บทที่ 121 ตัวตนของชายหนุ่มหน้าขาว
“หลัวเฉิง!”
ฉินหยวนเฟิงสังเกตจากทิศทางแววตาของลู่เหยียน ทันใดใบหน้าเขาก็พลันเปลี่ยนสี
แม้นผู้ได้รับบาดเจ็บจะเป็นลู่เหยียน แต่นั่นเท่ากับตบหน้าฉินหยวนเฟิงทางอ้อม!
เมื่อนึกถึงฉากที่หลัวเฉิงเพิกเฉยต่อเขา ความโกรธในใจของฉินหยวนเฟิงก็พุ่งพล่านประดุจภูเขาไฟกำลังปะทุ!
หลัวเฉิงคนนี้ ปล่อยเอาไว้ไม่ได้แล้ว!
ลู่เหยียนจับมือของฉินหยวนเฟิงไว้แน่นด้วยใบหน้าสุดแสนจะแค้นใจยิ่ง เขาเปิดปากกำลังจะกล่าวแต่มีเพียงลมเท่านั้นที่พาดผ่านออกมาจากลำคอ
ไม่เพียงแต่เขามิอาจเข้าสู่สำนักซวนหยวนได้ กระทั่งกระดูกทั่วทั้งสรรพางค์ยังหักสะบั้น มันคงเป็นเรื่องยากนักที่ร่างกายจะกลับมาสู่สภาวะปกติดังเดิม!
ด้วยความเครียดแค้นอัดแน่นในใจยามนี้ เขาแทบอยากจะถลกหนังหลัวเฉิงให้หมดร่าง ขยี้กระดูกและกระจายขี้เถ้า!
ฉินหยวนเฟิงถอนหายใจผ่านร่องฟันที่ขบแน่น สายตาเขาจ้องยังใบหน้าของลู่เหยียน แล้วกล่าวน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“เจ้าไม่ต้องกังวล ตราบใดที่ข้ายังอยู่ข้าจะล้างแค้นให้เจ้าแน่ ภายใต้สำนักซวนหยวนแห่งนี้ เขาก็มีต่างอันใดกับปลาตัวหนึ่งที่นอนแพร่หลายอยู่บนเขียงรอวันถูกเชือด! ข้าจะให้เขาชดใช้สิบเท่า ไม่สิ ต้องมากกว่าเจ้าที่เป็นอยู่ตอนนี้ร้อยเท่า!”
ในไม่ช้า การทดสอบแรกที่หุบเขาเหลียนซินก็สิ้นสุดลง
ผู้ที่ไม่อาจผ่านการทดสอบแรกได้ก็ถูกส่งกลับขึ้นเรือสำเภาทันที
เหลือไว้เพียงสี่ถึงห้าร้อยคนเท่านั้น ที่ผ่านการทดสอบแรกของหุบเขาเหลียนซิน
ผู้อาวุโสเฉินซวนยืนอยู่บนปะรําพิธีซึ่งเป็นแท่นสูง ในมือพลางรูปเครายาวแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอแสดงความยินดีกับพวกเจ้าทุกคนที่ผ่านการทดสอบแรก เส้นทางสู่การเป็นผู้ฝึกยุทธ์ไม่ใช่วิถีที่เรียบง่าย มันเต็มไปด้วยขวากหนามและอุปสรรคมากมาย เป็นเรื่องยากสำหรับผู้ไม่มีความกล้าหาญและความมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จในหนทางนี้ได้”
“พวกเจ้าต้องทราบเรื่องนี้ดีอยู่แล้วก่อนที่จะเข้าทดสอบหุบเขาเหลียนซิน”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ผู้คนสี่ถึงห้าร้อยคนก็ครุ่นคิด
ในหุบเขาเหลียนซิน ความสยดสยองของการถูกเจตจำนงแห่งกษัตริย์กดข่มจนวิญญาณแทบแหลกสลาย ยังสร้างความหวาดกลัวตราตรึงในหัวใจของอีกหลายคน!
“ก่อนการทดสอบที่สองจะเริ่มขึ้น ข้ายังมีอีกเรื่องที่ต้องประกาศให้พวกเจ้าทุกคนได้ทราบ”
ผู้อาวุโสเฉินซวนมองยังหลัวเฉิง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลัวเฉิง เจ้าใช้เวลาน้อยที่สุดในการผ่านหุบเขาเหลียนซินซึ่งนับว่าเป็นสถิติใหม่ ดังนั้นเจ้าจึงสามารถเป็นศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักได้ทันทีโดยไม่ต้องเข้ารับการทดสอบที่สอง!”
โอ้สวรรค์!
ทันทีที่คำกล่าวเหล่านี้ถูกขานอย่างดังกังวาน ผู้คนโดยรอบอาณาบริเวณก็ตกอยู่ในความโกลาหลทันที
สายตาของบรรดาผู้เข้าทดสอบและคนอื่นๆ โดยรอบต่างจับจ้องยังหลัวเฉิง แววตาของพวกเขาล้วนแสดงออกถึงความริษยาเป็นที่สุด
เมื่อถูกขโมยความโดดเด่นไป ถัวป้าเลี่ยก็มีทีท่าไม่พอใจนักแล้วพึมพำว่า
“ให้ตายเถอะ ข้ารู้ว่าเจ้านั้นมันเป็นเด็กนิสัยเสีย หากรู้จะเป็นเช่นนี้ข้าคงปล่อยให้เจ้าลงเรือไปก่อนเสียตั้งแต่แรก!”
