บทที่ 5
ซ่งซานเฉินยอมให้เธอกลับมาทำไร่ นั่นทำให้ซ่งถานโล่งใจจริงๆ แต่ต่อไปก็ถึงคิวแม่ของเธอ อู่หลานแล้ว
ขณะนั้น อู่หลานก็พูดขึ้นมาพอดีว่า "ถึงเวลาทานข้าวแล้วเฉียวเฉียว ไปล้างมือแล้วมาช่วยยกกับข้าว! "
ซ่งเฉียวก็วิ่งไปตามคำสั่ง ในช่วงฤดูหนาวแบบนี้แต่น้องชายเธอก็ยังเปิดก๊อกน้ำนอกบ้านแล้วล้างมือจนสะอาด จากนั้นก็ขยันขันแข็งไปยกกับข้าว
น้ำซุปปลาเก๋าสีขาวข้น มีผักชีลอยอยู่ด้านบน แค่ได้กลิ่นก็รู้เลยว่าเป็นปลาที่สดมาก!
ซ่งถานเหลือบมองอาหารอีกหลากหลายจานที่ถูกยกเสิร์ฟมาติดๆ กัน เริ่มจากปลาเก่าผัดซีอิ๊วที่ขนาดตัวไม่ได้ใหญ่มากมาย น่าจะประมาณสองถึงสามขีด แต่เมื่อผัดเข้ากันกับผักชี พริก ขิงและต้นหอม คลุกเคล้ากันอย่างดีแล้ว กลิ่นหอมเข้มข้นอบอวลไปทั่วทั้งบ้าน ถ้าอากาศอุ่นกว่านี้อีกนิด ในท้องปลาก็คงมีไข่ปลาที่อร่อยกว่านี้
จานถัดมาเป็นหัวไชเท้าตุ๋นหมูสามชั้น หมูสามชั้นตุ๋นเป็นวิธีทำอาหารของท้องถิ่น นำหมูสามชั้นที่ติดมันนิดหน่อยมาหมักเกลือไว้ และหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ลงกระทะ ใส่น้ำมันถั่วลิสงแล้วผัดไปเรื่อยๆ ผัดจนชิ้นหมูเริ่มเป็นสีเหลือง น้ำมันจากหมูหอมๆ ก็จะออกมาบางส่วน จากนั้นจึงปิดท้ายด้วยใส่ทั้งน้ำมันและเนื้อหมูลงในหม้อ พอเย็นลงแล้ว น้ำมันหมูสีขาวข้นๆ ก็จะห่อหุ้มชิ้นหมูไว้แน่นหนา ปิดฝาแล้วนำไปไว้ในที่ร่ม กินเมื่อไหร่ก็ตักเมื่อนั้น ตอนนี้ที่ตุ๋นอยู่นี้ แม้แต่ส่วนที่เป็นมันก็ยังหอมๆ ซ่งถานไม่รู้สึกว่ามันจะเลี่ยนเลย
จานถัดมาก็เป็นกระเทียมป่าผัดไข่ ไข่ใส่กระเทียมป่าสีเขียวสดๆ ไข่ไก่บ้านของเราผัดออกมาเป็นสีเหลืองทอง ผสมกันแล้วหอมฉุย! จานสุดท้ายก็คืออาหารจานเด็ด ผักโขมสีเขียวสดกรอบ อร่อยหวานเมื่อเข้าปาก ผัดกับกระเทียมเจียว รสชาติเลิศรสที่สุด
ซ่งถานทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้แล้วไม่ยอมขยับไปไหน! เพราะกลิ่นอาหารเหล่านี้เย้ายวนจมูกเธอเหลือเกิน
ซ่งเฉียวผู้เป็นน้องชายที่แสนดี ตอนนี้ยกชามข้าวมาให้แล้ว "พี่สาว ปลาที่เฉียวเฉียวช่วยตกนะ! พี่กินเยอะๆ นะ! "
จริงๆ ซ่งซานเฉินว่าจะไม่สนใจอะไรกับคำพูดลูกชายตนเอง แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะโดนขโมยความดีความชอบจากปลาที่ตัวเองเป็นคนตกล้วนๆ "แกแค่เกี่ยวเหยื่อ แกไปช่วยตกปลาตอนไหนเฉียวเฉียว..."
