บทที่ 212: คำโกหกและความร่วมมือ
[แปลโดยแฟนเพจ BamแปลNiyay มาติดตามในแฟนเพจเพื่อติดตามข่าวสารได้นะ]
[ลงแบบราคาถูกแค่ใน my-novel แต่จะลงช้ากว่าThai-novel 100 ตอน]
[หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนจะไม่มีการกลับมาแก้ให้นะครับ]
บทที่ 212: คำโกหกและความร่วมมือ
ซุนเฉิงเดินทางมาถึงจุดนัดหมายได้ทันเวลาในวินาทีสุดท้ายตามที่ตกลงกันไว้ ซึ่งมันก็เป็นแผนของเขาเพื่อที่จะสร้างแรงกดดันทางจิตใจให้กับคนของทางประเทศจีน
เห็นได้ชัดเลยว่า การอ่านหนังสือจิตวิทยาเล่น ๆ ในสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของเขาไม่ได้สูญเปล่าเสียทีเดียว
ทันทีที่ซุนเฉิงลงจอดและปิดระบบพรางตา เผยร่างกายจักรกลของเขาให้เหล่าทหารได้เห็น เขาก็มองเห็นความประหลาดใจและตื่นเต้นบนใบหน้าของผู้คนที่อยู่รอบตัวเขาได้อย่างชัดเจน
เขาค่อย ๆ ก้มศีรษะลงด้วยความรู้สึกพึงพอใจ ดวงตาอิเล็กทรอนิกส์คู่หนึ่งของเขาสแกนพื้นที่ภายในขอบเขตการมองเห็นของเขาอย่างรวดเร็ว และในไม่ช้าสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่นายทหารวัยกลางคนที่มีรูปลักษณ์ที่ไม่ธรรมดา
"มีดาวประดับบ่า ดาวทองหนึ่งดวง ยศพลตรี..."
เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลยศที่เขาค้นหาทางออนไลน์ ซุนเฉิงจำได้ทันทีว่านายทหารวัยกลางคนที่แต่งกายในเครื่องแบบพลตรีผู้นี้น่าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่ายแห่งนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ อีกฝ่ายน่าจะเป็นผู้ติดต่อหลักจากฝั่งจีนที่ติดต่อโดยตรงกับซุนเฉิง
ซุนเฉิงเดินไปหาท่านนายพลจีนโดยไม่ลังเล
เมื่อซุนเฉิงขยับ ทั้งค่ายก็ปะทุขึ้นทันทีด้วยความโกลาหล
ท่ามกลางเสียงปืนกระทบกัน เขาก็หยุดก้าวชั่วคราวและมองไปรอบ ๆ มุมปากของเขาโค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว "มนุษย์ นี่ไม่ใช่วิธีที่เจ้าควรต้อนรับแขก!"
เขารู้ดีว่าทางรัฐบาลจีนกำลังระแวงถึงตัวตนของเขา ซึ่งมันก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ คงไม่มีรัฐบาลไหนไร้เดียงสาเพ้อฝันจนเชื่อว่าผู้มาเยือนจากต่างดาวจะมาด้วยเจตนาดีหรอก การระวังแบบนี้ย่อมเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
ทว่า เพื่อการแสดงบทบาทของเขา ซุนเฉิงจึงจงใจแสดงท่าทีเกรี้ยวกราดออกมา ประกอบกับรูปลักษณ์ที่ดูน่ากลัวและเสียงอิเล็กทรอนิกส์ที่เย็นชา แม้ว่าเขาจะพูดภาษาจีนกลางได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ขนลุกโดยไม่รู้ตัว
พลตรีผู้นั้นก็ตระหนักได้เช่นกันว่าปฏิกิริยาของพวกเขาออกจะเกินเลยไปสักหน่อย เขาจึงโบกมืออย่างรวดเร็ว เป็นสัญญาณให้นายทหารที่เล็งปืนไปที่ซุนเฉิงลดอาวุธลง
เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ แม้ภายนอกเขาจะดูคล้ายแข็งทื่อไปแล้ว แต่ถึงกระนั้น เขาก็เป็นฝ่ายเริ่มก้าวไปข้างหน้า เข้าหาซุนเฉิงและเอ่ยถามอย่างลังเลไปว่า "ดูเหมือนคุณจะพูดภาษาจีนได้ด้วยสินะ ผมขอโทษสําหรับพฤติกรรมก่อนหน้านี้ของผม ผมชื่อเฉินจงหยวน ยินดีต้อนรับสู่ประเทศจีน และผมควรจะเรียกคุณว่ายังไงดีครับ ท่านผู้ทรงเกียรติ...?"
"เรียกข้าว่า เฟรนซี่!"
