บทที่ 7
สำนักงานอำเภอในเมืองเล็กๆ อย่างหยุนเฉิงไม่จำเป็นต้องต่อแถว เพราะประชากรน้อยยิ่งกว่าหยิบมือ ซ่งถานทำบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ใช้เวลาเพียงสิบนาทีก็เสร็จ ตอนนี้เธอจึงเลือกซื้อโทรศัพท์มือถือราคาสามพันหยวนให้คุ้มค่าที่สุด ขณะที่กำลังคิดถึงเงินในกระเป๋าของเธอ เธอก็รู้สึกเศร้าใจ
หกหมื่นหยวน แม้จะพูดให้ถูกต้อง ต้องเป็นหกหมื่นสองพันกว่าหยวน รวมเงินอุดหนุนของแม่ที่ให้เพิ่มเพื่อซื้อโทรศัพท์มือถืออีกสองพันหยวน รวมแล้วก็เป็นหกหมื่นสี่พันหยวน
เมื่อคืนก็วางแผนไว้ดีแล้ว
วางแผนอย่างไรบ้างน่ะหรือ..
ซื้อโทรศัพท์มือถือ ซื้อเครื่องมือทำการเกษตร ซื้อเมล็ดพันธุ์ และปุ๋ย...
ถ้าที่เหลือเก็บไว้ได้ไหมนะ ไม่ได้ ต้องจ้างคนขุดภูเขา ขุดดิน ขุดทุกที่ที่เธออยากปลูก...
แต่เงินจำนวนนี้ก็จ้างคนทำงานได้ไม่นานนัก
"พ่อ แม่บอกว่าทุ่งนาและภูเขาให้หนูจัดการได้ตามใจชอบ แค่แปลงผักอย่าไปยุ่ง ถ้าขอเช่าเครื่องจักรไถดินด้วยได้ไหม"
ซื้อไม่ไหวก็เช่าได้!
ซ่งซานเฉินยังไม่ค่อยเปิดใจเท่าไหร่ "ถานถาน ลูกจะทำไร่จริงๆ เหรอ ลองทำแค่หนึ่งหรือสองแปลงก่อนก็พอแล้ว ทำใหญ่ขนาดนี้ ชาวบ้านรู้เข้าจะต้องว่าเราโอ้อวดแน่ๆ "
ซ่งถานเองก็คิดได้ เธอไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอย่างพ่อกับแม่ แต่ซ่งซานเฉินและอู่หลานใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาทั้งชีวิต ให้พวกเขาไม่สนใจคำนินทาเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงเกลี้ยกล่อมว่า "พ่อ หนูปลูกแค่แปลงเดียว คนอื่นก็พูดอยู่ดี ถ้าเป็นแบบนั้น ยังไงก็ต้องทำใหญ่ไปเลย"
ซ่งซานเฉินพูดไม่เก่ง ไม่รู้จะพูดอะไรดี จึงถอนหายใจอีกครั้ง "เมื่อคืนพ่อคุยกับแม่แล้ว เงินเก็บช่วงบั้นปลายชีวิตสองแสนหยวนของพ่อกับเฉียวเฉียวห้ามแตะต้อง เราให้ลูกได้แค่หกหมื่น"
"ถานถาน หาเงินได้ยาก อย่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย"
ซ่งถานรู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมาทันที เธอรู้ว่าพ่อไม่ได้โกหก ครอบครัวชาวนา ส่งลูกคนหนึ่งเรียนมหาวิทยาลัย อีกคนเป็นลูกชายสติไม่ค่อยปกติ แม้แต่การทำงานก็ต้องสลับกันไประหว่างสามีภรรยา จะเก็บเงินได้มากแค่ไหนเชียว
นี่คือสมบัติทั้งหมดจริงๆ
ซ่งซานเฉินไม่รู้ความคิดลูกสาว ในหัวยังคงมีแต่ความกังวลอยู่
"ถ้าจะทำ ก็ต้องคิดให้ดีว่าจะหาเงินได้อย่างไร ถ้าหาได้ง่ายๆ ไม่งั้นชาวบ้านที่ทำไร่ทำนาเก่งกว่าหนูเยอะแยะ พวกเขาจะยังอดมื้อกินมื้ออยู่ทุกวันนี้หรือลูก"
"ถ้าไม่มั่นใจ ก็คิดทบทวนดูอีกทีเถอะถานถาน"
ซ่งถานก็เงียบไป
ในหมู่โลกเซียนแห่งการบำเพ็ญเพียร ไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำได้ไม่ต้องสนใจขี้ปากใครทั้งนั้น ตราบใดที่บรรลุขั้นก็ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้และไม่กล้าข้องเกี่ยวด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับวิชาเซียนรากคู่ธาตุน้ำและธาตุไม้ของเธอ เพื่อแสวงหาการพัฒนาตนเอง เธอจึงต้องไปถึงยอดเขาอินเยว่เพื่อปลูกพืชวิญญาณเป็นเวลากว่าหนึ่งร้อยปี
มีอีกมากมายปฏิบัติเช่นนี้