แต่ไม่ทันไร ซ่งซานเฉินก็ถูกอู๋หลานปราบต่อหน้าต่อตา "ก็เป็นเพราะหนอนของเฉียวเฉียวดีถึงได้ตกปลาได้! ไม่งั้นทำไมคราวนี้พ่อถึงตกปลาได้เยอะล่ะ จริงไหมเฉียวเฉียว"
ซ่งเฉียวหันไปมองยังพ่อของเขา จมูกฮึดฮัด "ก็ใช่สิ! "
แม่ลูกเข้าขากันอย่างดิบดี จนซ่งซานเฉินอดเบ้ปากไม่ได้
ซ่งถานจิบน้ำซุปปลาที่น้องชายตักให้ด้วยรอยยิ้ม รสชาติกลมกล่อม แต่สิ่งไม่ดีที่ตามมาก็คือ หลังจากรสชาติที่กลมกล่อมแล้ว ยังมีรสชาติขุ่นๆ ที่มีเพียงเธอเท่านั้นที่รับรู้ได้ ถึงแม้จะไม่มีพลังวิญญาณใดในอาหารที่จะสามารถฟื้นฟูพลังลมปราณเธอให้เพิ่มขึ้นได้ อาจจะเพราะยังคงมีสิ่งเจือปนอยู่ด้วย แต่ตอนนี้เธอที่หิวโหยก็สามารถกินมันได้อย่างสบายใจแล้ว
อย่างน้อยก็ดีกว่าอาหารที่สั่งมาตอนกลางวันเยอะเลย
อู๋หลานมองลูกสาวที่ตักเพิ่มอีกหนึ่งชาม แล้วมองไปที่ใบหน้าซีดเซียวและร่างกายผอมแห้งของเธอ ตอนนี้ทั้งภูมิใจและเป็นห่วง
"กินเยอะๆ นะ ในหม้อยังมี พรุ่งนี้แม่จะใช้เตาถ่านหุงข้าว พอถึงเวลานั้นจะเอาข้าวต้มกับน้ำซุปไก่ให้ลูก"
ครัวที่บ้านของพวกเขามีขนาดใหญ่ เตาถ่านในช่วงแรกยังไม่ได้รื้อออกไป ดังนั้นเมื่อไหร่ที่ซ่งถานกลับมา เธอจะต้องได้กินข้าวต้มคู่กับตะเกียบอย่างแน่นอน
ซ่งถานใจเต้นแรง ตอนนี้ก็แสดงท่าทีน่าสงสารออกมา "แม่ หนูไม่อยากออกไปทำงานแล้ว เหนื่อยจัง"
เธอพยายามกระแซะแม่ให้รับรู้ว่าตนเองอยากกลับมาทำงานที่บ้านเกิด
เดิมทีก็ตั้งใจจะบอกอ้อมๆ แต่กลับลืมไปว่าตัวเองบำเพ็ญเพียรมาเป็นร้อยปีแล้ว จึงจับทางอุปนิสัยของแม่ตัวเองไม่ได้เหมือนก่อน อย่างเช่นตอนนี้ เมื่อได้ยินอู๋หลานถอนหายใจ แม่เธอก็ต่างคิดว่าลูกตนเองหมดเรี่ยวแรงแล้วจริงๆ "แล้วจะทำยังไงล่ะ? ไม่งั้นก็เปลี่ยนงานสิ ลดเงินลงหน่อยก็ได้ แม่กับพ่อก็มีเงินเก็บเยอะมากพอแล้ว พอกับเราและน้องชายของลูกตอนแก่"
ซ่งเฉียวเป็นแบบนี้ โรงพยาบาลก็บอกว่าไม่มีทางรักษาได้แล้ว คนแก่ทั้งสองก็เป็นห่วงเขาเช่นกัน จึงตัดสินใจตั้งแต่แรกแล้วว่าหลังจากนี้จะอยู่กับลูกชายตอนแก่
แต่งงานเหรอ หาผู้หญิงมาดูแลเหรอ...
