหม มันเป็นปุ๋ยพืชสดนี่นา หลายๆ ปีมานี้ทุกคนก็ใช้วิธีการเพาะปลูกแบบง่ายๆ แบบนี้กันทั้งนั้นจึงเสร็จรวดเร็ว สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ ตอนแช่เมล็ดพันธุ์ ซ่งถานจะละลายหยดน้ำแห่งจิตวิญญาณลงไปในน้ำด้วย
เฉียวเฉียวมองเมล็ดพันธุ์เต็มทุ่งนาแล้วก็รู้สึกภูมิใจมาก “พี่สาว การทำไร่นี่สนุกจริงๆ เลย”
แต่ว่าแขนล้าไปหน่อย!