แต่ตอนนี้เป็นโลกของมนุษย์ธรรมดา เงินหกหมื่นหยวนเธอสามารถใช้จ่ายจนหมดได้ แต่เธอจะกล้าให้พ่อแม่ต้องกังวลใจแบบนี้ได้อย่างไร แต่จะพูดเรื่องการบำเพ็ญเพียรอย่างไร ซ่งถานครุ่นคิดครู่หนึ่ง
"พ่อ จริงๆ แล้ว ไม่ต้องปิดบังพ่อเลย หนูอยากกลับมาบ้านนานแล้ว หมู่บ้านของเราอยู่ใกล้แหล่งน้ำ และยังเป็นภูเขาคดเคี้ยวอีกตั้งสิบแปดโค้ง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่ได้มีมลพิษ เป็นสถานที่ที่ดีมาก"
นั่นเป็นเรื่องจริง เพียงแต่เป็นภูเขาที่รกร้างว่างเปล่า ภูเขาก็ไม่สูงชันมากนัก กระนั้นก็ยังคงดูงดงามแปลกตา พื้นที่ป่าและพื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่ปลูกอะไรก็ได้ แต่ผู้คนในหมู่บ้านกลับปล่อยให้รกร้างว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น...แม้ว่าเธอจะต้องการพัฒนา แต่ก็ไม่มีทางเริ่มต้นได้เลย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแทบจะไม่มีมลพิษให้ได้สัมผัสเลย
ไม่เช่นนั้น เมื่อคืนซ่งถานคงไม่สามารถดึงลมปราณเข้าสู่ร่างกายได้จนสมบูรณ์
"มีอะไรดี" ซ่งซานเฉินไม่สนใจ "หมู่บ้านแบบนี้มีอยู่ทั่วไป"
แต่ซ่งถานกลับพูดเสียงเบา "พ่อ หนูกล้ากลับมาทำไร่เพราะมีผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบที่นี่แล้ว บอกว่าคุณภาพดินและน้ำดีมาก ปลูกพืชผลก็จะมีคุณภาพดีกว่าที่อื่น"
"เขาเป็นมืออาชีพ และหนูก็รู้สึกเขาจะโกหกเพื่อประโยชน์อะไร และหนูยิ่งรู้สึกว่าทำงานไม่ไหวแล้วก็เลยอยากกลับมาที่บ้านเราลองทำมันดู"
"พ่อ ถ้าทำสำเร็จ หนูจะได้อยู่กับพ่อแม่ที่หมู่บ้านตลอดไปไง"
ประโยคสุดท้ายทำให้ซ่งซานเฉินยอมใจอ่อน
การเลี้ยงดูลูกชายและลูกสาว มีหรือเขาจะไม่ต้องการให้ครอบครัวอยู่ด้วยกัน แต่เมื่อลูกสาวเรียนจบมัธยมต้นก็ไปอยู่หอพักในเมือง เมื่อเรียนจบมัธยมปลายก็เรียนต่อมหาวิทยาลัยและทำงาน เมื่อคิดคำนวณอย่างถี่ถ้วนแล้ว เวลาที่พวกเขาได้อยู่กับลูกสาวนั้นน้อยมากจริงๆ
พอตอนนี้ลูกสาวพูดแบบนี้ ซ่งซานเฉินก็อดจะเผลอเชื่อไม่ได้เหมือนกัน ใช่น่ะ คนที่เชี่ยวชาญมาตรวจสอบโดยเฉพาะเชียวนะ เพราะงั้นถ้าเกิด…….
ดังนั้นเขาจึงหลอกตัวเองอยู่สักพัก แล้วก็พูดตามไปด้วยว่า “ใช่ ผักที่เราปลูกที่นี่มีกลิ่นธรรมชาติมากกว่าที่พวกคนในเมืองซื้อขายในซูเปอร์มาร์เก็ต!”
พ่อลูกเดินไปดูเครื่องมือทำการเกษตรอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ถูกแล้วพ่อ ว่าแต่เครื่องจักรไถพรวนของที่นี่ราคาเท่าไหร่?”
ซ่งซานเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่ง “น่าจะประมาณห้าพันหยวนได้มั้ง......”
ซ่งถานตัดสินใจทันที “หนูจะซื้อหนึ่งเครื่อง!”
“ซื้ออะไร!” ซ่งซานเฉินสะดุ้งพรวดทันที รีบจ้องมองเธอ “ใช้ไปสองครั้งก็ต้องซ่อมแล้ว และที่บ้านเรามีตั้งแต่ป่าไผ่ไปจนถึงสระน้ำ รวมแปลงนาใหญ่ก็นับได้เจ็ดแปดแปลง หนูซ่อมไหวเหรอ แล้วจะทำเสร็จในคราวเดียวได้เหรอ”
นาของพวกเขาเป็นนาขั้นบันได เหมาะเฉพาะกับเครื่องจักรขนาดเล็ก แต่เครื่องจักรขนาดเล็กราคาถูก ก็เสียได้ง่ายอีก ในเรื่องนี้ ซ่งซานเฉินมีประสบการณ์มากกว่าซ่งถานที่ใช้แต่พลังปราณวิญญาณ
ดังนั้น ซ่งถานจึงเดินตามซ่งซานเฉินไป เห็นเขาเดินเข้าไปในร้านขายเครื่องจักร พูดคุยกันไม่กี่คำ ก็ตกลงราคาไถพรวนที่ 500 หยวนต่อวัน
“แพงจัง......”