เป็นไปไม่ได้
เฉียวเฉียวเป็นคนโง่ แต่ก็เป็นเด็กดี สมัยนี้หลายครอบครัวแม้แต่ลูกแท้ๆ ยังรังเกียจ แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่น อย่าไปทำให้คนอื่นเดือดร้อนเลย อย่าให้คนอื่นมาทำให้เฉียวเฉียวเสียใจ
หลายปีมานี้พวกเขากินอย่างประหยัดเพื่อเก็บเงินไว้ใช้ตอนแก่ พยายามไม่ให้เป็นภาระของลูกสาว ยิ่งถานถานหน้าตาดี เป็นนักศึกษาเรียนจบสูง จริงๆ แล้วไม่ควรกลับมาชนบทแบบนี้ให้เสียเวลา หมู่บ้านของพวกเขามีคนหนุ่มสาวอายุต่ำกว่า 30 ปีเหลืออยู่กี่คนกัน หวังว่าในอนาคตเธอจะมีงานที่ดี แต่งงานกับครอบครัวที่ดี อย่าให้เธอต้องลำบากเลย..
ซ่งถานไม่รู้ว่าในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ แม่ของเธอคิดไปไกลแค่ไหนแล้ว เมื่อเห็นว่าการอ้อมค้อมไม่มีประโยชน์ เธอก็พูดตรงๆ "แม่ หนูอยากกลับบ้านมาทำไร่"
ทันทีที่พูดประโยคนี้จบ เห็นได้ชัดว่าอู่หลานกำลังมองหากิ่งไม้เรียว ซ่งถานรู้สึกตัวเกร็งไปทั้งหลังโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็รีบพูดเสริม "แม่ เดี๋ยวนี้ร่างกายหนูไม่แข็งแรงเลย! "
อู่หลานจึงค่อยๆ หายใจเข้าลึกๆ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ก็จริงนะ อายุยังน้อย แต่ว่างานของลูกมันเหนื่อยเกินไป ต้องพักผ่อน"
เธอพูดต่อ "ได้ อยู่บ้านเกิดสักไม่กี่เดือน พอดีต้นปีงานก็ไม่ค่อยยุ่ง ถานถานจะได้มีเวลาออกกำลังกายไปด้วย"
ซ่งถานและซ่งซานเฉินสบตากัน พ่อลูกคู่นี้ต่างก็เงียบงัน แต่มีอย่างหนึ่งที่ซ่งถานไม่ได้พูดโกหก ร่างกายของเธออ่อนแอจริงๆ
อย่าเพิ่งมองที่เธอแรงเยอะและไม่ค่อยกลัวความหนาว แต่เพราะทั้งหมดนั้นเกิดจากการชำระล้างด้วยพลังวิญญาณตอนเกิดอุบัติเหตุ แต่เดิมบริเวณในเมืองพลังวิญญาณรอบๆ ก็หาพบได้น้อยอยู่แล้ว ตอนนั้นอวัยวะภายในของเธอได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ชีวิตใกล้จะจบสิ้นแล้ว ร่างกายเธอจึงต้องรีบรวบรวมพลังวิญญาณเพื่อเอาชีวิตรอด......
