บทที่ 120 ดวงตาที่จับจ้อง
ฉากเช่นนี้ เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าจะได้พานพบในชั่วชีวิต!
“เจ้ามีนามว่าอะไร?”
ผู้อาวุโสเฉินซวนและคนอื่นๆ ต่างเดินเข้ามาหาเขาในยามนี้
“ผู้อาวุโส ผู้น้อยหลัวเฉิง!”
หลัวเฉิงกล่าวโดยไม่แสดงทีท่าหยิ่งผยอง
“เจ้าใช้เวลาเพียงครึ่งก้านธูปก็สามารถผ่านหุบเขาเหลียนซินได้ และเจ้าก็สร้างสถิติใหม่”
ผู้อาวุโสเฉินซวนยิ้มและพยักหน้า
สามารถผ่านหุบเขาเหลียนซินได้อย่างรวดเร็ว หากฝึกฝนเพียงไม่นานก็คงกลายเป็นผู้โดดเด่นแห่งบรรดาศิษย์ฝ่ายนอกได้อย่างแน่นอน
ทว่า มันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละบุคคล ซึ่งประกอบกับพรสวรรค์ด้านวิญญาณยุทธ์ของคนผู้นั้นอีกด้วย
หลัวเฉิงรู้สึกประหลาดใจทันที ว่าเวลาที่เขาใช้ผ่านหุบเขาเหลียนซินนี้นับเป็นสถิติใหม่กระนั้นหรือ
หากว่าเขาเริ่มออกตัวตั้งแต่แรกโดยไม่ลังเล และมิได้ถูกลู่เหยียนสกัดไว้ครู่หนึ่ง ความเร็วของเขาคงต้องเพิ่มกว่านี้มากถึงสามสิบจุด!
ทันใดนั้น เสียงตะโกนอันเย็นชาก็ดังขึ้น
“หลัวเฉิง ลู่เหยียนอยู่ที่ไหน”
ฉินหยวนเฟิงก้าวเข้ามาด้วยใบหน้าซีดเผือด ดวงตาดุจเดียวกับอสรพิษจ้องหลัวเฉิงยามนี้
เขาไม่เคยคิดเลยว่า คนแรกที่ออกจากหุบเขาเหลียนซินจะเป็นหลัวเฉิง! ด้วยแผนอันแยบยลของตนอีกฝ่ายจะออกมาอย่างปลอดภัยได้อย่างไร!
“ข้าไม่รู้”
หลัวเฉิงกล่าวด้วยสีหน้าไม่แยแส
“เจ้า!”
ฉินหยวนเฟิงกำหมัดแน่น ในใจก็ปะทุความเกรี้ยวกราดอันรุนแรงทนทานแทบกลั้นไว้ไม่ไหว
“หยวนเฟิง เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?”
ฉินต้าวหยวนถามน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ท่านลุงคือว่า…”
ฉินหยวนเฟิงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วอธิบายเรื่องนี้ด้วยเวลาอันสั้น
หลังได้ฟังเรื่องราว ฉินต้าวหยวนก็ยิ้มพลางกล่าวว่า “แม้แผนของเจ้าจะผิดพลาดในหุบเขาเหลียนซิน แต่อย่าเพิ่งร้อนใจไป ในสำนักซวนหยวนนี้ หากเจ้าต้องการระบายความคับแค้นใจย่อมมิใช่เรื่องยาก”
ฉินหยวนเฟิงเข้าใจในทันทีหลังได้ฟังเช่นนี้ เขามองหลังเฉิงด้วยแววตาที่เย็นเยียบกว่าเดิมนัก
ในไม่ช้า ที่ปากทางออกของหุบเขาเหลียนซิน ก็ปรากฏอีกสองร่างวิ่งมาทีละคน
นั่นคือถัวป้าเลี่ยและชายหนุ่มรูปงาม
“ฮ่าฮ่า ไอ้หนู เจ้าแพ้แล้ว!”
ถัวป้าเลี่ยเป็นผู้ออกมาได้ก่อน แล้วมองยังบุรุษรูปงามด้วยสีหน้าภาคภูมิ
ชายหนุ่มละเอียดอ่อนจ้องด้วยความโกรธแล้วตะคอกว่า “เจ้าชนะข้าเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น อีกอย่างเจ้ามิได้ออกมาเป็นคนแรก!”
ถัวป้าเลี่ยรู้สึกอึดอัดกับวาจาเสียดสีเหล่านี้ถึงกับกล่าวสิ่งใดไม่ออก
“ดี! ดีมาก! ยินดีกับพวกเจ้าที่ผ่านการทดสอบแรก! ไม่ทราบว่าพวกเจ้ามีนามว่าอะไร?”