ซ่งซานเฉินยังบ่นไม่เลิกหลังจากออกจากร้าน
ตอนนี้คนทำนาแม้ไม่ค่อยมี แต่ก็ยังพอหาจ้างได้อยู่บ้าง ฤดูกาลนี้ทุกคนน่าจะกำลังเตรียมไถพรวนสำหรับฤดูใบไม้ผลิ ถือว่าเป็นช่วงฤดูเพาะปลูกเล็กๆ นอกจากนี้ พวกเขายังไม่เพียงแต่เช่าเครื่องจักร แต่ยังต้องจ้างคนทำงานด้วย นาของพวกเขาก็รกร้างมานานหลายปีแล้ว จึงต้องจ่ายราคาแพงขนาดนี้ ซ่งซานเฉินถึงกับอ้าปากค้าง
แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนมองโลกในแง่ดี ตอนนี้จึงดูกังวลน้อยลงแล้ว “ใช้เครื่องจักรจะได้ประหยัดแรง จ้างเขาแพงหน่อย แต่ไถพรวนได้ลึกกว่าจ้างเจ้าอื่น ก็ดีเหมือนกัน”
จริงๆ แล้ว ในเมืองมีร้านขายเครื่องจักรให้เช่าอยู่ร้านเดียว ถ้าไปไกลกว่านี้ก็ต้องไปเมืองข้างๆ
ซ่งถานมองพ่อของเธอ รู้สึกว่าเขาน่ารักไปหมด
“ถูกแล้วถานถาน หนูวางแผนจะปลูกอะไรก่อน? ถ้าจะปลูกข้าว ก็ต้องไปทำความสะอาดคูน้ำด้านบนก่อน หลายปีมานี้ไม่มีใครดูแลเลย เต็มไปด้วยต้นไม้จนจิกน้ำจะหมดบ่อแล้ว”
ผู้คนในหมู่บ้านนี้ชอบทานข้าว แต่เดิมมักปลูกข้าวและข้าวสาลี แต่โดยภาพรวมแล้วคะแนนก็ยังเทมาทางฝั่งปลูกข้าวเสียมากกว่า แน่นอนว่าตอนนี้ไม่มีใครปลูกแล้วไม่ว่าจะเป็นข้าวชนิดไหนก็ตาม
ซ่งถานเฝ้ามองพ่อของตนเอง รู้สึกราวกับว่าตนเป็นบุตรสาวของเศรษฐีที่แสนร่ำรวย "คูน้ำแห่งนี้ก็เป็นของเราด้วยหรือ" ริมบ่อมีต้นหลิว ต้นหญ้าและผักป่า น้ำใสสะอาด
ในความทรงจำของซ่งถาน ลูกเกาลัดในบ่อมีขนาดเล็กพอสมควร แต่เมื่อปอกเปลือกออกแล้วจะมีรสหวานและนุ่มละมุน แตกต่างจากที่ขายในตลาดอย่างสิ้นเชิง เธอไม่เคยได้ลิ้มรสเช่นนี้อีกเลยในหลายปีมานี้
"แล้วจะเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร" ซ่งซานเฉินกล่าวอย่างจริงจัง "แต่เดิมครอบครัวเราปลูกข้าว หากใช้คูน้ำของผู้อื่น เขาคงไม่ยอมให้เราสูบน้ำ แล้วข้าวจะงอกงามได้อย่างไร"
"อย่าได้พูดถึงเรื่องนั้นเลย ป่าไผ่แห่งนี้ รวมถึงคูน้ำหน้าบ้านล้วนเป็นของเรา พ่อเป็นน้องคนสุดท้อง เมื่อแบ่งมรดก พี่ชายก็ได้ภูเขาไป แต่เราได้ที่ดินแถวนี้ มีเพียงคูน้ำที่อยู่ไกลออกไปบนเนินเขาเท่านั้นที่เป็นของหมู่บ้าน"
ซ่งซานเฉินถอนหายใจอย่างหนักหน่วง เห็นได้ชัดว่าเริ่มกังวลเรื่องเงินอีกแล้ว
ขณะที่ซ่งถานยังตกใจอยู่จนพูดไม่ออก
เธอยังคิดที่จะกลับมาเช่าที่ดินบนภูเขา แต่เมื่อพิจารณาเช่นนี้แล้ว จะต้องเช่าไปเพื่ออะไรกันเล่า เธอเป็นเศรษฐีอยู่แล้ว! ในเวลานี้ ซ่งถานรู้สึกกระฉับกระเฉง จึงชี้ไปที่ร้านขายเมล็ดพันธุ์ข้างหน้า
"พ่อ ซื้อเมล็ดถั่วม่วงสักหลายสิบกิโลกรัมเถอะ"