ซุนเฉิงเปิดเผยชื่อรหัสของเขาภายในกองทัพดีเซปติคอนโดยไม่ลังเลเลยสักนิด
ไม่มีประโยชน์ที่จะแสร้งทําเป็นปิดบัง เขาเชื่อว่าเมื่อเขาเปิดเผยตัวตนอออกมาย่างเต็มใจ หน่วยข่าวกรองของจีนจะต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเขาอย่างแน่นอน ดังนั้นไม่ว่ายังไงทางประเทศจีนก็คงสืบหาจนเจอตัวตนวีรกรรมของเฟรนซีอยู่ดี
แทนที่จะปล่อยให้เกิดความสงสัยจนทำให้พวกเขาเคลือบแคลงใจ การเปิดเผยตัวตนออกไปย่อมเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด
ในอนาคต ถึงแม้นเรื่องราววีรกรรมที่เขาทำในอเมริกาจะถูกสืบจนทางประเทศจีนรู้ แต่ว่าหากพวกเขารู้ก็ยิ่งดีเลยสิ เพราะมันจะทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนไม่กล้ามาหาเรื่องเขา
สายตาของซุนเฉิงจับจ้องไปที่รถถังหลายคันรอบตัวเขา เขามีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขากลับกว้างขึ้น
เขาเดินกลับไปหาเฉินจงหยวนจนกระทั่งอยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งเมตร จากนั้นก็ค่อย ๆ ยื่นมือออกไปหาอีกฝ่าย ทางตัวเฉินจงหยวนแข็งทื่อไปด้วยความกลัว แต่ซุนเฉิงก็ยังคงยื่นมือไปและกล่าวว่า "ขออภัยที่ต้องพูดตรง ๆ นะมนุษย์ ในสายตาของพวกเรา กองกำลังทหารทั่วไปบนโลกนี้ไม่มีค่าพอให้สนใจหรอก ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำของเราครอบครองสะพานมิติอวกาศที่สามารถเดินทางไปได้ทั่วทั้งจักรวาล พวกเจ้าไม่มีทางรู้ได้หรอกว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูเพียงตนเดียวหรือทั้งกองทัพกันแน่!"
เทคโนโลยีสะพานมิติอวกาศเป็นหนึ่งในสุดยอดเทคโนโลยีของดาวเคราะห์ไซเบอร์ตรอน
ต้องบอกเลยว่าสะพานมิติอวกาศเป็นหนึ่งในสุดยอดเทคโนโลยีของดาวเคราะห์ไซเบอร์ตรอน มันคือเทคโนโลยีที่ติดอันดับสุดยอด 1 ใน 10 ของดาวเคราะห์ไซเบอร์ตรอนเลย
นี่คือเทคโนโลยีการเดินทางผ่านอวกาศอันทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ เพียงใช้สะพานมิติอวกาศ ก็จะสามารถสร้างช่องทางขนส่งอวกาศเพื่อส่งทรัพยากร หรือแม้กระทั่งส่งกองกำลังไปยังตำแหน่งที่กำหนดได้อย่างแม่นยำ
น่าเสียดายที่ว่ากันว่ามีเพียงผู้ที่มีพลังระดับผู้นำเท่านั้นที่สามารถควบคุมเทคโนโลยีสะพานมิติอวกาศได้ แถมมันยังมีข้อจำกัดอื่น ๆ อีกมากมาย
ดังนั้นแม้แต่ในไซเบอร์ตรอน ก็มีข่าวลือว่ามีเพียงไม่กี่คนอย่าง ช็อคเวฟและเซนติเทลไพรม์ อดีตผู้นําของออโต้บอตส์ เท่านั้นที่สามารถควบคุมมันได้
แน่นอนว่าซุนเฉิงไม่มีทางมีเทคโนโลยีนี้ แม้แต่หลักการพื้นฐานเขาก็ยังไม่เข้าใจสักนิด
แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าเขาจะโอ้อวดสักหน่อยมันจะเป็นอะไรไป!
เพราะยังไง คนบนโลกก็ไม่รู้อยู่แล้วว่า "สะพานมิติอวกาศ" มันคืออะไร นั่นแหละมันเลยทำให้เขาสามารถใช้เรื่องนี้ไว้อ้างแทนพื้นที่มิติทรงกลมที่เขามีได้
เมื่อได้ยินคำดูถูกดูแคลนกองกำลังทหารของโลก เฉินจงหยวน ผู้ซึ่งขาดเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองไปบ้างเพราะพื้นเพเป็นทหารตั้งแต่หนุ่มก็รู้สึกไม่พอใจจนออกนอกหน้า
ถึงกระนั้น เขาก็พยายามอดกลั้นความไม่พอใจเอาไว้และถามอย่างเคร่งขรึมว่า "ท่านเฟรนซี่ ในนามของประเทศจีน ผมขอต้อนรับท่านอย่างอบอุ่นและตั้งตารอที่จะได้พูดคุยกับท่าน แต่ว่า ผมขอถามคําถามท่านเป็นการส่วนตัวได้ไหม?"
"pjv,wfh"
ซุนเฉิงยกมือขึ้นเล็กน้อยส่งสัญญาณให้เขาถามมาได้เลย
"ทําไมท่านถึงมายังโลกและเลือกที่จะติดต่อกับเรา?"