ผู้อาวุโสเฉินซวนกล่าวด้วยใบหน้าสำราญปีติยินดียิ่ง
บรรดาลูกศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้ ช่างโดดเด่นจนคาดไม่ถึง
หนึ่งในนั้นผ่านหุบเขาเหลียนซินในเวลาเพียงครึ่งก้านธูป และทำลายสถิติที่มีมาก่อนหน้า!
ส่วนอีกสองคนที่ตามมาก็มิน้อยหน้าเช่นเดียวกัน ภายภาคหน้าพวกเขาจะต้องกลายเป็นผู้โดดเด่นแห่งศิษย์ฝ่ายนอกอย่างแน่นอน
“ผู้น้อยถัวป้าเลี่ย!”
“ผู้น้อยหลิงซูหลัน!”
ถัวป้า……
ทันทีที่ได้ยินนามของถัวป้าเลี่ย แววตาแปลกๆ ก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของผู้อาวุโสเฉินซวนชั่วแวบหนึ่ง
“จุ๊ จุ๊ ความสามารถของเหล่าศิษย์ที่เข้าทดสอบในปีนี้ช่างโดดเด่นยิ่งนัก คนหนึ่งใช้เวลาเพียงครึ่งก้านธูปเท่านั้นก็สามารถผ่านหุบเขาเหลียนซินได้ เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
“อีกสองคนก็ใช่ว่าจะธรรมดา พลังปราณและเลือดเนื้อของถัวป้าเลี่ยนั้นแข็งแกร่งยิ่ง เขาต้องเป็นปรมาจารย์ฝึกฝนร่างกายอย่างแน่นอน! ข้าไม่รู้เลยว่าเขาจะเทียบกับศิษย์พี่ต้วนได้หรือไม่”
“นี่ยังเร็วไปหากจะนำไปเที่ยบกับศิษย์พี่ต้วน! นี่เป็นเพียงด่านทดสอบแรกเท่านั้น เรายังไม่ทันได้เห็นความสามารถเขาอย่างแน่ชัดนัก!”
ศิษย์ฝ่ายนอกที่เฝ้าดูการทดสอบนี้ต่างสนทนาโต้เถียงกันอย่างครึกครื้น ซึ่งแต่ละคนก็ล้วนมีความเห็นเป็นของตนเอง
ทว่า ท่ามกลางผู้คนที่สนทนามากมาย มีเพียงคนหนึ่งที่ไม่ปริปากแต่อย่างใด เพียงจ้องหลัวเฉิงอยู่เงียบๆ เท่านั้น
หลัวเฉิงเองก็สังเกตเห็นเช่นเดียวกัน
ชายหนุ่มผู้นั้นมีใบหน้าขาว ดวงตารูปทรงคล้ายดุจดาบและเปล่งประกายประหนึ่งดวงดารา
หลัวเฉิงไม่ได้รู้จักอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัว จึงไม่คิดสนใจมากนัก
เพียงไม่นาน เวลาหนึ่งก้านธูปก็หมดลง
หลัวเฉิงสังเกตว่า มีเพียงสี่ถึงห้าร้อยคนเท่านั้นที่เดินผ่านหุบเขาเหลียนซินได้!
ในการทดสอบแรกแห่งหุบเขาเหลียนซิน มีผู้เข้าทดสอบมากกว่าหมื่นคน แต่มีเพียงสี่ถึงห้าร้อยคนเท่านั้นที่สามารถผ่านมาได้ เกณฑ์การทดสอบนี้ช่างโหดร้ายเสียจริง!
ซึ่งนี่เพียงแค่การทดสอบแรกเท่านั้น!
ผู้บาดเจ็บในหุบเขาเหลียนซินก็ถูกพาตัวออกไปเช่นกัน มีราวๆ หนึ่งหรือสองร้อยคน สี่สิบหรือห้าสิบคนบาดเจ็บสาหัส และสิบสามคนเสียชีวิต
ผู้อาวุโสเฉินซวนและคนอื่นๆ ไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้ เพียงจัดกลุ่มคนให้เข้ามาเฝ้าดูอาการผู้บาดเจ็บเท่านั้น
คนเหล่านี้มิใช่ลูกศิษย์ของสำนักซวนหยวน ซึ่งสำนักแห่งนี้ไม่ใช่ดินแดนอันบริสุทธิ์ดุจสรวงสวรรค์ แต่เป็นโลกอันโหดร้ายคล้ายขุมนรก บุปผาที่มิอาจต้านทานลมฝนได้สุดท้ายมันก็ต้องโรยรา
“ลู่เหยียน!”
ฉินหยวนเฟิงทันสังเกตเห็นลู่เหยียนจึงรีบวิ่งเข้าไปหาทันที เมื่อเห็นว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น! ผู้ใดทำร้ายเจ้าเช่นนี้”
กระดูกของลู่เหยียนหักสะบั้นเกือบทั่วทั้งสรรพางค์ ความเจ็บปวดนี้ทำให้เขามิอาจกล่าวสิ่งใดได้เลย