บทที่ 122 อัจฉริยะหรือขยะ
ก่อนที่หลัวเฉิงจะทันได้กล่าวสิ่งใด ถัวป้าเลี่ยก็ไม่อาจอยู่เฉยได้ เขามองยังหลินหานคงแล้วตะคอกด้วยสุ้มเสียงเกรี้ยวกราด
“ผู้ใดปล่อยให้สุนัขจรจัดมาเห่าหอนที่นี่! หลัวเฉิงเป็นคนแรกที่ออกจากหุบเขาเหลียนซินได้ ทั้งยังทำลายสถิติก่อนหน้านี้ แต่เจ้ากลับเรียกเขาว่าเป็นวิญญาณยุทธ์ขยะ เจ้าไม่กลัวจะถูกหัวเราะเยาะหรืออย่างไรกัน!”
ถัดจากเขา หลิงซูหลันซึ่งสวมอาภรณ์ดำก็พยักหน้าเห็นด้วยกับวาจาของถัวป้าเลี่ยเช่นเดียวกัน
คนที่สามารถมาถึงขั้นหัวใจกระบี่ ทั้งยังเป็นคนแรกที่ออกจากหุบเขาเหลียนซินได้ จะปลุกวิญญาณยุทธ์ที่ไม่ถือกำเนิดขึ้นมาได้เยี่ยงไร
นี่เป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี!
เมื่อถูกวาจาถากถางต่อหน้าธารกำนัล ใบหน้าของหลินหานคงก็มืดลงทันที เขามองยังถัวป้าเลี่ยแล้วตวาดเสียงแข็งกร้าว
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ไยกล้ามาขึ้นเสียงต่อหน้าข้า! เจ้ายังไม่ได้เข้าเป็นลูกศิษย์ของสำนักซวนหยวนด้วยซ้ำ หรือต่อให้เจ้าจะเข้าร่วมได้ ก็ยังต้องเรียกข้าว่าศิษย์พี่อยู่ดี!”
“ใช่แล้ว คุกเข่าของเจ้ายอมรับความผิดพลาดต่อหน้าศิษย์พี่หลินเดี๋ยวนี้!”
ศิษย์ฝ่ายนอกหลายคนในบริเวณโดยรอบ ล้วนเห็นด้วยกับน้ำคำของหลินหานคง พวกเขาต่างจ้องถัวป้าเลี่ยด้วยความโกรธ
หลินหานคงถูกแนะนำโดยองค์ชายแปดจินหมิน และสถานะของเขายามนี้มิอาจเทียบได้กับศิษย์ฝ่ายนอกธรรมดาทั่วไป
“คนที่ควรยอมรับความผิดพลาดของตนคือเจ้าไม่ใช่ข้า”
ถัวป้าเลี่ยกอดอกแล้วเบนสายตามองไปทางอื่นอย่างไม่แยแส
ใบหน้าของหลินหานคงเปลี่ยนสี ความโกรธที่ปะทุในใจพานให้เขาแทบเสียการควบคุม
“พอแล้ว!”
ผู้อาวุโสเฉินซวนตะโกนอย่างเย็นชา และเสียงของเขาซึ่งมีพลังก็กังวาลดังก้องไปทั่วทั้งหุบเขาในตอนนี้
เขามองยังหลินหานคงแล้วตะคอกอย่างเย็นชา “หลินหานคง นี่เป็นสถานที่สำคัญในการทดสอบ หากเจ้ากล้ากระทำการตามอำเภอใจอีกครั้ง อยากได้ตำหนิที่ข้าไร้ปรานี เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้เป็นจินหมินก็มิอาจปกป้องเจ้าเอาไว้ได้”
หลินหานคงหายใจเข้าลึกๆ แล้วสงบสติอารมณ์ลง
ผู้อาวุโสเฉินซวนเป็นหนึ่งในสิบผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักฝ่ายนอก และเขาไม่ใช่คนที่จะสามารถรับมือได้ง่ายหากทำให้ขุ่นเคือง
“ผู้อาวุโสเฉินซวน ข้าเพียงกล่าวตามความจริงเท่านั้น แล้วพวกท่านจะได้รู้ว่าสิ่งที่ข้ากล่าวนั้นเป็นความจริงหรือไม่”
หลินหานคงเบาน้ำเสียงลงแล้วกล่าวด้วยความเคารพ
ผู้อาวุโสเฉินซวนมองหลัวเฉิงด้วยสีหน้าจริงจัง แต่ระหว่างที่เขากำลังจะกล่าว ฉินต้าวหยวนก็ผงาดลุกขึ้นยืนก่อน
“เจ้า! ปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ให้ข้าเห็นเดี๋ยวนี้!”