เฉินจงหยวนเงยหน้าขึ้นจ้องมองอย่างเฉียบคมขณะที่เขามองไปที่ซุนเฉิง เห็นได้ชัดว่าแม้จะมีท่าทีที่เป็นมิตร แต่เขาก็ยังไม่ปล่อยวางความระแวดระวังไปเสียทั้งหมด
อาจเพราะว่า การที่สิ่งมีชีวิตนอกโลกบุกรุกเข้ามาในดาวเคราะห์ที่พวกเขาเรียกว่าบ้านอย่างกะทันหันเช่นนี้ มันย่อมก่อให้เกิดความไม่ไว้วางใจและความเป็นศัตรูที่ฝังรากลึก ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ไม่สามารถขจัดให้หมดไปได้ด้วยคำพูดดี ๆ เพียงไม่กี่คำหรอก
แสงสีน้ำเงินเข้มวาบขึ้นในดวงตาของซุนเฉิง คําถามนี้เขาคาดไว้แล้ว และได้เตรียมคำตอบมาด้วย
เขายกมือขวาขึ้นกดที่ขมับ ลําแสงสีฟ้าสดใสสองดวงก็พุ่งออกมาจากดวงตาของเขา และกระจายไปทั่วค่ายอย่างรวดเร็ว
สภาพแวดล้อมรอบตัวเปลี่ยนไปในทันที และทุกคนรวมถึงเฉินจงหยวนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก พวกเขามองลงไปที่ตรงหน้าด้วยความกลัว เพราะด้านหน้ามีภาพเสมือนจริงของดาวเคราะห์ที่ปกคลุมไปด้วยเหล็ก
จากนั้นภูเขาไฟก็ปะทุและหินหนืดก็กระเซ็นไปทั่ว บนท้องฟ้าตรงข้ามกับพวกเขา มีหุ่นยนต์ยักษ์จักรกลที่น่าสะพรึงกลัว ขนาดมหึมากำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
"... เรามาจากดาวเคราะห์ไซเบอร์ตรอน ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่ห่างไกลจากโลก ดาวเคราะห์ของเรามีสองเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกัน ดีเซปติคอนและออโต้บอตส์ ทว่ามันได้เกิดสงครามกลางเมืองที่ดุเดือดขึ้นระหว่างดีเซปติคอนและออโต้บอตส์ สงครามครั้งนี้ทําลายอารยธรรมและดาวเคราะห์บ้านเกิดของเรา ทําให้เราสูญเสียสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตจักรกลอย่าง ออลสปาร์ค เพื่อที่จะค้นหาออลสปาร์ค ผู้นําของเราเมกะทรอน ได้ส่งนักรบชั้นยอดจํานวนมากไปทั่วทั้งจักรวาลเพื่อค้นหามัน ส่วนตัวข้ามีนามว่าเฟรนซี่ เป็นผู้นํากลุ่มนักปฏิรูปภายในกองทัพดีเซปติคอน ข้าเองก็ถูกบังคับให้ออกจากดาวบ้านเกิดของเราและเริ่มต้นการเดินทางลี้ภัยเพื่อค้นหาสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่าออลสปาร์ค"
สำหรับสิ่งมีชีวิตจักรกล ภาพเสมือนจริงก็เป็นแค่เทคโนโลยีดาษดื่นทั่วไป
หลังจากแกนหลักหยุดส่งข้อมูลจากดวงตาอิเล็กทรอนิกส์ของเขา ภาพเสมือนจริงที่เขาเป็นผู้ออกแบบและกำกับเองก็หยุดฉาย
เมื่อสังเกตความงุนงงบนใบหน้าของเฉินจงหยวนและคนอื่น ๆ ดวงตาของซุนเฉิงเต็มไปด้วยความรู้สึกสนุกสนานมากขึ้น เขาจึงกล่าวอย่างจริงจังว่า "ครึ่งปีที่แล้ว เราได้จับภาพร่องรอยของศัตรูตัวฉกาจของดีเซปติคอนอย่างพวกออโต้บอตส์ได้ พวกเราตามรอยพวกมันมายังโลกนอกระบบสุริยะ ทำให้เราพบว่าพวกออโต้บอตส์ได้ติดต่อและสร้างความสัมพันธ์ร่วมมือกับประเทศหนึ่งบนโลกที่มีชื่อว่าสหรัฐอเมริกาแล้ว”
"ซึ่งเมื่อเราเห็นศัตรูของเราใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของโลกเพื่อฟื้นความแข็งแกร่งของพวกมัน เราจึงถูกบังคับให้ต้องตัดสินใจอย่างยากลําบาก ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่ด้วยความจริงใจและความเต็มใจ เพื่อที่จะเสนอความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถช่วยให้พวกเจ้าแข็งแกร่งขึ้นได้ ข้ารู้ดีว่ามนุษย์อย่างพวกเจ้าชอบสงคราม ชอบความเป็นใหญ่ แต่ว่าข้าต้องการสิ่งแลกเปลี่ยน เรายังต้องการพลังงานและโลหะต่าง ๆ... เช่นนั้นเรามาทําข้อตกลงกันดีกว่า..."
__________