ตอนนี้ตรวจที่โรงพยาบาลทุกอย่างเป็นปกติดี แต่มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ว่า ร่างกายยังไม่ฟื้นฟูสมบูรณ์ดี จิตใจก็ยังอ่อนล้ามาก การบอกว่าไปพักฟื้นที่ชนบทนั้นไม่ใช่เรื่องโกหกเลย
กินข้าวเสร็จโดยไม่มีอะไรน่าแปลกใจ ซ่งเฉียวก็เก็บจานไปล้างอย่างว่าง่าย เขาอยากแสดงให้พี่สาวเห็น
ส่วนเธอเองก็นั่งอยู่หน้าเตาผิงกับครอบครัว คิดถึงอาชีพในอนาคต
ที่นี่มีพลังวิญญาณรายล้อมอยู่รอบตัวมากพอสมควร ซ่งถานมีความมั่นใจในอนาคตมาก ในยุคที่การดูแลสุขภาพกำลังมาแรง ทุกคนต่างก็ชอบของป่าของธรรมชาติ เธอใช้พลังวิญญาณในการปลูกพืชผัก ผลไม้ สิ่งเหล่านี้จะไม่ขาดตลาดอย่างแน่นอน
แต่ก่อนหน้านั้น เธอต้องผ่านภูเขาลูกใหญ่ที่เป็นแม่ของเธอไปให้ได้ก่อน!
บอกเลยว่าเธอตั้งใจจะเหมาพื้นที่ทำนาทำสวน และลงมือทำอย่างเต็มที่ ซ่งถานแม้จะบำเพ็ญเพียรมาเป็นร้อยปีก็ยังรู้ว่าเงินหกหมื่นของตัวเองไม่พอใช้ ต้องใช้เงินเก็บของพ่อแม่มาเสริมกำลังทัพ
ปากว่าตาขยิบ เธอเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่งจู่ๆ ก็พูดว่าการทำนาทำไร่จะทำให้ร่ำรวยได้...ซ่งถานเชื่อว่าอู่หลานจะต้องใช้กิ่งไม้เฆี่ยนเธอ พร้อมกับด่าแช่งไปด้วยว่า
“เก่งนักใช่ไหม!”
“เก่งเรื่องทำนามากใช่มั้ย!”
“ถ้าทำนาทำไร่ทำให้ร่ำรวยได้ ทำไมทุกคนถึงได้ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองกันล่ะ!”
“ถ้าทำนาทำไร่ทำให้ร่ำรวยได้ ทำไมพ่อกับแม่ยังต้องอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ ไปไหนไม่ได้ล่ะ”
ดี! งั้นมาทำทีละขั้นตอนก่อนดีกว่า เริ่มจากจัดการที่นาของตัวเองก่อน
ตอนนี้เป็นปลายเดือนกุมภาพันธ์ตามปฏิทินจันทรคติ เทศกาลโคมไฟเพิ่งผ่านพ้นไป เป็นช่วงเวลาที่ทุกสรรพสิ่งกำลังจะฟื้นคืนชีพ เธอได้กลับบ้านในช่วงเวลานี้พอดี เธอสามารถพักฟื้นร่างกายและกระตุ้นพลังชีวิตได้ รอจนกว่าฝนฤดูใบไม้ผลิจะร่วงลงมาก่อนเถอะ เธอจะใช้ที่นาของตัวเองสร้างผลลัพท์ให้พ่อกับแม่ตกใจทีเดียว แล้วค่อยๆ คิดแผนการต่อไป
ตอนนี้สิ่งที่เธอไม่ขาดแคลนที่สุดก็คือความอดทนและเวลาแล้ว
แต่ก่อนหน้านั้น
“แม่ ที่นาที่บ้านแบ่งให้หนูทำเองสักแปลงได้ไหมคะ เอาแบบที่ไม่ต้องให้พวกแม่ช่วย”
อู่หลานยัดฟืนเข้าไปในเตาผิง พลางพูดด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ “แล้วสรุปว่าจะทำนาหรือจะขุดเก็บใบชา ถ้าที่นาตรงมุมไผ่ให้หนูไปจัดการได้เลย ทิ้งร้างมานานหลายปีแล้ว ให้พ่อไปไถให้”
“ถ้าเป็นใบชาบนภูเขา จะแบ่งทำไมล่ะ ภูเขาหลังบ้านเป็นของบ้านเราอยู่แล้ว แล้วก็สวนชาเก่าของบ้านเราด้วย ยังมีที่ไกลๆ อีก ถ้าหนูขุดไหวก็จัดการไปเลย”
ซ่งถานนิ่งอึ้ง !!!