หลัวเฉิงเพียงยิ้มเล็กน้อยเท่านั้น เดิมทีเขาเองก็ตั้งใจจะแสดงป้ายหยกของอวิ๋นเหมิงลี่ แต่ตอนนี้ดูท่าว่ามันคงจะไม่จำเป็นแล้ว!
“ต่อไปเป็นการทดสอบในด่านที่สอง…”
ระหว่างที่ผู้อาวุโสเฉินซวนกำลังจะประกาศเนื้อหาของการทดสอบในรอบต่อไป
ทันใดนั้น
“ฮึ่ม ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่สำนักซวนหยวนของเรา มาถึงจุดที่ต้องรับขยะเข้ามาฝึกฝนเช่นนี้!”
เสียงสูดจมูกอย่างเย็นชาดังขึ้นจากอีกด้านหนึ่งของแท่นสูง
เมื่อได้ยินวาจานี้ ทุกคนก็ต่างหันไปจับจ้องยังต้นเสียงทันที
เจ้าของน้ำเสียงเมื่อครู่เป็นศิษย์ฝ่ายนอก
ชายหนุ่มผู้นั้นมีใบหน้าขาวและหล่อเหลายิ่งนัก
ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่เป็นผู้ควบคุมการทดสอบนี้ก็ตะคอกด้วยความโกรธ “ตอนนี้เป็นช่วงแห่งการทดสอบ ห้ามกล่าววาจาพล่อยๆ หรือส่งเสียงเข้ามารบกวนเด็ดขาด!”
ชายหนุ่มหน้าขาวเพิกเฉยต่อวาจานั้น เขาเหลือบมองหลัวเฉิง แล้วกล่าวอย่างไม่แยแส
“ข้าจำได้ว่า การจะเข้าเป็นลูกศิษย์ของสำนักซวนหยวน กฏพื้นฐานขั้นต่ำคือต้องมีวิญญาณยุทธ์ระดับสามดาวขึ้นไป!”
หลัวเฉิงขมวดคิ้วทันที เพราะตั้งแต่ออกจากเมืองฉีซานมา เขายังไม่เคยปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ให้ผู้ใดได้ประสบพบแม้เพียงคนเดียว
ทั้งเขายังไม่รู้จักมักคุ้นกับชายหนุ่มผู้นี้อีกด้วย!
ใบหน้าของผู้อาวุโสเฉินซวนก็มืดลงเล็กน้อย แต่มิได้แสดงสีหน้าโกรธ เพียงกล่าวว่า “หลินหานคง เจ้าต้องการจะสื่อถึงอะไร”
ชายหนุ่มหน้าขาวคือ หลินหานคง ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลหลิน ด้วยป้ายหยกประจำตัวองค์ชายแปดและวิญญาณยุทธ์ระดับเจ็ดดาว เขาจึงสามารถเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักซวนหยวนได้โดยตรง ทั้งยังได้รับความชื่นชมอีกมากมายนับไม่ถ้วน
“ผู้อาวุโสเฉินซวน ข้าไม่ได้มีเจตนาจะกล่าววาจาแย้งท่าน แต่ข้ากังวลว่าพวกท่านนั้นจะถูกหลอกเสียก่อน”
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสเฉินซวน น้ำเสียงของหลินหานคงก็แสดงความเคารพทันที เขาหันไปมองหลัวเฉิง แล้วกล่าวน้ำเสียงเย็นชา
“เท่าที่ข้ารู้ คนๆ นี้ปลุกวิญญาณยุทธ์ที่ไม่ถือกำเนิดขึ้นมา! หนำซ้ำยังไร้ดาวแม้เพียงดวง! เขาเป็นเพียงคนไร้ค่า! และไม่มีคุณสมบัติมากพอจะเป็นลูกศิษย์ของสำนักซวนหยวนเรา!”
“ปลุกวิญญาณยุทธ์ที่ไม่ถือกำเนิด ทั้งยังไร้ดาวอีกงั้นรึ!”
“เป็นไปไม่ได้! เขาเป็นคนแรกที่ออกมาจากหุบเขาเหลียนซิน และใช้เวลาเพียงน้อยที่สุดจนทำลายสถิติที่ผ่านมา เขาจะเป็นคนไร้ค่าได้อย่างไร!”
ข่าวใหญ่นี้ราวกับเสียงฟ้าร้อง ซึ่งทำให้ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างแสดงสีหน้าตกตะลึงไปตามกัน
“วิญญาณยุทธ์ที่ไม่ถือกำเนิดงั้นหรือ?”
ผู้อาวุโสเฉินซวนยามนี้เองก็แสดงสีหน้าตกตะลึงเช่นเดียวกับผู้อื่น