ตอนที่แล้วตอนที่ 414 มหาสงครามในมิติโกลาหล
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 416 เหมืองหินต้นกำเนิด

ตอนที่ 415 หมู่เกาะเปิ่นหยวน (ฟรี)


ตอนที่ 415 หมู่เกาะเปิ่นหยวน

ผู้ฝึกฝนกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้าไปที่เขตสงครามที่ 406 คนกลุ่มนี้นำโดยซูหยาง

ถูกต้อง ทีมที่มุ่งหน้าไปยังเขตสงครามที่ 406 มีซูหยางเป็นผู้นำ เขาเป็นสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุดของกลุ่ม และเป็นผู้บัญชาการสูงสุด มีผู้ฝึกฝนทั้งหมด 300 คนที่มากับเขา

ผู้ฝึกฝนเหล่านี้ต่างเป็นจ้าวแห่งเต๋า

ตามข้อมูลที่ได้รับมา อสูรอมตะที่ปรากฏตัวในเขตสงครามที่ 406 นั้นเป็นเพียงจ้าวแห่งเต๋าเท่านั้น และทรัพยากรที่นั่นมีไม่มากนัก และจักรวาลก็มีอยู่ไม่มาก จากการคำนวณของวิหารโกลาหล ฝ่ายอสูรอมตะได้ส่งคนออกมาเพื่อปล้นสะดม

ดังนั้น พวกเขาจึงส่งซูหยางไปเฝ้าเขตสงครามที่ 406 รวมทั้งสมาชิกสามัญอีก 300 คน พวกเขามีความเข้าใจในความแข็งแกร่งของซูหยางแล้ว ซึ่งเทียบได้กับจ้าวแห่งเต๋าขั้นสูงสุด

ความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของซูหยางยังคงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ภายในโลกทมิฬในเวลานั้น หลังจากนั้นผ่านช่วงเวลาสั้นๆ ฐานการบ่มเพาะของซูหยางก็พัฒนาขึ้นเป็นจ้าวแห่งเต๋าขั้นสูงสุด ซึ่งทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก หากเขาต้องเผชิญกับจ้าวโกลาหล เขาก็คิดว่าจะสามารถเอาชนะจ้าวโกลาหลขั้นต้นได้

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิดของเขาเท่านั้น ท้ายที่สุดแล้ว เขาเคยได้สู้กับผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นเลยสักครั้ง เขาจึงไม่มีข้อมูลที่เฉพาะเจาะจง อย่างไรก็ตาม ในหมู่จ้าวแห่งเต๋าไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกฝนหรืออสูรอมตะ ไม่มีใครที่สามารถต่อกรกับเขาได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงคิดว่าจะไม่พบอันตรายใดๆ เมื่อเดินทางไปยังเขตสงครามที่ 406

ในช่วงเวลานี้ ซูหยางก็วิเคราะห์สถานการณ์ และตัดสินใจบางอย่าง แม้ว่าเขาจะอยู่ยงคงกระพันในหมู่จ้าวแห่งเต๋า และยังสามารถปราบปรามทุกคนในเขตสงครามที่ 406 ได้โดยตรง แต่เขาจะไม่ทำเช่นนั้น

เขาจะเก็บตัวต่ำ รอเวลาเติบโต จนกว่าเขาจะสามารถเผชิญหน้ากับจ้าวโกลาหลหรือจ้าวนิรันดร์ได้

ถ้าทำตัวโดดเด่นเกินไปก็มีสิทธิ์ถูกจับตามอง และจะเป็นอันตรายเมื่อศัตรูสะกดข่มเขาด้วยความต่างของฐานการบ่มเพาะ

หลังวิเคราะห์สถานการณ์อย่างชัดเจน ซูหยางก็วางแผนที่จะประวิงเวลาในเขตสงครามที่ 406 ตราบใดที่สถานการณ์ไม่แย่ลง เขาเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาอะไร ท้ายที่สุด จากข่าวที่เขารู้ สงครามระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่ได้จบลงในชั่วข้ามคืน มีสงครามหลายครั้งกินเวลายาวนาน และผลลัพธ์สุดท้ายก็คือ ผลัดกันแพ้หรือชนะ