ฉินต้าวหยวนจ้องหลัวเฉิง แล้วตวาดน้ำเสียงกระด้าง
หลัวเฉิงทอดถอนใจอย่างเงียบๆ
ทันทีที่เขาได้ยินนามของหลินหานคง เขาก็พอจะรู้เกี่ยวกับเบื้องหลังของอีกฝ่ายได้
แต่เขาไม่คิดเลยว่าจะได้พานพบกับคนของตระกูลหลินที่นี่
เมื่อรู้ว่าตนไม่อาจปฏิเสธได้ หลัวเฉิงจึงปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ของเขาทันที
พัฟ!
แสงลึกลับเก้าสีส่องประกาย พร้อมกับรูปลักษณ์ของไข่ใบหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหลังของหลัวเฉิง
ทันใดนั้นทั่วทั้งหุบเขาก็เงียบสงัดลงชั่วขณะ แล้วความโกลาหลก็บันดาลขึ้น
“มันเป็นวิญญาณยุทธ์ที่ไม่ถือกำเนิดจริงๆ หนำซ้ำยังไร้ดาวแม้เพียงดวง!”
“เขาเป็น... เขาเป็นคนไร้ค่าจริงๆ แล้วเขาผ่านหุบเขาเหลียนซินมาได้อย่างไรกัน!”
เมื่อได้มองวิญญาณยุทธ์ของหลัวเฉิงอย่างถนัดชัดตา หลายคนก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ บ้างก็ทอดถอนใจ แต่ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและเหยียดหยาม!
หลัวเฉิงผ่านหุบเขาเหลียนซินได้เป็นคนแรก ทั้งยังทำลายสถิติเดิมอย่างน่าประหลาดใจ ทำให้หลายคนรู้สึกอิจฉาเป็นที่สุด
ทว่าตอนนี้ เมื่อเห็นว่าวิญญาณยุทธ์ของเขานั้นน่าขยะแขยงเพียงใด หลายคนก็แสดงสีหน้ามีความสุขประดุจเห็นหลัวเฉิงเป็นเพียงตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!”
แม้แต่ ถัวป้าเลี่ยเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจใช่น้อย
เขาไม่เคยคิดเลยว่า วิญญาณยุทธ์ของหลัวเฉิงจะเป็นวิญญาณยุทธ์ที่ไม่ถือกำเนิดจริงๆ!
ทางด้านสำนักซวนหยวน ผู้อาวุโสของสำนักซวนหยวนหลายคนก็ตกตะลึงเช่นกัน
คนที่ทำลายสถิติของหุบเขาเหลียนซินได้ แต่กลับมีวิญญาณยุทธ์ขยะ!
นี่มันเป็นไปได้อย่างไร!
ทันใดนั้นดวงตาของฉินต้าวหยวนก็หรี่ลง “คนไร้ค่าที่ปลุกวิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมายังอ้างจะเข้าสำนักซวนหยวนเราอีก นี่มิเท่ากับว่าดูถูกสำนักซวนหยวนเราหรอกหรือ!”
“ไสหัวไปให้พ้นเดี๋ยวนี้!”
ในขณะที่กล่าว ฉินต้าวหยวนก็โบกแขนเสื้อของเขาทันที
บูม!
คลื่นอากาศผันผวนอย่างรุนแรง เข้าปะทะร่างของหลัวเฉิงจนถูกกระแทกถอยหลังไปห้าหรือหกก้าว