เวลาผ่านไปเกือบหมื่นล้านปีนับตั้งแต่สงครามครั้งสุดท้ายเกิดขึ้น

เป็นเรื่องปกติที่สงครามครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในเวลานี้ สิ่งเดียวที่ผิดปกติก็คือ คราวนี้อสูรอมตะได้เปิดฉากโจมตีอย่างกระทันหัน ทำให้ผู้ฝึกฝนอย่างพวกเขาตอบสนองไม่ทัน

จากรายละเอียดบางอย่าง พวกเขาก็วิเคราะห์สถานการณ์ได้ว่อสูรอมตะกำลังรีบเร่งโดยไม่มีการเตรียมการใดๆ มากนัก ดังนั้นจึงไม่มีข้อได้เปรียบหรือเสียเปรียบระหว่างทั้งสองฝ่ายในเรื่องนี้

ปัญหาเดียวก็คือ พวกเขาจำเป็นต้องคิดให้ออกว่าทำไมอสูรอมตะจึงเข้าโจมตีมิติโกลาหลอย่างกะทันหัน

คราวนี้เป็นสงครามที่ส่งผลกระทบต่อมิติโกลาหลทั้งหมด ดังนั้นวิหารโกลาหลจึงไม่ประหยัดทรัพยากร และเปิดใช้งานค่ายกลข้ามมิติโดยตรง

ด้วยความช่วยเหลือของค่ายกลข้ามมิติ ตราบใดที่พวกเขามีพิกัด พวกเขาก็สามารถเคลื่อนย้ายทางไกลไปยังที่แห่งใดก็ได้ในมิติโกลาหล ซูหยางจึงนำผู้ฝึกฝนสามร้อยคนปรากฏตัวโดยตรงในเขตสงครามที่ 406 ได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก

หลังจากมาถึงที่นี่ พวกเขายังเห็นรอยแยกมิติที่กำลังจะเปิด ในเวลานี้ มันยังไม่เปิดออกเต็มที่ ตราบใดที่การเชื่อมต่อระหว่างสองแดนประสบความสำเร็จ อสูรอมตะก็จะปรากฏตัวออกมา โชคดีที่พวกเขามาถึงก่อนก้าวหนึ่ง แม้ว่ารอยแยกมิติจะเปิดออกอย่างสมบูรณ์ แต่อสูรอมตะก็จะต้องข้ามศพพวกเขาไปก่อนถึงจะออกไปสร้างปัญหาในมิติโกลาหลได้

"สร้างแนวป้องกัน และเริ่มรักษาการณ์!"

"ขอรับ!"

ซูหยางออกคำสั่ง และสมาชิกสามัญทั้งสามร้อยคนของวิหารโกลาหลก็เริ่มเคลื่อนไหว ในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป แนวป้องกันถูกสร้างล้อมรอบรอยแยกมิติที่กำลังก่อตัวขึ้น

หลังจากสร้างแนวป้องกันสำเร็จ คลื่นพลังงานประหลาดก็ถูกปลดปล่อยออกมา ซึ่งปกคลุมพื้นที่หนึ่งปีแสง

หลังจากเตรียมพร้อมแล้ว มันไม่ง่ายเลยอสูรอมตะจะผ่านไปได้ ด้วยแนวป้องกันนี้ ซูหยางสามารถปกป้องมันได้อย่างสบายใจ ลดทอนความเสียหายที่ศัตรูสามารถทำได้

ในความเป็นจริงมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ในวันที่สามหลังพวกเขามาถึง รอยแยกมิติก็เปิดออกอย่างสมบูรณ์ และอสูรอมตะก็ปรากฏตัว การต่อสู้จึงเริ่มต้นขึ้น

อสูรอมตะคาดเดาไว้แล้วว่าต้องเจอสถานการณ์เช่นนี้ ดังนั้นหลังจากการต่อสู้ช่วงสั้นๆ พวกเขาจึงสร้างฐานในรอยแยกมิติโดยไม่รีบเร่งที่จะโจมตี ซึ่งก็เหมือนกับการรุกรานของพวกเขาในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาทุกประการ หากไม่สามารถทะลวงแนวป้องกันไปได้ พวกเขาก็มักจะสร้างฐานที่มั่นขึ้นเพื่อรอโอกาสที่จะเริ่มสงครามยืดเยื้อ

ซูหยางถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากเห็นเหตุการณ์ที่เหมือนในบันทึก หากเป็นเช่นนี้ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร

อสูรอมตะจะโจมตีแนวป้องกันเป็นครั้งคราวเพื่อพยายามทำลาย แต่ทั้งหมดนี้ไร้ประโยชน์ และเป็นความพยายามที่สูญเปล่า

แต่ซูหยางก็รู้สึกว่าอสูรอมตะไม่ได้โง่ สิ่งที่พวกเขาทำต้องมีความลับซ่อนเร้นอยู่ แต่ซูหยางไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ สิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้คือ ประวิงเวลาออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

เมื่อเทียบกับอสูรอมตะ เขาก็ต้องการเวลาเช่นกัน ขอแค่มีเวลาพอให้เขาพัฒนาก็ไม่มีอะไรที่เขาต้องกลัว

ด้วยเหตุนี้ ซูหยางยังใช้โอกาสนี้เพื่อมุ่งความสนใจไปที่แดนต้นกำเนิด

เกาะหวางเยว่ต้องขยาย ต้องขยายอย่างรวดเร็ว!

หลังจากผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง หงเทียนซึ่งปัจจุบันเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายอมตะต้าเซี่ยได้กลายเป็นจ้าวแห่งเต๋าขั้นสูงแล้ว

เย่เจียง และอีกสามคนก็ใกล้ถึงขีดกำจัดของจ้าวแห่งเต๋าขั้นกลางแล้วเหมือนกัน

ส่วนศิษย์คนอื่นๆ รวมถึงอสูรดารา พวกเขาเพิ่งทะลวงผ่านเป็นจ้าวแห่งเต๋าขั้นกลาง ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาแยกกฎได้มากถึงสองพันข้อ

ในอาณาจักรเดียวกัน ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ได้ด้อยกว่าใคร หากพวกเขาอยู่ในมิติโกลาหล พวกเขาจะสามารถเอาชนะผู้ฝึกฝนทุกคนในอาณาจักรเดียวกันได้

หลังจากการตรวจสอบมาระยะหนึ่ง ตอนนี้พวกเขาก็เข้าใจสถานการณ์รอบๆ เกาะหวางเยว่แล้ว

มีเกาะทั้งหมด 5 เกาะรอบๆ เกาะหวางเยว่โดย 4 เกาะเป็นเกาะขนาดเล็ก บางเกาะผลิตหินต้นกำเนิดได้เพียง 500 ถึง 1,000 ก้อนต่อเดือน ซึ่งมีจำนวนค่อนข้างน้อย และมี 1 เกาะที่มีขนาดปานกลางสามารถผลิตหินต้นกำเนิดได้มากถึง 10,000 ก้อนต่อเดือน มากกว่าเกาะขนาดเล็ก ถึงสิบเท่า

ต้องรู้ว่าหินต้นกำเนิดหนึ่งก้อนเทียบเท่ากับเจตจำนงทองคำ 100 ล้านดวง และ 10,000 ก้อนนั้นเทียบเท่ากับเจตจำนงทองคำ 1 ล้านล้านดวง หากเขาสามารถยึดครองเกาะแห่งนั้นได้ ความแข็งแกร่งของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และอีกอย่าง นอกจากเกาะขนาดกลางแล้ว ยังมีเกาะขนาดใหญ่ และเกาะขนาดมหึมาด้วย เพียงแค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ หัวใจของซูหยางก็เต้นรัว

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ถูกบังตาด้วยความโลภ ก่อนที่จะลงมือ เขาต้องเข้าใจความแข็งแกร่งของศัตรูก่อน

ชาวเกาะที่อาศัยอยู่บนเกาะขนาดเล็กทั้งสี่นั้นมีความแข็งแกร่งพอๆ กับผู้คนบนเกาะหวางเยว่ และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในระดับจ้าวแห่งเต๋าขั้นกลาง

ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดบนเกาะขนาดกลางนั้นเป็นจ้าวแห่งเต๋าขั้นสูงซึ่งแยกกฎได้มากถึงสองพันข้อ ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์ของเขาสามารถจัดการได้ จึงต้องรออีกสักพักหนึ่ง

ซูหยางจึงสั่งให้ไปยึดครองเกาะขนาดเล็กเหล่านั้น ให้อีกฝ่ายต้องส่งหินต้นกำเนิด 500 ก้อนทุกเดือนเป็นบรรณาการ

แม้ว่าเขาจะสามารถเก็บมาทั้งหมดได้ แต่ก็เลือกที่จะแบ่งครึ่งนึงให้กับชาวเกาะ

เขาไม่สามารถกดดันผู้คนมากเกินไปได้ แม้แต่เกาะขนาดใหญ่ก็เรียกเก็บจำนวนเท่านี้ ดังนั้นซูหยางจึงเลือกที่จะทำตาม

ต่อไป เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาก็ต้องแสดงความแข็งแกร่งให้เห็น

เจ้าของเกาะขนาดใหญ่นั้นเป็นเพียงจ้าวแห่งเต๋าขั้นสูงสุด และแม้ว่าร่างโคลนของเขาจะมีความแข็งแกร่งเพียงครึ่งนึงของร่างหลัก แต่มันก็ยังคงเป็นจ้าวแห่งเต๋าขั้นสูงสุด ด้วยความแข็งแกร่งเช่นนี้เมื่อแสดงให้เห็น อีกฝ่ายก็จะได้ไม่กล้าพูดอะไรมากนัก

อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้า ซูหยางก็ตระหนักได้ว่าหากเขาปล้นเพียงเกาะขนาดเล็กเหล่านี้ หินต้นกำเนิดที่เขาได้รับก็จะมีจำนวนจำกัด และมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเร่งความเร็วในการพัฒนาของตัวเขาเอง

เขาจึงยังต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์

ถ้าไม่เสี่ยงเลย ทรัพยากรที่เขาได้รับก็จะไม่มากนัก ในขณะที่มิติโกลาหลมีสงครามทุกช่วงเวลามีความสำคัญ

ดังนั้น เขาจึงคิดว่าจะยอมเสี่ยงมากขึ้นอีกนิด

วิธีการนั้นก็ง่ายมาก ส่งร่างโคลนไปปลุกปั่นพายุในทะเลกับศิษย์นิกายอมตะต้าเซี่ย

ตอนนี้เขาไม่สามารถยึดครองเกาะขนาดใหญ่ได้ แต่ผู้คนบนเกาะขนาดใหญ่ไม่สามารถสร้างปัญหาให้กับเขาได้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกลัวอีกฝ่าย และพยายามยึดครองเกาะขนาดเล็ก และขนาดกลาง

ทรัพยากรของเกาะขนาดเล็กๆ ดูเหมือนจะมีไม่มากนัก แต่ตราบใดที่พวกเขาครอบครองเกาะขนาดเล็กได้มากพอ มันก็เป็นทรัพยากรจำนวนมาก บวกกับเกาะขนาดกลาง ตราบใดที่เขามีเวลาพอ การทะลวงผ่านเป็นจ้าวโกลาหลก็ไม่ใช่เรื่องยาก

หลังจากพิจารณาปัญหาด้านความปลอดภัยในช่วงสั้นๆ ซูหยางก็ตัดสินใจที่จะเริ่มลงมือ

เขาจะมุ่งเป้าไปที่เกาะขนาดกลาง และเกาะขนาดเล็กเท่านั้น หากไม่ได้คว้าเนื้อชิ้นใหญ่จากปากของเกาะขนาดใหญ่มากินก็จะไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัย!

ในวันที่เขาตัดสินใจ ซูหยางได้ส่งร่างโคลนไปยังแดนต้นกำเนิด และนำศิษย์ของนิกายอมตะต้าเซี่ยออกเดินทาง เขาได้ไปเยือนเกาะขนาดเล็กหลายแห่ง วางค่ายกลดาบเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนย้ายทรัพยากร และรับมือกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น

ไม่มีเรื่องน่าประหลาดใจใดๆ ในระหว่างการยึดครองเกาะขนาดเล็กทั้งสี่ มันราบรื่น และง่ายดาย

ซูหยางไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเอง แค่ศิษย์ในนิกายของเขาก็เพียงพอที่จะยึดครองเกาะเหล่านี้ได้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด